บทที่ 245 บิดามารดาที่น่าสงสาร
เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเด็กหนุ่มเห็นมารดาของตนเองยื่นหน้าออกมามอง นางดีใจที่เห็นลูกชาย“”ชูเอ๋อร์!” มารดาเรียก
“ท่านแม่!”
นางไม่ได้ยินเสียงของเขา แต่จั๋วชูกระตือรือร้นที่จะแบ่งปันความสุขนี้กับนาง เขาจึงทำท่าทางเพื่อแสดงให้นางเห็นว่าเขาสอบผ่านเซี่ยนชื่อได้แล้ว สีหน้าของนางนั้นเปลี่ยนไปแบบคาดไม่ถึง แววตาเลื่อนลอยก่อนจะเสียสติ นางสะบัดมือสะบัดเท้าขึ้นมาอย่างน่าตกใจ
นี่คืออาการคลั่งเสียสติ
“ท่านแม่!”
จู่ ๆ สีหน้าของมารดาก็ดุร้าย นางคว้าตัวจั๋วชูก่อนจะดึงเข้าไปในห้อง
“อย่าไป อย่าไป!!”
“อย่าทิ้งแม่!!”
ยามที่มารดาขาดสติ เรี่ยวแรงของนางจะเพิ่มขึ้น นางทั้งฉุดทั้งกระชากจนจั๋วชูเซ บิดาของเขาได้ยินเสียงโวยวายก็รีบวิ่งออกมาคว้าตัวภรรยาไว้
“เจ้าทำบ้าอะไร? ลูกชายสอบผ่านแล้วไม่ดีหรือ? ตั้งสติหน่อยเถอะ!”
บิดาของจั๋วชูตะโกนลั่นก่อนจะพาภรรยาเข้าไปในห้องขังนางเอาไว้ เพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียงเอะอะจึงออกมายืนดูอยู่ครู่หนึ่งไม่นานนักก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้
“จั๋วชูเข้าสำนึกศึกษาหลวงได้แล้วหรือ?” น้ำเสียงมีแววอิจฉา
“สอบผ่านแล้วจะมีประโยชน์อะไร ว่ากันว่าค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาหลวงราคาแพงมาก หงเหวินยกเว้นค่าเล่าเรียนให้พวกเจ้าแต่ที่สำนักศึกษาหลวงคงไม่มีทางเป็นแบบนั้น”
จั๋วชูยืนนิ่งงัน เขามองครอบครัวที่ยากไร้ของตัวเองความสุขที่ได้รับหายไปทันที
ใช่แล้ว…ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาหลวงเป็นเงินถึงห้าตำลึงต่อปี ต่อให้เขาประหยัดค่าอาหารและค่าใช้จ่ายมากเพียงใด เงินห้าตำลึงก็เป็นเรื่องที่ต้องจ่าย ครอบครัวของเขาไม่มีทางหาเงินจำนวนนั้นได้เลย
“นั่นไม่ใช่เงินบ้านเจ้า จะมาสนใจกับเงินบ้านข้าทำไม!”
พ่อของจั๋วชูพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ เพื่อนบ้านคนนั้นเมื่อได้ฟังก็โกรธมาก เขากระแทกประตูปิดอย่างแรง
“ลูกชายของเจ้าโง่เขลาเองถึงได้มาอิจฉาลูกชายข้าล่ะสิ!”
พ่อของจั๋วชูตะคอกกลับไป เมื่อเขาหันไปมองหน้าบุตรชายสีหน้าของเขาอ่อนลง
“ชูเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เจ้าปล่อยให้พ่อเป็นคนจัดการเถอะ เจ้าควรเตรียมตัวให้ดีเพื่อไปรายงานตัวที่สำนึกศึกษาหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านะ”
“ชูเอ๋อร์มือทั้งสองของเจ้ามีค่ามาก ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าไม่ต้องไปช่วยพ่อทำงานในนาหรอก”
“แล้วก็นี่..” บิดาของจั๋วชูยัดของใส่มือของจั๋วชูไว้
มันคือไข่!
