บทที่ 202 ความกตัญญูของเอ้อร์เป่า
แม้ว่าพี่ชายของเขาจะไม่พอใจเรื่องการแบ่งมรดกของบิดา แต่เขาก็ไม่ควรที่จะโกรธเคืองเช่นนี้ ฟางจวิ่นถอนหายใจเบาๆ รู้สึกผิดหวังกับพฤติกรรมของพี่ชายตัวเอง
ฟางจวิ่นกับเอ้อร์เป่า นั่งคุกเข่ากันอยู่ในโถงไว้ทุกข์ กลางดึกคืนนั้นถังหลี่เอาเบาะมาให้เอ้อร์เป่ารองเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กชายเจ็บเข่า ก่อนจะสวมเสื้อคลุมกันหนาวให้แก่เขา
เอ้อร์เป่าไม่ได้นอนทั้งคืน ถังหลี่เองก็อยู่เป็นเพื่อนบุตรชายด้วย นางเป็นห่วงลูกชายมากเพียงใดดูจากการแสดงออกก็รู้ได้
เมื่อถังหลี่เดินออกไปจากโถงไว้ทุกข์ ฟางจวิ่นก็พูดขึ้นว่า
“เอ้อร์เป่า ถ้าเจ้ายังไม่ไปนอน แม่ของเจ้าก็ไม่ได้นอนด้วย ไปนอนเถิด ตื่นแล้วค่อยมาใหม่”
เด็กชายมีท่าทีลังเล เขารู้ว่าพ่อแม่ของเขายังไม่ยอมกลับไปพักผ่อนเช่นกัน
“เจ้าทำเช่นนี้ ปู่ของเจ้าจะทุกข์ใจ เจ้ามาใหม่ในตอนเช้าเถิด”
ฟางจวิ่นยังคงเกลี้ยกล่อมเอ้อร์เป่าต่อไป
“อาจะเฝ้าดูในคืนนี้เอง ส่วนเจ้าค่อยมาใหม่ในตอนเช้า อาจะได้มีเวลาพักผ่อนด้วย หาไม่จะลำบากทั้งคู่”
“ได้ขอรับ”
เอ้อร์เป่าลุกขึ้นยืนช้า ๆ ขาของเขาสั่นเทา เด็กชายยืนพิงเสาอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านอา เบาะนี้สำหรับท่าน”
เขามอบเบาะรองนั่งให้
ฟางจวิ่นมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเด็กชาย รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เด็กคนนี้เป็นช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ
“ขอบใจเจ้ามากเอ้อร์เป่า”
หลังจากนั้นเอ้อร์เป่าจึงเดินออกไป ที่ด้านนอกโถงไว้ทุกข์ ถังหลี่กำลังนั่งอยู่ ทันทีที่เห็นเด็กชายเดินออกมา นางก็วิ่งเข้าไปหาเขากอดเอ้อร์เป่าเอาไว้
“ท่านแม่ ท่านอาบอกให้ข้ากลับไปนอนก่อน แล้วค่อยมาอีกครั้งตอนเช้า” เอ้อร์เป่าพูดกับถังหลี่
“งั้นเรากลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะนะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ”
ถังหลี่รู้สึกใจสลายเมื่อเห็นดวงตากลมโตของเด็กชายเป็นสีแดงก่ำ นางอุ้มเขาขึ้นมาเดินกลับไปยังเรือนรับรอง
ที่เรือนรับรอง ซานเป่าและเว่ยฉิงยังไม่เข้านอนเช่นกัน พวกเขานั่งอยู่ที่ประตู เมื่อถังหลี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเอ้อร์เป่าในอ้อมแขน พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคนพร้อมกัน ซานเป่ารู้ดีว่าพี่รองของตนนั้นกำลังทุกข์ใจ แต่เด็กหญิงไม่รู้ว่าควรจะปลอบเขาเช่นไรดี นางจึงได้แต่เอามือตบที่แผ่นหลังของพี่ชายเบา ๆ
“ท่านพี่ ข้าปลอบท่าน” ซานเป่าพูด
เอ้อร์เป่าฝืนยิ้มให้น้องสาว
“พี่รองไม่เศร้าแล้ว เจ้าไปนอนเถิด”
ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ต่างคนจึงได้แยกย้ายกันไปนอน
เช้าวันต่อมา
ถังหลี่ตื่นแต่เช้า มาเตรียมตัวให้เอ้อร์เป่าและกินข้าวพร้อมกัน ก่อนที่เว่ยฉิงจะเป็นคนพาบุตรชายไปที่โถงไว้ทุกข์
ฟางจวิ่นเองยังคุกเข่าอยู่ในโถงเช่นเดิม
“เหตุใดคุณชายใหญ่ท่านไม่มาเฝ้าศพเล่า มีแต่คุณชายรองคนเดียวเช่นนี้”
“ว่ากันว่าตอนนายท่านเสีย คุณชายใหญ่เดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางที่โกรธมาก เป็นไปได้ไหมว่าคุณชายไม่พอใจเรื่องแบ่งมรดก”
“ถึงจะไม่พอใจเพียงใด ก็ควรมาเฝ้าศพบิดาไม่ใช่หรือ?”
