บทที่ 250 ฉีเหยาเหวิน
เมื่อเว่ยจื่ออั๋งตะโกนออกมาแบบนั้น พวกนักเรียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ ก่อนจะแยกย้ายกันไป จั๋วชูเห็นว่าทั้งสองแต่งตัวสะอาดสะอ้านแต่ไม่มีท่าทีรังเกียจเขาเลย อีกทั้งยังเดินเข้ามาพูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนม
“พี่จั๋วชูมาถึงที่นี่เมื่อไหร่หรือ?” ต้าเป่าถาม
แม้ว่าจั๋วชูจะเคยชินกับความโดดเดี่ยวและถูกรังเกียจ แต่ท่าทีของเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยที่มีต่อเขา ก็ทำให้จั๋วชูรู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นไหลผ่านในหัวใจของเขา
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตในสำนักศึกษาหลวงอาจจะดีกว่าที่เขาจินตนาการไว้?
“ข้ามาถึงเมื่อวานนี้” จั๋วชูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วพี่อาศัยอยู่ที่ไหน? ที่สำนักศึกษานี้ไม่มีที่พักให้นักเรียนหรือ?” ต้าเป่าถามเขาอย่างเป็นห่วง
“ข้าไปหาท่านเจ้าสำนักเหอเล่าให้เขาฟังถึงสถานการณ์ของที่บ้าน ท่านเจ้าสำนักให้ข้าช่วยทำความสะอาดแลกกับที่พักอาศัย” จั๋วชูเล่าให้พวกเขาฟัง หากความจริงไม่ได้เป็นเรื่องง่ายดายอย่างที่เขาเอ่ย เมื่อวานนี้เขาต้องขอร้องอ้อนวอนเจ้าสำนักศึกษาเป็นอย่างมากกว่าเขาจะยอมตกลง ทั้งต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยย่อมไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
“ดียิ่ง เข้าไปเรียนกันเถอะ” ต้าเป่ากล่าว ชวนสวี่เจวี๋ยพยักหน้ารับ
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินเข้าไป จั๋วชูแก่กว่าต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยสามปีอีกทั้งยังตัวสูงกว่า อีกด้วย
“พี่จั๋ว!” มีเสียงเรียกดังขึ้น พวกเขาเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับจั๋วชู
“พี่จั๋วเป็นท่านจริง ๆ ด้วย ขอแสดงความยินดีกับการสอบได้ที่สามของท่าน!” เด็กหนุ่มคนนั้นเอ่ยทักขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร..” จั๋วชูพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ปราศจากความกระตือรือร้น
“พี่จั๋ว ข้าเรียนที่นี่มาสามปีแล้วคุ้นเคยที่นี่มากกว่า หากอยากได้ความช่วยเหลือ ถามไถ่ข้าได้เลย”
“ข้าไม่กล้ารบกวนท่านหรอก”
จั๋วชูทำท่าประสานมือไปทางเด็กหนุ่มผู้นั้นก่อนที่จะเดินเลี่ยงไป
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยรีบตามเขาไปทันที
“พี่ฉีคนผู้นี้เป็นใครหรือ? นิสัยเขาเป็นอย่างไรกันแน่? ท่านอยากช่วยเขาแต่เขากลับไม่สนใจท่าน”
“ใช่แล้วช่างไม่รู้ดีรู้ชั่วเอาเสียเลย!”
พี่ฉีผู้นั้นอธิบายอย่างเร็ว
“เขาเป็นอดีตสหายร่วมเรียนกับข้า เขามีนิสัยเก็บตัวแต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนดีมากทีเดียว”
ต้าเป่า สวี่เจวี๋ยและจั๋วชูมาถึงที่ห้องเรียน เมื่อจั๋วชูไม่อยู่ ก็มีนักเรียนคนหนึ่งเดินมาหาพวกเขา
“เจ้าไม่รู้หรือว่าคนที่อยากให้ความช่วยเหลือพวกเจ้าเป็นใคร? เขาคือพี่ฉี ฉีเหยาเหวินเป็นศิษย์อาวุโสที่มีชื่อเสียงดีมากในสำนักศึกษาหลวง เขาใจดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทุกคนต่างชอบเขา ข้ามาเตือนพวกเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้ายังอายุน้อยอย่าได้คบหาคนผิดเลย” เขาเอ่ยปากบอกต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยด้วยท่าทางใจดี
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยไม่พูดอะไร เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นจั๋วชูยืนอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี จั๋วชูคงได้ยินสิ่งที่คนผู้นี้พูดกับพวกเขา เมื่อเห็นจั๋วชูมองมาคนผู้นั้นรู้สึกอับอายรีบเดินจากไปทันที
ในไม่ช้าอาจารย์ก็เข้ามาที่ชั้นเรียน จั๋วชูนั่งอยู่กับโต๊ะของเขาตลอด กินซาลาเปาเป็นมื้อเที่ยงและไม่มาคุยกับต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยอีกเลย
อันที่จริงเขาก็แอบลอบมองเด็กทั้งสองอยู่เช่นกัน แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่เขาได้ยินตอนเช้าแล้ว เขากังวลว่าทั้งสองคนอาจไม่อยากคบเขาอีก…จั๋วชูรู้สึกลำบากใจ ในตอนนั้นเอง ที่เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเดินมาหาที่โต๊ะ
“ช้าให้พี่” ต้าเป่ายื่นหมึกแท่งหนึ่งให้เขา
“สวี่เจวี๋ยกับข้าไปซื้อหมึกมาเมื่อวานนี้ ซื้อสองแถมหนึ่ง ข้าจึงเอาหมึกแท่งนี้มาให้พี่จั๋ว”
จั๋วชูรู้สึกมีความสุขแต่ยังอดข้องใจไม่ได้
“พวกเขาบอกว่าข้าไม่มีค่าควรที่จะคบหาเป็นสหายด้วย เจ้าจะยังให้ของข้าอีกหรือ?”
