บทที่ 233 อุบายของฉินเหวินซวน
ณ จูเซียนจู
ที่งานเสวนาตำราของคุณชายฉินคึกคักมาก นักเรียนที่เข้าร่วมในการสอบครั้งนี้มารวมตัวกันเกือบทุกคน ในฐานะที่ฉินเหวินซวนเป็นคนริเริ่มงานนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องจากคนรอบกาย ยิ่งเมื่อเขารู้ว่าตระกูลฉินมีอำนาจมากเพียงใดก็ยิ่งพากันพูดจาเยินยอฉินเหวินซวนไม่หยุด
หลูหลิงเองก็อยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นเช่นกัน เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการถกปัญหาแต่อย่างใด เขาทรุดกายนั่งลงมุมห้อง คอยสังเกตพฤติกรรมของศิษย์แต่ละคนพร้อมจดบันทึกไว้ งานเสวนาตำราผ่านไปสักพักหนึ่ง ฉินเหวินซวนจึงสังเกตเห็นว่าเด็กทารกสองคนเมื่อวานไม่มางานนี้
เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
แต่เดิมทีเขารอคอยให้เด็กทั้งสองมางาน เพื่อที่จะโจมตีทั้งคู่แต่เมื่อพวกเขาไม่มาคนที่เสียหน้าคือฉินเหวินซวน
เขาอุตส่าห์ส่งเทียบเชิญให้เป็นการส่วนตัว แต่เด็กทั้งสองคนไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย! ฉินเหวินซวนขบฟันแน่นด้วยความแค้นเคือง
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้จึงเรียกลูกสมุนเข้ามาหา
“ไปดูสิว่าปีนี้ไอ้จั๋วมันมาหรือไม่ ถ้ามันมาก็สั่งสอนบทเรียนมันเสีย”
คนที่ทำให้ฉินเหวินซวนไม่พอใจจะต้องตอบแทนเป็นร้อยเท่า!
…..
ถังหลี่พาเด็ก ๆ ไปดูสนามสอบด้วยกัน
สถานที่สอบของเหอตงอยู่ที่สำนักศึกษาของเมือง สำนักแห่งนี้เป็นสำนักที่มีขนาดใหญ่ มีต้นไผ่ปลูกขนาบสองข้างทางจำนวนมาก ประตูทางเข้าทาสีแดงเรียบ ๆ มีสิงโตหินยืนขนาบข้าง มียามเฝ้าประตูอยู่หากไม่ได้รับอนุญาตก็จะเข้าไปข้างในไม่ได้ พวกเขาจึงได้แต่ยืนมองจากภายนอกเท่านั้น
“เป็นสำนักศึกษาที่ใหญ่มาก”
“ท่านอาจารย์บอกว่าสำนึกศึกษาแห่งนี้เป็นสำนักศึกษาของมณฑลและเรียนหนักมาก ถ้าเราผ่านการสอบถงเซิงก็น่าจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงได้ ”
หลังจากสอบผ่านเซี่ยนชื่อก็จะมีการสอบฝู่ซื่ออีก หากผ่านก็จะได้ไปสอบหน้าพระที่นั่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย
“ว่ากันว่าเราจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ตอนไปสอบหน้าพระที่นั่งด้วยนะ!” ต้าเป่าพูดอย่างตื่นเต้น
ฮ่องเต้คือผู้ที่มีเกียรติที่สุด สำหรับเด็กทั้งสองแล้วฮ่องเต้เปรียบเสมือนเทพเซียนที่อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าที่ไม่มีใครเอื้อมถึง พวกเขาเฝ้ารอวันข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงอย่างใจจดจ่อ ใบหน้าเล็ก ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างตื่นเต้น
“พี่ใหญ่เก่งมาก!”
“พี่สวี่เจวี๋ยก็เก่งด้วย!”
เอ้อร์เป่าและซานเป่าพูดขึ้นมาพร้อมกัน เด็กทั้งสี่คนรวมถึงถังหลี่เองมีความสุขมาก ในภายหน้าต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยไม่เพียงแต่จะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้เท่านั้น พวกเขายังได้เข้าร่วมสภาขุนนาง และกลายเป็นเสนาบดีที่มีอำนาจมากอีกด้วย!
ถังหลี่รู้สึกว่าตนเองโชคดีทีได้มาเจอพวกเขาทั้งคู่ คอยประคับประคองให้ทั้งสองเติบโต เฝ้าดูพวกเขาเดินออกจากโลกใบเล็กอย่างหมู่บ้านลี่เจียก่อนที่กระโจนออกไปสู่ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่!
