บทที่ 203 เตรียมกลับบ้าน
ถังหลี่และเว่ยฉิงกำลังรอเด็กชายพร้อมกับน้องสาวของเขา หลังจากนั้นไม่นานเอ้อร์เป่าก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมาหามารดา ถังหลี่โน้มตัวลงอุ้มเด็กชายขึ้นมาในอ้อมกอด
“ท่านแม่ ข้าจำอะไรบ้างอย่างในอดีตได้”
เอ้อร์เป่าทบทวนความจำ
“ท่านปู่รักข้ามาก เขาเอาใจข้า เล่นขี่ม้ากับข้า..”
แม้ความทรงจำเหล่านั้นจะไม่ชัดเจน แต่เอ้อร์เป่าจดจำความสุขในช่วงเวลานั้นได้ อาจเป็นเพราะนายท่านฟางใจดี อยู่ใกล้ชิดเอ้อร์เป่ามาก เด็กคนนี้เป็นคนอ่อนไหว เขาสัมผัสได้ถึงความเมตตาของคนรอบตัว และมีเหตุผล
“แต่ว่า ท่านแม่ ข้าจำอีกอย่างหนึ่งได้…มารดาผู้ให้กำเนิดข้า ไม่ชอบข้าเอามาก ๆ”
เอ้อร์เป่ากล่าว สตรีผู้นั้นเวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกมักจะทำตัวดีกับเขา แต่เมื่อลับตาคนจะดุและเข้มงวดมาก เขาจึงหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้นาง
ในยามที่พบกันครั้งแรก นางวิ่งมากอดเขา เอ้อร์เป่ารู้สึกถึงความอึดอัดและไม่สบายใจ
“ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นมารดาที่ดีได้ …เอ้อร์เป่า มีคนรักเจ้ามากมาย ทั้งท่านปู่ของเจ้า ทั้งพ่อ แม่ ต้าเป่า…” ถังหลี่ปลอบโยนลูกชาย
ความทรงจำนั้นของเอ้อร์เป่าแย่มาก นางถังเปรียบเสมือนเงาดำในจิตใจของเขา แต่ตอนนี้เด็กชายไม่เศร้าแล้ว อย่างที่แม่ของเขาบอก มีคนรักเขามากมาย
“เอ้อร์เป่า เรากลับกันเลยดีหรือไม่?”
เอ้อร์เป่าพยักหน้า ตอนนี้เด็กชายโตแล้ว เขาอายที่มารดายังอุ้มเขาราวกับเป็นเด็กเล็ก จึงได้ขอลงมาเดินเอง เว่ยฉิงจึงรับหน้าที่อุ้มซานเป่า ส่วนถังหลี่จับมือเอ้อร์เป่า ทั้งสี่คนเดินไปที่จวนสกุลฟางด้วยกัน พวกเขาอยู่ที่นี่อีกสองวัน เมื่อเห็นฟางจวิ่นมีเรื่องยุ่งวุ่นวายในการจัดเตรียมงาน จึงได้เอ่ยคำลา
สุดท้ายแล้วอย่างไรเสียฟางเจี๋ยและนางถังก็เป็นบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเอ้อร์เป่า ดังนั้นหากพวกเขาต้องจากไป ก็ควรต้องคุยกับสองสามีภรรยาให้ชัดเจน
ฟางเจี๋ยกับนางถังไม่ได้สนใจเอ้อร์เป่ามากนัก
“ไปเถิด หากเจ้าต้องการ อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ได้มีใจอยู่กับสกุลฟางแล้ว”
“ใช่ ข้าจะคิดว่าการให้กำเนิดเจ้ามานั้นเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ ในภายหน้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาพบเจอกันอีก”
สิ่งที่ทั้งสองพูดนั้นช่างน่าประทับใจมาก!
ถังหลี่อยากจะพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้อยากเจอพวกเจ้าเช่นกัน” ใครเล่าจะอยากเจอบิดามารดาที่ใจร้ายเช่นนี้?