“ข้าคิดว่าที่พี่จั๋วเมินเฉยต่อฉีเหยาเหวินพี่คงมีเหตุผลอยู่ในใจ”
คำพูดแต่ละคำของต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยทำให้หัวใจของจั๋วชูรู้สึกอบอุ่น พวกเขาสามคนนั่งเรียงหน้ากระดานกัน
ตอนนี้เป็นเวลาพัก เด็กนักเรียนคนอื่นบ้างก็กิน บ้างก็แอบงีบหลับ เหลือเพียงพวกเขาสามคนที่จับกลุ่มคุยกันเรื่องฉีเหยาเหวิน
“แต่เดิมฉีเหยาเหวินเป็นศิษย์ของสำนักหงเหวิน พวกเราทั้งคู่ต่างเป็นศิษย์อาจารย์กัวด้วยกัน” จั๋วชูกล่าว
“ดูเหมือนว่าข้าเคยได้ยินชื่อเขาจากอาจารย์นะ” ต้าเป่าพูดแทรกขึ้น
“ใช่แล้ว อาจารย์มักถอนหายใจเมื่อพูดถึงเขา” สวี่เจวี๋ยพูดต่อ
“ฉีเหยาเหวินและข้าเป็นสหายร่วมชั้นกัน พวกเราทั้งสองคนเข้าสำนักหงเหวินในปีเดียวกัน อาจารย์กัวสนใจในตัวพวกเราทั้งคู่ ในตอนแรกฉีเหยาเหวินเองก็เป็นสหายของข้า ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเขามากที่ไม่ได้รังเกียจข้า แต่แล้วเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป มีข่าวลือในสำนักศึกษาว่าข้าเอาเปรียบเขา เพื่อนชั้นเหล่านั้นก็ดูถูกข้ามากขึ้น ข้ารู้สึกผิดมากในตอนนั้นอยากจะพาฉีเหยาเหวินมาอธิบายให้ทุกคนฟัง แต่ว่าเขา…”
ใบหน้าของจั๋วชูแดงก่ำ เขาโกรธมาก
“เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง! ตั้งแต่นั้นมาข้าจึงรู้ว่าคนผู้นี้ไม่มีค่าควรแก่การนับเป็นสหาย ข้าเลยตีตัวออกห่างจากเขา”
“ข้ามีความรู้ในระดับเดียวกับเขา เขาอาจจะกลัวว่าข้าจะเก่งกว่าก็เป็นได้ ฉีเหยาเหวินมักก่อกวนข้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ข้าไม่สนใจเขาหรอก”
“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ชอบตีสองหน้า ศิษย์หลายคนในหงเหวินคิดว่าเขาฉลาดมาก”
“จนเมื่อสามปีก่อนทุกคนจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนเช่นไร ? ก่อนการสอบเซี่ยนชื่อ เขาย้ายไปเรียนที่สำนักอื่น ในปีนั้นเขาสอบได้ลำดับที่สิบ แต่ชื่อของเขากลายเป็นของอีกสำนักศึกษาหนึ่ง! ทั้ง ๆ ที่อาจารย์กัวทุ่มเทสอนเขาทุกอย่าง แต่เขากลับทำแบบนั้น!”
เมื่อจั๋วชูพูดถึงฉีเหยาเหวิน เขาดูโกรธแค้นมาก เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนหน้าซื่อใจคดเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไปในสำนักศึกษาแห่งนี้อีกด้วย
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มีคนเลวขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร?!
“พี่จั๋วอย่าไปกลัว มีพวกเราอยู่” ต้าเป่ากล่าว
“ใช่ ถ้าเขากล้ากลั่นแกล้งพี่อีก ข้าจะฉีกหน้ากากของเขาออก!” สวี่เจวี๋ยพยักหน้า
จั๋วชูมองไปยังเด็กอายุน้อยกว่าเขาทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ปกป้องเขาเช่นนี้ หัวใจของจั๋วชูก็พองโต
“ข้าไม่กลัวเขาหรอก! พวกเจ้าทั้งสองคนอย่าสนใจเลย ตั้งใจเรียนและผ่านการสอบไปด้วยกันเถอะ!”
ที่นี่คือสำนึกศึกษาของเมืองเหอตงเป็นสถานที่กอบโกยเอาความรู้อย่างแท้จริง เขาจะต้องเรียนอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองเหนือกว่าฉีเหยาเหวิน ทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้แก่เขาให้ได้!
“ไม่เพียงแต่สอบผ่านเท่านั้น แต่พวกเราจะต้องมีรายชื่ออยู่ในประกาศทองคำด้วย!”
“ใช่ พวกเราทั้งสามคนจะต้องมีชื่ออยู่ในประกาศทองคำ!”
“สวี่เจวี๋ย เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นเลยหรือ?”
“นี่เป็นเรื่องจริง ความรู้ของพวกเราดีมากเช่นนี้ สักวันจื่ออั๋งจะได้เป็นจ้วงหยวน พวกเราจะได้เป็นขุนนางเช่นกัน!”
“พี่จื่ออั๋ง พี่สวี่เจวี๋ย รบกวนท่านปกป้องข้าแล้ว”
จั๋วชูร่าเริงขึ้น พวกเขาหัวเราะและหยอกล้อกัน ไม่นึกเลยว่าเรื่องตลกเหล่านี้จะค่อยๆกลายเป็นจริงทีละเรื่อง