“ลูกบ้านอื่นที่สอบผ่านคงได้ดื่มกินฉลองกัน แต่พ่อไม่มีปัญญา เจ้ากินไข่ใบนี้ไปก่อนนะ”
บิดาเขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันไปทำงานต่อ จั๋วชูมองแผ่นหลังของบิดาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ แม้เขาจะไม่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างสะดวกสบายแต่บิดาของเขาก็พยายามเต็มที่ที่จะดูแลเขาเป็นอย่างดี
ในตอนเย็นวันนั้นเองบิดาของจั๋วชูนั่งที่ธรณีประตูด้วยท่าทางเหม่อลอยเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขากำลังครุ่นคิด แววตาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ในที่สุดจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากบ้านไป
แม้ว่าบิดาจะสั่งไม่ให้จั๋วชูไปทำงานที่นาแต่จั๋วชูก็ยังคงดื้อรั้นไปช่วยเช่นเดิม บิดาของเขาเดินเหินไม่สะดวก หากต้องแช่น้ำอยู่ตลอดจะทำให้ไม่สบายได้ ช่วงก่อนที่จะไปยังสำนักศึกษาในมณฑล เขายังพอมีเวลาที่จะช่วยทางบ้านลงต้นกล้าให้มากที่สุด
สุดท้ายบิดาก็ไม่อาจต้านความตั้งใจของบุตรชาย จึงได้แต่ตามใจเขา
สี่วันก่อนจะเปิดเรียน บิดาของจั๋วชูเดินมาหา ยื่นถุงใบหนึ่งให้จั๋วชู เมื่อเปิดออกดูจึงพบว่าด้านในอัดแน่นไปด้วยแผ่นทองแดง
“ท่านพ่อนี่ …” จั๋วชูรู้สึกประหลาดใจ
“เงินห้าตำลึง พ่อบอกแล้วว่าพ่อจะหาให้เจ้า” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
จั๋วชูถือถุงเงินที่ใส่เหรียญทองแดงไว้ในอ้อมแขน เขารู้ดีว่าเงินจำนวนนี้บิดาไปหยิบยืมมาจากเพื่อนบ้าน นิสัยของจั๋วชูคล้ายคลึงกับบิดาของเขา แม้ว่าท่านพ่อจะขาพิการ แต่ก็เป็นคนเข้มแข็งมาก ต่อให้ชีวิตจะลำบากแค่ไหนก็จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากใคร แต่ตอนนี้บิดาของเขากลับยอมไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากผู้คน เมื่อนึกถึงยามที่ท่านพ่อต้องเดินลากขาไปเคาะประตูครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่ออ้อนวอนขอยืมเงินจากเพื่อนบ้าน จั๋วชูรู้สึกเศร้าใจจนขอบตาแดง
“ชูเอ๋อร์…ตั้งใจเรียนนะ พ่อรอคอยความสำเร็จของเจ้าอยู่ ส่วนมารดาเจ้านั้น…”
“ท่านพ่อข้าจะต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน! ในภายหน้าข้าจะหาคนมาดูแลท่านแม่และกตัญญูต่อท่านให้มาก!” จั๋วชูกล่าวอย่างหนักแน่น
…..
นับตั้งแต่ผลการสอบเซี่ยนชื่อประกาศออกมาถังหลี่ก็ครุ่นคิดไม่ตก นางไม่แน่ใจว่าจะปล่อยให้ลูกทั้งสองไปอยู่ที่เมืองเหอตงตามลำพัง หรือจะย้ายทั้งครอบครัวไปอยู่ที่นั่นดี…
