บทที่ 214 ติงเป่ยโหว
ในขณะที่ทุกคนกำลังเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของหญิงสาว ฮั่วจีว์ก็นอนเป็นผักเน่าอยู่บนเตียงอีกครั้ง หลังจากที่หมดสติไปหนึ่งวันเต็ม ชายหนุ่มก็ฟื้นขึ้นมาในช่วงกลางดึก เขารีบหลบหนีไปจนถึงทางหมาลอดแต่ก็พบว่ามันถูกกลบไปจนมิดแล้ว
ฮั่วจีว์ไม่มีทางเลือก เขาจึงตัดสินใจปีนกำแพงหนีออกจากบ้านไป ในใจก็ครุ่นคิดว่า บิดาของเขาคิดว่าการกลบดินปิดทางหมาลอดเช่นนี้จะทำให้เขาหมดหนทางหรือ?
ชายหนุ่มกระหยิ่มยิ้มย่องใจได้ไม่นาน ก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่คล้ายกับบิดาที่แสนโหดเหี้ยมของเขามาก อยู่ไม่ไกลจากหลังคา ฮั่วจีว์หวาดกลัวจนอวัยวะภายในแทบจะหลุดออกมากองตรงหน้า ทำให้เขาลื่นตกจากกำแพงไปยังรถม้าที่อยู่เบื้องล่าง เขารีบตะกายเข้าไปด้านในรถม้าทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ปะทะกับใบหน้าดุดันของชายผู้หนึ่งเข้า
ชายคนนี้อายุไม่มากนัก น่าจะน้อยกว่าสามสิบปี ทว่าบรรยากาศรอบตัวของเขากลับเต็มไปด้วยรังสีเข่นฆ่า ไม่รู้ว่าเขาฆ่าคนด้วยมือเปล่าไปกี่ศพแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจ หากตอนนี้ฮั่วจีว์ออกจากรถม้าไปคงต้องเจอบิดาลากกลับบ้านอย่างแน่นอน
“พี่ชาย ท่านจะออกนอกเมืองใช่หรือไม่ ขอข้าติดรถไปด้วยเถอะนะ” ฮั่วจีว์ขอร้อง
บุรุษตรงหน้าไม่สนใจ ยังคงมองจ้องมาที่ชายหนุ่ม ฮั่วจีว์รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะที่เห็นคนตรงหน้าไร้ปฏิกิริยาตอบกลับเช่นนี้ ก่อนจะพูดต่อว่า
“พี่ชาย… น้องสาวข้ากำลังจะแต่งงาน ข้าเป็นพี่ชายคนรองของนาง นางอาศัยอยู่ในเมืองเหยาสุ่ย ข้าต้องไปงานแต่งงานนี้ให้ได้ ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ..ถ้าข้าไม่ไป น้องสาวข้าอาจจะเสียใจ”
ในที่สุดอีกฝ่ายถึงได้มีปฏิกิริยากลับมา
“เมืองเหยาสุ่ย?” น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก
“ใช่แล้ว น้องสาวข้าค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในเมืองเหยาสุ่ย นางมีกิจการของตัวเอง เป็นร้านขายชาดแดง..” ฮั่วจีว์รู้สึกหวาดกลัว แต่ก็พยายามที่จะอธิบายให้เขาเห็นใจ
“น้องสาวของเจ้านามว่าถังหลี่หรือเปล่า?” จู่ ๆ ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมา ฮั่วจีว์ตะลึงงันอ้าปากค้างทันทีที่ได้ยิน
“ข้าเองก็ได้รับเชิญไปเมืองเหยาสุ่ยเพื่อร่วมงานแต่งเช่นกัน” ชายคนนั้นกล่าวขึ้น
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเราจะไปที่งานแต่งงานเดียวกัน” ฮั่วจีว์ฉุกคิดได้
ในตอนนั้นเองรถม้าก็หยุดชะงัก
“ฮั่วจีว์!!” เสียงคำรามดังสนั่นมาจากปากของบิดาเขา ขาของฮั่วจีร์อ่อนแรงจนเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น
บุรุษคนนั้นลุกขึ้นเดินผ่านฮั่วจีว์ออกไปนอกรถม้า
บิดาของฮั่วจีว์เป็นคนที่มีรูปลักษณ์ดุดันมาก แต่ทันทีที่ชายชราเห็นบุรุษเจ้าของรถม้าท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป
“ติงเป่ยโหว”
ติงเป่ยโหว หรือเฉาเช่า หลังจากสงครามที่เมืองฉินโจวเขาได้รับความดีความชอบมากมายทั้งความสามารถในการสู้รบที่โดดเด่น นอกจากนี้เขายังได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิ จนได้รับอวยยศเป็น ติงเป่ยโหว ตอนนี้ตำแหน่งในราชสำนักของเขาก้าวไปถึงจุดสูงสุดแล้ว
ผู้คนจำนวนมากต่างอยากประจบประแจงติงเป่ยโหวคนนี้ รวมไปถึงบิดาของฮั่วจีว์เช่นกัน แต่ชายชราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบเลยด้วยซ้ำ
ติงเป่ยโหวผู้นี้มีชื่อเสียงในการต่อสู้ฆ่าฟันศัตรูตาไม่กะพริบ ลือกันว่าเป็นบุรุษเจ้าอารมณ์ หากทำให้ท่านติงเป่ยโหวขุ่นเคืองใจมักจะจบลงไม่สวยนัก ไม่แปลกเลยที่ฮั่วไคจะตื่นตระหนกมาก
“ติงเป่ยโหว เจ้าลูกหมาตัวนี้ทำให้ท่านขุ่นเคืองใจหรือไม่? ได้โปรดยกโทษให้เขาด้วยเถิดขอรับ” ชายชรารีบพูดต่อ “ฮั่วจีว์ออกมานี่!”