“มีบุตรอกกตัญญูเช่นนี้ วิญญาณของนายท่านบนสวรรค์จะสงบสุขหรือ?”
ผู้คนต่างกระซิบกระซาบกัน
ฟางจวิ่นได้ยินก็ขมวดคิ้ว
ว่ากันว่าความกตัญญูต้องมาก่อนเสมอ ความกตัญญูคือสิ่งสำคัญที่ตัดสินว่าคน ๆ นั้นเป็นเช่นไร การสวมชุดผ้าป่านกระสอบแสดงถึงความกตัญญูต่อบุพการี คือสิ่งที่ลูกหลานควรกระทำ ไม่ว่าบิดาจะเป็นอย่างไร ก็จำเป็นต้องแสดงความกตัญญู เหตุใดพี่ชายถึงโกรธจนไม่มาเฝ้าศพกัน?
ฟางจวิ่นไม่ได้นอนทั้งคืน ใบหน้าของเขาทรุดโทรมเหนื่อยล้ามาก แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเอ้อร์เป่ามาถึง โชคดีเหลือเกินที่เอ้อร์เป่าเป็นบุตรกตัญญู อย่างน้อยเขาก็ช่วยปกป้องให้ข่าวลือของพี่ชายเบาบางลง
“ท่านอา ข้าเฝ้าเองขอรับ ท่านไปพักผ่อนเถิด” เอ้อร์เป่ากล่าว
ฟางจวิ่นพยักหน้ารับ ตอนนี้ทั้งขาและเท้าของเขาชาไปหมดแล้ว ฟางจวิ่นจับเสาต้นหนึ่งแล้วค่อย ๆ ประคองตัวขึ้น เมื่อเดินออกจากโถงไป ความชาของขาก็ลดน้อยลง ทันทีที่เขาออกจากโถงไว้ทุกข์ ก็พบกับเว่ยฉิงที่กำลังยืนอยู่
เมื่อวานนี้เอ้อร์เป่ามาพร้อมกับถังหลี่ วันนี้มาพร้อมกับเว่ยฉิง สามีภรรยาคู่นี้ดีกับเด็กชายมากจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่บิดาของเขาบอกให้ทั้งสองพาเอ้อร์เป่าไปเลี้ยงดูก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
“ขอบคุณมาก” ฟางจวิ่นกล่าว
หลังจากที่ออกจากโถงไว้ทุกข์ เขาก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง อาบน้ำและรับประทานมื้อเช้า ในตอนที่นางไช่เห็นว่าเขากำลังจะออกไปอีกครั้ง นางเรียกสามีไว้อย่างรวดเร็ว
“นั่นท่านจะไปไหน? สภาพเหมือนผี ดูไม่ได้เลย ไปนอนก่อนเถิด”
แม้คำพูดของนางไช่จะไม่น่าฟังนัก แต่น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ข้าจะไปหาท่านพี่”
ฟางจวิ่นพูดก่อนจะออกไป
เรือนของฟางเจี๋ยนั้นใหญ่ที่สุดในจวนสกุลฟาง เขาเดินเข้าไปแต่กลับเจอนางถังเข้าเสียก่อน
“พี่สะใภ้ พี่ใหญ่อยู่ไหนหรือ?” ฟางจวิ่นถาม
“ท่านพี่ป่วย!”
ใบหน้าของนางถังซีดเซียว
“เมื่อคืนเขามีไข้ ข้าดูแลเขาทั้งคืน” ในขณะที่พูด นางไช่ก็สะอื้นเบา ๆ
“ให้หมอมาดูอาการหรือยัง? ข้าจะตามหมอ” ฟางจวิ่นกล่าว
นางถังรีบตอบอย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ดีขึ้นมากแล้วล่ะ เจ้าพักผ่อนเถิดไม่ต้องกังวลไป น้องสามีกับเหยียนเอ๋อร์เฝ้าโถงไว้ทุกข์ไม่ใช่หรือ? อย่างไรเหยียนเอ๋อร์ก็ถือเป็นตัวแทนของบ้านข้า”
“พี่สะใภ้ เหยียนเอ๋อร์อายุเพียงเจ็ดปีเท่านั้น ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือที่เขาต้องนั่งคุกเข่าไว้ทุกข์เกือบทั้งวัน?” ฟางจวิ่นพูดอย่างอับจน
“เขายังเด็ก เด็ก ๆ น่ะมีพลังเหลือล้น…เจ้าจะให้พี่ชายที่กำลังป่วยของเจ้าไปคุกเข่าหรือ?”
