บทที่ 190 ห้องรองตระกูลฟาง
เอ้อร์เป่ามีสีหน้าประหลาดใจ
“เหยียนเอ๋อร์ พ่อบุญธรรมของเจ้ามีเรื่องที่ต้องทำที่บ้าน เขาจึงกลับไปก่อน ไม่ต้องเป็นห่วง พ่อจัดรถม้าไปส่งเขาแล้ว ข้าไม่ปฏิบัติต่อพ่อบุญธรรมของเจ้าไม่ดีอย่างแน่นอน ข้าให้ตั๋วเงินเขาสามพันตำลึง เพียงพอที่เขาจะซื้อบ้านหลังใหม่ และเปิดร้าน หาเขาจัดการธุระเสร็จพ่อจะพาเจ้าไปพบกับเขาดีหรือไม่?” ฟางเจี๋ยเกลี้ยกล่อมเขา
เอ้อร์เป่าเงยหน้าขึ้น ดวงตาแม้ว่าจะใสสะอาด หากราวกับอ่านใจผู้คนได้ ฟางเจี๋ยไม่ชอบเลย ดูราวกับเขาไม่ใช่เด็กน้อยแต่เป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง
“เหยียนเอ๋อร์ พ่อบุญธรรมไม่ได้ตั้งใจจะแลกเจ้ากับเงินสามพันตำลึงอย่างแน่นอน เงินจำนวนนี้เป็นคำขอบคุณที่มาจากใจของตระกูลฟาง เจ้าอย่าได้คิดมาก” ฟางเจี๋ยย้ำอีกครั้ง
คำพูดของเขาเหมือนจะช่วยไขข้อข้องใจของเด็กน้อย แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังบอกเอ้อร์เป่าเป็นนัย ๆ ว่าบิดาเขายอมแลกตัวเขากับเงินสามพันตำลึง เขาถูกบิดาทอดทิ้งแล้ว เช่นนั้นต่อไปเขาต้องอยู่ในตระกูลฟางอย่างเชื่อฟัง
“อืม” เอ้อเป่าร์ก้มหัวรับคำก่อนที่จะเดินออกไป ฟางเจี๋ยมองตามหลังเขา ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในขณะที่เฝ้าดูเขาเดินไปยังเรือนหลักของนายท่านผู้เฒ่าฟาง
เด็กน้อยไม่ได้วุ่นวายไปตามหาเว่ยฉิงอีก เขาคงเชื่อในคำพูดของเขา ฟางเจี๋ยเชื่อว่าเขาทำเพื่ออนาคตที่ดีของลูกชาย ต่อไปเหยียนเอ๋อร์จะรู้เองว่าพื้นฐานครอบครัวที่ดีนั้นสำคัญแค่ไหน
…………
ที่เรือนหลัก
เอ่อร์เป่านอนอยู่บนเตียง เขามองท่านผู้เฒ่าฟางอย่างเหม่อลอย เขาเชื่อว่าบิดามารดาไม่มีวันทอดทิ้งเขาอย่างแน่นอน มารดาบอกว่าเขาเป็นสมบัติล้ำค่าของนาง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านพ่อจะทิ้งเขาเพื่อเงินสามพันตำลึง คนพวกนี้ไม่ยอมให้เขาได้เจอท่านพ่อ
เอ้อร์เป่าฉลาดมาก เขารู้ว่า มีคนคอยดูคอยตามเขากีดกันไม่ให้เขาได้เจอกับเว่ยฉิง
ตอนนี้ท่านพ่ออยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไรบ้าง?
ทันใดนั้นก็มีคนเอามือมาแตะศีรษะเขาเบา ๆ เอ้อร์เป่าเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาตึงเครียด
“ท่านอา” น่าแปลกที่เขาเรียกท่านปู่ได้ เรียกท่านอาได้ แต่กลับเรียกคนอื่นว่าบิดามารดาไม่ได้ ในใจเขามีท่านพ่อท่านแม่เพียงเว่ยฉิงกับถังหลี่เท่านั้น
“เด็กน้อยคิดอะไรอยู่หรือ?” ฟางจวิ่นถามเขา
เอ้อร์เป่าเม้มปากไม่อยากตอบ ฟางจวิ่นก็ไม่ได้ว่าอะไร เด็กคนนี้กลับมาหลายวันแล้ว…แต่เขากลับเป็นเด็กที่เงียบขรึมไม่พูดไม่จา เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะหายตัวไป เหยียนเอ๋อร์เป็นเด็กร่าเริงมากกว่านี้ แต่ตอนนี้เขากลับเปลี่ยนท่าทีไปอย่างมาก
“อาได้ยินจากท่านพ่อของเจ้าว่า ครอบครัวหนึ่งในเมืองเหยาสุ่ยเลี้ยงดูเจ้ามาหรือ? พวกเขาดีกับเจ้าหรือไม่?”