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยกำลังจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง ดังนั้นนางจึงหาสำนักศึกษาสำหรับเอ้อร์เป่า รวมถึงถังหลี่เองก็ต้องหาช่องทางทำมาหากินในเมืองเหอตงเช่นกัน ตอนนี้ร้านเป่าชิงเก๋อมีหลู่ชิงและเจิ้งติงคอยดูแลอยู่ ทำให้นางไม่กังวลเรื่องร้านมากนัก เมื่อนางมีเวลาว่างเช่นนี้เหตุใดถึงไม่ย้ายไปอยู่ที่เมืองเหอตงเล่า? ครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ถังหลี่วางแผนที่จะซื้อบ้านในเมืองเหอตง นางตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว ในตอนเช้าของวันนั้น ถังหลี่รีบขึ้นรถม้าไปยังเมืองเหอตงทันที จางเฉียนขับรถม้ามาหลายปีแล้ว เขาไปเมืองเหอตงอยู่บ่อยครั้งทำให้รู้จักผู้คนมากมาย จางเฉียนขับรถม้าพาถังหลี่ไปดูในบ้านหลายหลัง แต่ใช้เวลาเกือบทั้งวันแล้วก็ยังไม่เจอบ้านที่เหมาะสมเลย
เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์เริ่มคล้อยลง ท้องรู้สึกหิว ถังหลี่จึงพาจางเฉียนไปที่ร้านอาหาร เมื่อหญิงสาวนั่งลง นางเห็นเงาวูบวาบของพัดด้ามหนึ่ง ถังหลี่เงยหน้าขึ้นพบกับใบหน้างดงามของ ‘ชายหนุ่ม’ ผู้ที่นางเห็นนอกห้องสอบวันนั้นนั่นเอง
‘ชายหนุ่ม’ ยิ้มจาง ๆ นัยน์ตาแพรวพราวดูเจ้าเล่ห์ไม่น้อย
“ข้าหิวมากเลย แม่นางน้อย เลี้ยงมื้อเย็นข้าได้หรือไม่?” ‘ชายหนุ่ม’ ถามด้วยรอยยิ้ม
“เชิญนั่งก่อน” ถังหลี่คลี่ยิ้มและพูดตอบกลับ
“ข้าไม่เกรงใจเจ้าละ” เขานั่งลงทันที
“เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?”
“ถังหลี่”
“เป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกผูกพันเมื่อได้พบหน้า พวกเราเป็นญาติใกล้ชิดกันนี่เอง ข้ามีนามว่าชิงหยู”
ถังหลี่คือปลาหลี่ ไม่ใช่ปลาชิงหยู[1] ไม่ใช่ตระกูลเดียวกันเลย… แต่เมื่อมองใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของเขา ถังหลี่ก็ไม่ได้รังเกียจที่จะนับญาติกับนางหรอก
“ข้ากินเก่งมาก เสี่ยวหลี่เลี้ยงไหวหรือไม่?” ตู้ชิงหยูกล่าว
“ท่านกินเก่ง ส่วนข้ามีเงินจ่าย ย่อมถูกต้องแล้ว” ถังหลี่พูดเสียงดัง
ถังหลี่คลี่ยิ้มออกมา คิ้วของนางโก่งราวกับคันศร ใบหน้าน่ารักน่าชังทั้งดูไร้เดียงสาและมีเสน่ห์ คำพูดคำจาฉลาดเฉลียวมีเอกลักษณ์หาผู้ใดเหมือน ตู้ชิงหยูตื่นตาตื่นใจจนต้องทรุดตัวลงนั่งอย่างไม่รู้ตัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อแม่นางกล่าวเช่นนี้ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว เสี่ยวเอ้อร์!” เสี่ยวเอ้อร์รีบวิ่งมาอย่างว่องไว
ตู้ชิงหยูไล่รายการอาหารมากกว่าสิบสองจานในคราวเดียว
“ชิงหยูเจ้าไม่ใช่คนเหอตงใช่หรือไม่?”
ถังหลี่คุยในขณะที่อาหารถูกลำเลียงมาวางบนโต๊ะ
“ไม่ใช่ เสี่ยวหลี่อยากรู้ว่าข้ามาจากไหนหรือ?” ตู้ชิงหยูเท้าคางพลางมองหังหลี่
“ถ้าท่านเต็มใจก็บอกข้า”
“ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าจะบอกเจ้า” ตู้ชิงหยูโปรยเสน่ห์
หากถังหลี่ไม่รู้ว่านางเป็นผู้หญิงด้วยกันแล้ว นางคงรู้สึกไม่สบายใจที่ถูกบุรุษรูปงามมองด้วยสายตาแพรวพราวเกี้ยวพาราสีเช่นนี้ แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นสตรีเช่นนางถังหลี่จึงมองว่าเป็นการหยอกล้อเท่านั้น
ในขณะที่ถังหลี่กำลังจะอ้าปากพูด นางก็ได้ยินเสียงหนึ่งขึ้นมา
“แม่นางคนสวย~”
[1] ปลาหลี่ คือปลาคาร์ฟ ส่วนปลาชิงหยูคือปลาเฮอริ่ง