ถังหลี่และเด็ก ๆ เดินดูวนดูรอบ ๆ สำนักศึกษาอีกสองสามรอบก่อนที่จะเดินทางกลับไปโรงเตี๊ยม ทว่าระหว่างทางพวกเขาพบเห็นกลุ่มขอทานกำลังรุมทำร้ายคน ๆ หนึ่ง
“ไอ้หนู กล้ามาบุกรุกถิ่นของเราหรือ! จัดการมันเสีย!”
“ข้าแค่อยากได้ที่บังลมบังฝนเท่านั้น ไม่ได้อยากบุกรุกหรือยึดครองที่ของพวกเจ้าเลย!”
“เจ้าจะทำอะไรก็เรื่องของเจ้า แต่จะมาแย่งที่พวกเราไม่ได้ จัดการมันเลย!”
กลุ่มขอทานเตะคนที่นอนคุดคู้บนพื้นอย่างแรง ชายที่โดนรุมอยู่ไม่มีทางจะตอบโต้กลับได้เลย ข้าง ๆ คนผู้นั้นมีกล่องใส่ตำราเก่า ๆ อยู่บนพื้น กล่องแตก ตำราที่อยู่ด้านในกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น บางเล่มก็สกปรกมอมแมม
“ท่านแม่ ดูเหมือนว่าจะเป็นจั๋วชูนะ” ต้าเป่ากล่าว
ถังหลี่ขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้าไปหายังกลุ่มคนเหล่านั้น
พอเดินเข้าไปใกล้ นางจึงได้เห็นว่าชายที่นอนอยู่กับพื้นมีรอยฟกช้ำที่จมูกและใบหน้า เขาคือจั๋วชูนั่นเอง
เด็กหนุ่มถูกเตะอย่างแรง ในตอนนั้นเองขอทานคนหนึ่งกำลังจะเหยียบมือของเขา…มือที่มีค่าของเขา!
ถังหลี่เตะไปที่ด้านหลังของขอทาน จนหน้าคะมำลงไปกับพื้นกินขี้โคลนเข้าไปเต็มปาก เมื่อเห็นแบบนั้นขอทานคนอื่นรีบหันไปหาถังหลี่ทันที
“ท่านแม่..”
ดวงตาของเด็ก ๆ เต็มไปด้วยความกังวล
“พวกเจ้ารู้จักฝีมือของแม่ดี ถอยไปก่อน” ถังหลี่พูดเสียงกร้าว
เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของมารดา เด็กทั้งสี่จึงได้ถอยหลังออกไปทันที
กลุ่มขอทานเหล่านั้นมองถังหลี่ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามความประสงค์ร้ายผุดขึ้นในใจของพวกมัน นางเข้ามาหาเรื่องพวกเขาก่อนนะ! กลุ่มขอทานขยับกายเข้าไปหาถังหลี่ พวกมันอยากลวนลามนาง พาเข้าห้องปิดประตูทำมิดีมิร้าย
แต่ชั่วอึดใจต่อมาก็ถูกเตะเข้าอย่างแรงที่ศีรษะก่อนล้มไปกองที่พื้น
ปัง! ปัง! ปัง!
ถังหลี่ขยับขา นางเตะอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคิดเลยว่าหญิงสาวที่งดงามและดูอ่อนแอจะมีฝีมือร้ายกาจเช่นนี้ เหล่าขอทานล้มลงกับพื้นก่อนร้องโอดโอย
ถังหลี่มีสีหน้าดุดัน ก่อนที่จะเดินไปหาจั๋วชู หญิงสาวมีท่าทีอ่อนโยนและกังวล
“คุณชายจั๋ว”
จั๋วชูลุกขึ้นจากพื้นอย่างลำบาก เขาลุกขึ้นนั่งก่อนจะคารวะถังหลี่
“ขอบคุณฮูหยินมาก”
เด็กหนุ่มขยับตัวไปเก็บตำราของตัวเองบนพื้น ทั้งต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยเองก็เข้าไปช่วยเขาเก็บตำราเช่นกัน กล่องใส่ตำราของจั๋วชูถูกทำลายจนไม่สามารถใส่ตำรากลับเข้าไปได้ พวกมันจึงถูกวางกองรวมกันไว้ จั๋วชูขมวดคิ้ว ตำราเหล่านี้คือของมีค่าของเขา
จั๋วชูถอดเสื้อตัวนอกที่มีรอยปะของเขาออก นำตำราทั้งหมดห่อใส่ลงไปแล้วก่อนจะสะพายขึ้นบ่า เขาโค้งคำนับขอบคุณให้ถังหลี่ ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยอีกครั้ง
“พี่จั๋ว ท่านบาดเจ็บควรไปพบหมอก่อนนะ พรุ่งนี้จะสอบแล้วหากมีอะไรผิดพลาดไปจะน่าเสียดายนะ” ต้าเป่ากล่าว