ฮั่วจีว์เลิกม่านรถม้าขึ้นให้เห็นแค่ศีรษะส่วนตัวยังคงหลบซ่อนอยู่ด้านใน ท่าทางไม่ต่างอะไรกับคนโง่
ไอ้เด็กคนนี้ มันไม่รู้หรือว่าหากทำให้ติงเป่ยโหวขุ่นเคืองจะเป็นเช่นไร?
ฮั่วไคโกรธมากเขาพยายามจะเข่าลากตัวบุตรชายออกมา แต่คาดไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพเฉากลับยื่นมืออกมาเพื่อหยุดเขาไว้
ใบหน้าของฮั่วไคซีดลงทันที
“ติงเป่ยโหว… เจ้าลูกหมานั่น…”
“ใต้เท้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บุตรชายของท่านกำลังจะไปงานแต่งงานที่เมืองเหยาสุ่ยกับข้าเท่านั้น” ทันทีที่เฉาเช่าเอ่ยขึ้นฮั่วไคถึงกับรู้สึกมึนงงไปในทันที
ไอ้ลูกหมาของเขารู้จักกับติงเป่ยโหวได้อย่างไร? ไปงานแต่งงานหรือ?
“น้องสาวที่บุตรชายท่านกล่าวถึง เป็นหลานสาวของข้าเอง” เฉาเช่ากล่าวเสริม
ถังหลี่เรียกเขาว่าลุง ดังนั้นนางจึงเป็นหลานสาวเขานั่นแหละถูกแล้ว
ฮั่วไคได้ยินก็ยิ่งรู้สึกสับสน น้องสาวที่บุตรชายของเขากล่าวถึงเป็นหลานสาวของติงเป่ยโหวหรือ? …บุตรชายที่ไร้ค่าของเขาผู้นี้ดูจะมีราคาขึ้นมาเลยทีเดียว
ราวกับว่าฮั่วจีว์รู้ว่ามีคนหนุนหลัง ชายหนุ่มรีบหลบไปอยู่ใต้ปีกของเฉาเช่า สวมบทบาทจิ้งจอกห่มหนังราชสีห์ขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อได้ยินแล้วใช่หรือ ข้าจะไปร่วมงานแต่งงานของน้องสาวกับท่านลุง อย่าได้ขวางทางเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นจะชักช้าได้”
ในยามนี้ฮั่วจีว์เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ ไม่เหลือเค้าลางของความขี้ขลาดอีกเลย ทั้งที่ในตอนแรกแค่เพียงได้ยินเสียงบิดาแข้งขาก็พาลจะอ่อนแรงเสียแล้ว
“ท่านพ่อ อย่าขวางทางเลย ท่านจะขัดขวางไม่ใช่ติงเป่ยโหวเดินทางหรือ?” ฮั่วจีว์พูดเสียงดัง
ฮั่วไคได้แต่หลีกทางเท่านั้น ซ้ำบุตรชายที่ดื้อรั้นยังมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาอีก ฮั่วไคกำหมัดแน่น แต่เพราะอยู่ต่อหน้าติงเป่ยโหวเขาจึงไม่สามารถจับบุตรชายมาทำโทษได้
…..