“พี่สะใภ้ คนข้างนอกเขาพูดกันถึงพี่ใหญ่ เหตุใดจึงไม่เฝ้าศพบุพการี มันจะไม่เป็นการดีต่อพี่ใหญ่ หากท่านพี่อาการดีขึ้นแล้วต้องให้เขารีบไปนะ”
“น้องสามี พี่ชายเจ้าไปไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้แค่จะลุกจากเตียงเขายังทำไม่ได้เลย หากต้องไปคุกเข่าในโถงไว้ทุกข์ คงจะได้ทรุดลงมากกว่าเดิม” นางถังร้องไห้
หลังจากฟังที่นางถังพูด ฟางจวิ่นก็รู้ว่าไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีกแล้ว เขาหันหลังเดินจากไป ตอนนี้ฟางจวิ่นวุ่นวายทั้งเรื่องจัดพิธีศพและการค้า แต่เขาก็ยังยืนหยัดที่จะคุกเข่าเฝ้าศพต่อไป
ส่วนทางด้านฟางเจี๋ย เขานอนอยู่บนเตียงทั้งวันเช่นกัน
ฟางเจี๋ยเคยทำงานหนักให้แก่ตระกูลมาก่อน เมื่อทุกอย่างถูกมอบให้ฟางจวิ่น เขาได้แต่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ท่านพ่อทำเกินไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่อยากมีส่วนร่วมใด ๆ กับสกุลฟางทั้งสิ้น เพราะบิดายกกิจการทุกอย่างให้แก่น้องชายเขาไปหมดแล้ว ในวันที่ฟางจวิ่นต้องดูแลทุกอย่างเอง เขาจะรู้ที่ผ่านมาฟางเจี๋ยใช้ความพยายามมากขนาดไหน
ทางด้านนางถังไม่ต้องการเสแสร้งอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงยั่วยุความสัมพันธ์ของฟางฉุนและนางไช่ทุกวัน จนตอนนี้นางไช่โกรธลูกสาวมาก เพราะฟางฉุนหนีมาอยู่กับนางถัง
นางถังคอยสกัดกั้นนางไช่หลายครั้ง ทั้งในยามที่นางไช่ต้องการจะเข้าไปหาลูกสาว หรือแม้แต่ยามที่ต้องการเข้าไปเยี่ยมเยียนฟางเจี๋ย
ตอนนี้ฟางเจี๋ยและนางถังเปรียบเสมือนประทัดสองดอกในสกุลฟาง ทั้งใจร้ายและเจ้าเล่ห์ จนบ่าวไพร่พากันหวาดกลัว
ถังหลี่และเว่ยฉิงสลับกันไปเฝ้าเอ้อร์เป่า เรื่องพวกนี้จึงลอยมาเข้าหูของพวกเขาเป็นธรรมดา
“ฟางเจี๋ยกำลังจะขุดหลุมฝังศพตัวเอง” ถังหลี่พูดขึ้น
“ใช่ !เขาทำลายชื่อเสียงของตัวเอง
เขาเลือกที่จะเป็นคนอกกตัญญู ดังนั้นเขาจะถูกผู้คนในตระกูลรังเกียจ จะไม่มีใครสนับสนุนเขาอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ฟางจวิ่นคือผู้นำตระกูล ทุกคนล้วนย่อมเชื่อฟังเขามากขึ้น” เว่ยฉิงกล่าวและหญิงสาวก็พยักหน้ารับ
ใช่! สามีของนางเองก็มองได้ทะลุปรุโปร่งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พวกเขามีความสุขที่ได้เห็นฟางเจี๋ยและภรรยาเป็นคนโง่เขลาและโชคร้ายเช่นนี้
ท่ามกลางความวุ่นวาย ฟางจวิ่นได้จัดการงานต่าง ๆ ให้ลุล่วงไปอย่างอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะถึงพิธีฝังศพ
ในวันฝังศพ ขบวนแห่ศพของบ้านสกุลฟางก็ทยอยออกไป
เอ้อร์เป่านั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ผ่านเข้ามาในความคิดของเด็กน้อย