แต่พวกเขาไม่ต้องการให้เอ้อร์เป่าเศร้าเสียใจ ถังหลี่จึงอดทน เอ้อร์เป่ายังคงโขกศีรษะคำนับพวกเขาทั้งสองคนสามครั้ง การโขกหัวคำนับสามครั้งนี้เปรียบเสมือนการตอบแทนที่ทั้งสองให้ชีวิตแก่เอ้อร์เป่า ถังหลี่จับมือเด็กชายเดินออกจากจวนสกุลฟาง
“เหยียนเอ๋อร์”
เมื่อทั้งสี่คนก้าวไปได้เพียงสองก้าวเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงร้องขึ้น เป็นนางไช่ที่วิ่งเข้ามาหา หญิงสาวคุกเข่าต่อหน้าเอ้อร์เป่า
“ท่านอาสะใภ้” เอ้อร์เป่ากล่าว หญิงสาวบีบแก้มเด็กชายเบา ๆ
“ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร เจ้าก็เป็นหลานชายของข้า ดังนั้นหากวันหน้าได้พบกันก็ต้องทักทายกันบ้างนะ”
“ขอรับท่านอาสะใภ้ ข้าจะจดจำท่านเอาไว้”
เด็กชายพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ถังหลี่และครอบครัวยังไม่ได้กลับไปยังเมืองเหยาสุ่ยทันที แต่พวกเขากลับไปยังโรงเตี๊ยมของฮวาเหนียงจื่อ ตั้งใจว่าจะอยู่ต่ออีกหนึ่งคืนก่อนจะออกเดินทางกลับเมืองเหยาสุ่ยในเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อหญิงสาวก้าวผ่านประตูเข้าไปยังลานเล็ก ๆ นางเห็นภาพอันร้อนแรงของเถ้าแก่เนี้ยฮวาที่กำลังจูบกับใครบางคนอย่างเร่าร้อน คนที่กอดนางไว้นั้นดูร่างกายกำยำสูงใหญ่ จนทำให้เถ้าแก่เนี้ยฮวากลายเป็นสาวน้อยร่างเล็กไปทันที วงแขนที่แข็งแรงของชายคนนั้นโอบเอวคอดของนางไว้อย่างแนบแน่น…
ถังหลี่หน้าแดงก่ำ นางปิดตาเอ้อร์เป่าอย่างไม่รู้ตัว
เว่ยฉิงรีบปิดตาซานเป่าเช่นกัน
เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นพวกเขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเขาชินชากับมันเสียแล้ว พวกเขากระแอมไออย่างหนักเพื่อให้ทั้งสองคนรู้สึกตัวและผละออกจากกัน เมื่อเถ้าแก่เนี้ยเห็นว่าเป็นถังหลี่ นางอดไม่ได้ที่จะหน้าขึ้นสีระเรื่อ เจ้าลูกหมาป่าตัวนั้นยังคงประคองกอดนางไว้ไม่ห่าง ดวงตาของเขามีแต่ความปรารถนา หญิงสาวตบไปที่ศีรษะของเฉาจีจนอีกฝ่ายปล่อยนางอย่างรวดเร็ว
ฮวาเหนียงจื่อจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปหาถังหลี่
ทุกย่างก้าวของนางพริ้วไหวดูทรงเสน่ห์มากกว่าเดิม ใบหน้าขาวผุดผาดมีเลือดฝาดงดงามราวกับชโลมด้วยน้ำทิพย์จนเต็มอิ่ม
“เสี่ยวถัง ข้าไม่เห็นเจ้าเลยตั้งแต่วันนั้น ข้ารอเจ้าทุกวันเลยนะ”
เถ้าแก่เนี้ยฮวาเอานิ้วจิ้มอกถังหลี่เบา ๆ และบ่น
“พี่ฮวา ข้าก็คิดถึงท่านเช่นกัน แต่มีเรื่องมากมายทำให้ข้าไม่สามารถปลีกตัวมาได้”
ถังหลีพูดอย่างน่าสงสาร ในขณะที่พูดหญิงสาวก็เหลือบมองไปทางเฉาจี ทั้งรู้สึกคาดไม่ถึงและเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“พี่ฮวาทำอะไรอยู่หรือ? แล้วนี่พี่เขยข้าใช่หรือไม่?”
เถ้าแก่เนี้ยฮวาหน้าแดงก่ำ ก่อนจะกล่าวว่า
“พี่เขยอะไร แค่เอาไว้แก้เหงา”
เฉาจีมองไปที่หญิงสาวอย่างเสียใจ เถ้าแก่เนี้ยฮวารู้สึกกระดากอายมาก นางจึงไล่ชายหนุ่มให้ออกไป ก่อนจะพูดคุยกับถังหลี่
“พี่ฮวา เรื่องของท่านกับเฉาจีเป็นมาอย่างไรหรือ?”
ดวงตาของถังหลี่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จะเป็นอะไรได้ ก็แค่ชายหนุ่มกับหญิงสาวเหมือนไม้แห้งใกล้ไฟ ลุกลามอย่างเร็ว!”