จั๋วชูชะงัก คำพูดของเด็กหนุ่มสะเทือนจิตใจเขาเป็นอย่างมาก หากมีอะไรผิดพลาดอีก ในครั้งนี้เขาคงสูญเสียทุกอย่างไปเป็นแน่
“พี่จั๋ว คนโบราณกล่าวไว้ว่าคนมีคุณธรรมย่อมไม่ยินดีในทรัพย์ไม่สุจริต คนรักศักดิ์ศรีจะไม่รับของบริจาค ข้าชื่นชมในความทรนงตนของพี่ แต่เราเป็นสหายร่วมชั้นกัน สมควรต้องช่วยเหลือกันในยามลำบาก ความช่วยเหลือไม่ใช่การให้ทาน หากพี่จั๋วไม่ต้องการไปโรงหมอก็ไม่เป็นไร แต่ท่านไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมกับเราได้หรือไม่? สวี๋เจวี๋ยกับข้านอนกันแค่สองคนเท่านั้น พวกเราสามคนนอนห้องเดียวกันได้” ต้าเป่าเกลี้ยกล่อมเขา
จั๋วชูขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ที่ต้าเป่ากล่าวมาย่อมถูกต้องเพราะเป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนสหายร่วมชั้นเรียน บุญคุณครั้งนี้จะถูกจดจำไว้ วันข้างหน้าเมื่อเขามีโอกาสจะตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้อย่างแน่นอน
“น้องจื่ออั๋งพูดถูก ข้าคิดมากไปเอง เช่นนั้นแล้วข้าขอรบกวนน้องชายทั้งสองคนด้วย” จั๋วชูกล่าว
เมื่อต้าเป่าได้ยินเช่นนั้นเขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ถังหลี่มองเด็ก ๆ อย่างภาคภูมิใจ นางรู้ว่าต้าเป่าของนางจะเติบโตขึ้นอย่างงดงาม สิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้อ้างอิงมาจากหนังสือในสมัยโบราณ เขามีทักษะในการโน้มน้าวจิตใจคนสูงมาก
หลังจากนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยม โดยที่มีจั๋วชูเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยช่วยกันถือของก่อนที่ทั้งสามคนจะเข้าห้องไปพร้อมกัน ส่วนเอ้อร์เป่ากับซานเป่า นอนกับถังหลี่ในอีกห้องหนึ่ง
…..
ฉินเหวินซวนมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับขอทานเป็นค่าจ้างที่ไปทุบตีจั๋วชูและหักมือของเขา เขาหวังให้จั๋วชูไม่สามารถเข้าสอบเซี่ยนชื่อในครั้งนี้ได้
แต่ขอทานเหล่านั้นถูกเล่นงานกลับมาอย่างไม่เป็นท่า
“คนที่จัดการพวกขอทานคือเด็กทารกสองคนนั่นจากเมืองเหยาสุ่ยขอรับ”
เฉียนลู่หนึ่งในสุนัขรับใช้ของฉินเหวินซวนรายงาน ใบหน้าของเขาบิดเบี้นวเมื่อได้ยิน
“เป็นพวกมันอีกแล้วหรือ!”
ในที่สุดฉินเหวินซวนก็คิดแผนร้ายออก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
“งั้นพวกเราก็ทำแบบเดิมใส่ยาถ่ายลงไปในอาหารแบบที่เคยทำกับจั๋วชู..”
การทดสอบครั้งนี้ใช้เวลาสามวันซึ่งต่างจากการสอบทั่วไป พวกเขาต้องกินดื่มอยู่ในสนามสอบไม่สามารถออกไปไหนได้ เวลาเข้าสอบคือตอนเช้า และเลิกสอบในตอนเย็น ส่วนตอนเที่ยง จะกินอาหารที่ทางสนามสอบจัดหามาให้ ฉินเหวินซวนเพียงแค่ต้องแอบสั่งการกับคนดูแลอาหารเท่านั้น …
“ในตอนประกาศผลคนที่อยู่รั้งท้ายจะเป็นสามคนจากเมืองเหยาสุ่ย มาดูกันว่าในปีหน้าสำนักศึกษาแห่งนี้จะยังกล้าส่งคนมาสอบอีกหรือไม่?
รอยยิ้มของฉินเหวินซวนดูเหี้ยมเกรียมมากขึ้น