เมืองฉินโจว
เถ้าแก่เนี้ยฮวาและนางไช่เองก็ได้รับเทียบเชิญเช่นกัน ฟางจวิ่นมีงานล้นมือส่วนเฉาจีเองก็มีเรื่องที่ยังต้องสะสาง ดังนั้นฮวาเฟิ่งเซี่ยกับนางไช่จึงออกเดินทางไปยังเมืองเหยาสุ่ยก่อน
เถ้าแก่เนี้ยฮวาเผชิญเรื่องมากมายในชีวิตมานับไม่ถ้วน ฝ่าฟันอย่างกล้าหาญจนได้มีกิจการโรงเตี๊ยมของตัวเอง นางเก่งกาจกว่าสตรีทั่วไปมาก ส่วนนางไช่นั้นแม้จะเป็นสตรีที่โลดโผนแต่นางยังเป็นบุตรีที่ถูกทนุถนอมเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากตระกูลเดิม ไม่เคยได้ออกเดินทางไปไหนไกล ๆ มาก่อน
ระหว่างทางที่ไปเหยาสุ่ยนางไช่จึงได้แต่พึ่งพาฮวาเฟิ่งเซี่ยตลอดทาง โชคดีที่การเดินทางของพวกนางเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากถึงเมืองเหยาสุ่ยแล้วทั้งสองไปที่บ้านของถังหลี่ทันที
ก่อนหน้านี้นางและถังหลี่เป็นแม่งานช่วยฮวาเฟิ่งเซี่ยที่เมืองฉินโจว ดังนั้นเมื่อถึงคราวงานแต่งงานของถังหลี่ นางไช่และเถ้าแก่เนี้ยฮวาจึงพับแขนเสื้อตั้งใจช่วยลงมือเตรียมงานเต็มที่ แต่ก็พบว่าเว่ยฉิงได้จัดการทุกอย่างไปหมดแล้ว ส่งผลให้สตรีทั้งสามคนได้แต่นั่งเบื่อๆแทะเมล็ดแตงเล่นเท่านั้น
……
ก่อนวันมงคล แขกทั้งหลายก็ทยอยมาถึงทีละคน
คนแรกที่มาถึงคือไป๋มู่หยางตามมาด้วยเฉาเช่าและฮั่วจีว์ ซึ่งจากเมืองหลวง ครอบครัวของหลันฮวาเอ๋อร์ หมอซูและฮูหยินซู จากหมู่บ้านลี่เจีย ฟางจวิ่น และเฉาจีเองก็ตามมาถึงแล้วเช่นกัน
หลู่ชิงกับฮูหยินมู่ ครอบครัวเว่ยเสี่ยวเถาและเจิ้งติ่งก็เป็นคนที่สนิทชิดเชื้อ พวกเขามารวมตัวกันที่บ้านถังหลี่ ทำให้วันนี้ทั้งบ้านมีชีวิตชีวามาก
เอ้อร์เป่ากับซานเป่าเล่นกันอย่างมีความสุขท่ามกลางแขกเหรื่อ ทางด้านสวี่เจวี๋ยและต้าเป่าก็ขอลาสำนักศึกษากลับมาที่บ้าน เด็กหนุ่มทั้งสองคนเป็นผู้ช่วยที่ดีของเว่ยฉิงในการเตรียมงานครั้งนี้
เนื่องถังหลี่และเว่ยฉิงอยู่บ้านหลังเดียวกัน ดังนั้นในงานแต่งงานนี้จึงละเว้นพิธีรับเจ้าสาวไว้ ทั้งสองคนเพียงแต่ต้องเข้าไปในโถงพิธีด้วยกัน เถ้าแก่เนี้ยฮวาและนางไช่เป็นคนช่วยถังหลี่แต่งตัว
หลังจากที่แต่งหน้าเสร็จแล้ว หญิงสาวทั้งสองต่างตกตะลึง ปกติแล้วในวันธรรมดาถังหลี่ไม่ใช่สตรีที่ผัดแป้งแต่งหน้า ผิวของหญิงสาวดีมากทั้งนุ่มและชุ่มชื้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตากลมโต และขนตางอนเป็นแพ เป็นความงดงามตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
ทว่าหลังจากแต่งเติมสีสันบนใบหน้าของนางแล้ว ถังหลี่งดงามมากแม้จะไม่ใช่สวยอ่อนเยาว์ตามธรรมชาติของนาง แต่ก็มีสเน่ห์ เหมือนเทพธิดา ผู้คนที่ได้ยลโฉมนางย่อมอดมองแล้วมองอีกไม่ได้ ฮวาเฟิ่งเซี่ยเอามือทาบอกตัวเอง หัวใจของนางเต้นแรงมากในตอนนี้
“แย่แล้ว ข้าตกหลุมรักถังถัง!” เถ้าแก่เนี้ยฮวาพูดขึ้นในขณะที่ยกมือปิดบังใบหน้าแดงก่ำของตัวเอง
“เดี๋ยวเว่ยฉิงก็ทุบเจ้าหรอก เจ้าจะสู้กับเขาหรือ?” นางไช่สาดน้ำเย็นให้ฮวาเฟิ่งเซี่ยตื่นจากความเพ้อฝัน เพียงแค่นึกถึงกำปั้นของเว่ยฉิงนางก็ขนลุกแล้ว
“ถ้าเว่ยฉิงเห็นถังถังของพวกเรา ต้องหลงสเน่ห์นางมากแน่ ๆ”
เถ้าแก่เนี้ยฮวากล่าว หลังจากนั้นนางก็ตั้งหน้าตั้งตารอดูปฏิกิริยาของเว่ยฉิงในยามที่ได้พบหน้าถังหลี่