ฮวาเหนียงจื่อตบมือตัวเองให้เกิดเสียง “พรึ่บ”
เดิมทีหญิงสาวนั้นชมชอบคนหน้าตาดี แต่เฉาจีนั้นหน้าตาธรรมดาและหยาบกร้าน ไม่เหมือนเว่ยฉิง ที่แม้เขาจะสูงกำยำราวกับวัวป่า ก็ยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย
เฉาจีไม่ใช่แบบที่นางชอบเลย
แต่ชายหนุ่มใจดีกับนางมาก เขาปรากฏตัวขึ้นเสมอยามที่นางต้องการ มีความเป็นผู้ชายมาก….นางลองใช้เวลาร่วมกับเขา กลับพบว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีทีเดียว
ดูเหมือนว่าลูกหมาป่าตัวนี้ดุร้ายพอตัว
ตอนนี้พวกเขาจึงติดหนึบเหนียวแน่นกันอย่างเป็นธรรมชาติ
“ถังถัง เจ้าคิดว่าข้าปล่อยตัวเกินไปหรือไม่? เจ้าดูแคลนข้าหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยฮวาพึมพำ
ในยุคสมัยนี้พรหมจรรย์ของสตรีนั้นมีความสำคัญมาก ไม่ต้องพูดถึงการหลับนอนกันเลย เพียงแค่จูบก็ยากแล้ว ฮวาเหนียงจื่อยังไม่แต่งงาน แต่ตอนนี้นางอยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง อาจจะโดนดูถูกดูหมิ่นได้
ทว่าตัวนางนั้นเชื่อใจถังหลี่ นางเห็นว่าความสุขของเรานั้นสำคัญที่สุด ฮวาเหนียงจื่อไม่ได้สนใจสายตาคนนอกเลยแม้แต่น้อย แต่ถังหลี่คือเพื่อนของนาง นางสนใจสายตาของเพื่อนเท่านั้น
“ไม่เลย ท่านทั้งสองคนไม่ได้ทำร้ายใคร ดังนั้นจึงไม่มีอะไรผิด”
ถังหลี่ส่ายหัว
เถ้าแก่เนี้ยฮวามีความสุขมาก ถังถังของนางเป็นคนดีจริง ๆ
ถังหลี่กำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นมากกว่า
เฉาจีนั้นเป็นรองแม่ทัพของเฉาเช่า เขาอาจจะถูกส่งไปประจำการที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าถูกย้ายไปจริง ๆล่ะก็….
“เฉาจีอยู่ในเมืองฉินโจวหรือเปล่า?” ถังหลี่ถาม
“ไม่รู้สิ ปล่อยเขาไปเถอะ” ฮวาเหนียงจื่อไม่สนใจ
“พี่ฮวา หากเฉาจีต้องไปทำงานที่อื่น ท่านอยากไปกับเขาหรือไม่?”
“ไม่มีทาง โรงเตี๊ยมแห่งนี้คือจิตใจของข้า!”
ฮวาเหนียงจื่อพูดอย่างหนักแน่น
“ถังถัง ไม่ต้องห่วงหรอก เขาและข้าต่างพึงพอใจซึ่งกันและกัน หากวันหนึ่งเขาต้องการจะไปก็ไปได้เลย ข้าไม่สนใจหรอก”
ถังหลี่มองไปที่ใบหน้าของหญิงสาว
นางไม่สนใจจริง ๆ หรือ?
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่คนอื่นจะมาตัดสินใจได้ เปรียบเสมือนน้ำร้อนน้ำเย็น มีแต่ผู้ดื่มเท่านั้นที่จะรับรู้ ทั้งสองคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนฮวาเหนียงจื่อจะสังเกตว่าถังหลี่เหนื่อยมาก นางจึงให้ถังหลี่เข้าไปพักผ่อนนอนหลับ
วันต่อมา
ครอบครัวสกุลเว่ยตื่นแต่เช้าเก็บข้าวของ ในขณะที่พวกเขากำลังจะออกเดินทาง เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งก็เข้ามาห้อมล้อมพวกเขาไว้
ถังหลี่และเว่ยฉิงรู้สึกสับสนมาก
“พวกเราทำอะไรผิด เหตุใดจึงมาจับกันเช่นนี้”
เว่ยฉิงขมวดคิ้ว
“เจ้าลักพาตัวเด็ก! ทางการทราบเรื่องแล้ว!” น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ขู่กรรโชก
ลักพาตัวเด็ก?
ถังหลี่และเว่ยฉิงต่างมองหน้ากัน ภายในหัวใจมีคำถามขึ้นมาทันที
ฟางเจี๋ยกับภรรยาของเขาเป็นคนไปแจ้งเจ้าหน้าที่หรือ?
ทั้งสองคนมีสีหน้าและน้ำเสียงไม่ดียามที่พวกเขาไปเอ่ยคำลา
“จับตัวไป!”