“บิดากับมารดารักข้ามาก” เอ่อร์เป่าพูด
“อาได้ยินว่าเขามาเมืองนี้กับเจ้าด้วยหรือ? เขาเป็นคนดีมากเลยนะ”
“ใช่…ท่านพ่อข้าเป็นคนดีที่สุด”
คนทั้งสองคุยกัน ฟางจวิ่นถึงได้รู้ว่าหลายชายเขาเป็นเด็กพูดเก่งเพียงใด? ปากน้อย ๆ นั้นช่างเจรจายิ่งนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบพูด เพียงแต่เขาไม่อยากคุยกับคนแปลกหน้าเท่านั้น เมื่อเขาพูดคุยถึงบิดามารดามารดาและน้องบุญธรรมของเขานั้น เขามีเรื่องเล่ามากมายไม่รู้จบ
“พี่ชายของข้าเก่งมาก มารดาบอกว่าต่อไปเขาจะสอบจ้วงหยวนได้อย่างแน่นอน ท่านแม่ยังบอกอีกว่า เขาจะปกป้องพวกเราได้ ข้าอยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบ” เอ้อร์เป่าพูดขึ้นมา ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยชีวิตชีวาไม่หมองเศร้าเครียดขรึมอีกต่อไป
“เจ้าอยากทำอะไรหรือเหยียนเอ๋อร์” ฟางจวิ่นถาม
“ท่านอา…อย่าเรียกข้าว่าเหยียนเอ๋อร์อีกเลย”
เขาไม่ชอบชื่อนี้ เพียงแต่ไม่ได้ปฏิเสธเพราะรู้ว่าหากพูดไปก็คงไม่มีใครฟังเขา
“จะให้อาจะเรียกเจ้าว่าอะไรดี”
“เอ้อร์เป่า ท่านพ่อท่านแม่เรียกข้าแบบนั้น”
“เอาละ เอ้อร์เป่าเจ้าอยากทำอะไรหรือ?”
“ข้าอยากเป็นจอมยุทธ์ผู้กล้าหาญ” เอ้อร์เป่าพูด “เดินทางไปทุกที่ ท่องไปใต้หล้า แต่ท่านแม่กล่าวว่าข้าต้องไปสำนักศึกษาเพื่อร่ำเรียนให้มีความรู้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นจอมยุทธ์ที่ไร้การศึกษา เมื่อยามเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามก็จะพูดได้แค่ว่าสวยเพียงคำเดียวเท่านั้น”
ฟางจวิ่นรู้สึกขบขัน มารดาบุญธรรมของเด็กคนนี้น่าสนใจทีเดียว ยามที่เอ้อร์เป่าพูดถึงบิดามารดาบุญธรรมใบหน้าของเขามีความสุขมากทีเดียว เห็นได้ชัดว่าเขารักบ้านสกุลเว่ยเป็นอย่างมาก
“ตอนอายังเด็ก ๆ ก็อยากเป็นจอมยุทธ์เช่นกัน”
เอ้อร์เป่าจ้องฟางจวิ่นด้วยดวงตากลมโตอย่างประหลาดใจ
“เป็นเพราะอาได้อ่านนิทานมา พวกจอมยุทธ์นั้นเก่งมาก อาก็เลยอยากเป็นแบบนั้นบ้าง”
“แล้วเหตุใดท่านอาถึงไม่ได้เป็นเล่า?” เอ้อร์เป่าสงสัย
“อาพูดกับท่านพ่อ โดนท่านพ่อไล่ตีจนก้นระบมไปหมดนะสิ!”
เอ้อร์เป่ามองเขาอย่างสนใจ
“เอ้อร์เป่า เจ้าโชคดีมาก” เอ้อร์เป่าพนักหน้าอย่างรวดเร็ว
ใช่มารดาสนับสนุนเขาไม่ขัดขวางเขาแม้แต่น้อย
“ท่านอา ท่านช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่?” เขากระพริบตาถาม เด็กน้อยคนนี้น่ารักเหลือเกินยามที่กระพริบตา ดูแล้วแทบจะอยากตามใจเขาไปเสียทุกเรื่อง
“ช่วยอะไรหรือ?”
“ช้าอยากเจอท่านพ่อ…ท่านอาช่วยข้าได้หรือไม่?”
เอ้อร์เป่าพูดอย่างน่าสงสาร จนเขาแทบอยากจะตอบตกลงทันที
แต่อย่างไรก็ต้องยั้งใจเอาไว้
ฟางจวิ่นรู้ดีว่า พ่อบุญธรรมของเอ้อร์เป่าชกต่อยพี่ชายของเขา จากนั้นจึงโดนขับไล่ออกจากจวนไป ตอนนี้คนในตระกูลฟางห้ามไม่ให้เขาเข้ามาในจวนฟางอีก บิดาบุญธรรมของเขากับพี่ชายทะเลาะกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต
เรื่องนี้เป็นเรื่องพี่ชาย เขาจึงยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
“เอ้อร์เป่า อาไม่เห็นด้วยกับเจ้าในเรื่องนี้ แต่อาจะช่วยเกลี้ยกล่อมพี่ชายให้” เอ้อร์เป้าก้มหน้าลง รับคำอย่างสุภาพ “ขอบคุณท่านอาขอรับ” ฟางจวิ่นแตะผมเขาเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนของเขา เมื่อเข้ามาที่ประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังลั่น นางไช่กำลังดุด่าลูกสาว
“ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นมารดาข้า ฮือ ๆ ๆ ท่านใจร้ายกับข้า!”
“เอาละ ถังซื่อเป็นมารดาของเจ้า ข้าจะเจ้าไปหานาง ดีไหม?” นางไช่ลากลูกสาวออกไปแต่กลับเจอฟางจวิ่นเข้าพอดี
“เจ้าทำอะไรกัน! เหตุใดลูกจึงร้องไห้ถึงเพียงนี้ หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว!”
นางไช่มองฟางจวิ่นด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ข้าสร้างปัญหาหรือ? เป็นข้าหรือ? ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น.. เอาล่ะในเมื่อคิดว่าข้าเป็นตัวปัญหา ข้าอย่ามีชีวิตอยู่เสียดีกว่า!” นางหันหลังก้าวเดินออกไปทันที
แต่แล้วฟางจวิ่นกลับกอดนางเอาไว้
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฮูหยิน เจ้าใจเย็นก่อน” นางไช่เสียใจมาก นางซบไหล่สามีพร้อมกับร้องไห้เสียงดังออกมา
นางไช่มีลูกสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นนางจึงไม่อยากให้ลูกสาวเหินห่างจากนาง นางจึงทำรองเท้าให้ลูกสาวด้วยมือของนางเอง
นางไช่สวมรองเท้าให้ลูกกสาวอย่างมีความสุข แต่แล้วนางก็พบว่ารองเท้าที่นางสวมให้ลูกสาวหายไป กลายเป็นลูกสาวสวมรองเท้าคู่ใหม่มาแทน หลังจากนางถามไถ่จึงพบว่า นางถังซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้เพราะเห็นว่ารองเท้าคู่ที่นางไช่ทำให้ชำรุดแล้ว
นางไช่เป็นคนเย็บปักถักร้อยไม่เก่ง รองเท้าที่นางทำจึงไม่สวย แต่อย่างไรก็ไม่ได้พังหรือชำรุดอย่างแน่นนอน
“มือข้า…สามี ท่านดูมือข้าสิเต็มไปด้วยรอยที่โดนเข็มแทง!” นางไช่ร้องไห้เสียงดังพร้อมแบบมือให้สามีดู
ถ้านางถังจะบอกว่ารองเท้าไม่สวยหรือชำรุดนางก็ไม่ว่าอะไร แต่นี่เป็นลูกสาวของนางที่พูดว่านางเกลียดรองเท้าที่มารดาทำให้!
แม้บางครั้งคำพูดของนางถังจะเป็นเส้นหนามที่แทงหัวใจของนาง แต่คำพูดและท่าท่างกระด้างกระเดื่องของลูกสาวกลับทิ่มแทงนางมากกว่า