บทที่ 252 เรียนรู้ตำราพิชัยสงคราม
ณ เมืองฉิงโจวที่ห่างออกไปหลายพันลี้
เว่ยฉิงเพิ่งเสร็จจากการฝึกซ้อม เหงื่อของชายหนุ่มไหลท่วมราวกับปลาที่เพิ่งขึ้นจากน้ำ เว่ยฉิงออกมาจากห้องซ้อม เขาปาดเหงื่อ ใบหน้าหล่อเหลาของมีร่องรอยฟกช้ำ หลังจากนั้นไม่นานมีชายอีกคนเดินตามออกมา คนผู้นั้นคือลุงเฮย ซึ่งใบหน้าของเขาก็ฟกช้ำไม่แพ้กัน แต่ลุงเฮยก็ยังคงยิ้ม
“นายน้อย ท่านเก่งจริงๆ!” ลุงเฮยยกนิ้วให้เว่ยฉิง ทำให้เขาคลี่ยิ้มออกมา สำหรับบุรุษแล้วการได้รับการยอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมาก
“ลุงเฮย วันนี้คือวันขึ้นสิบห้าค่ำหรือ?” จู่ ๆ เขาก็ถามขึ้น
“ใช่แล้ว ขึ้นสิบห้าค่ำ”
“สิบห้าค่ำ…” เว่ยฉิงมีสีหน้าอ่อนโยนขึ้น
วันนี้คือวันครบรอบที่เขาจากมา ชายหนุ่มไม่ได้เจอกับภรรยาและลูก ๆ มาเป็นเวลานานแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเขาจะได้กินอิ่มหรือไม่? เหนื่อยไหม? โตขึ้นบ้างหรือเปล่า?
…..
ในตอนที่เขาคิดถึงภรรยา หัวใจของชายหนุ่มก็อ่อนหวานราวกับแช่น้ำผึ้ง เขามักจะคิดว่าเหตุใดชีวิตจริงถึงไม่มีพลังหายตัวได้แบบในหนังสือนิทาน? เขาจะได้ไปปรากฏตัวต่อหน้านางได้
“ไปหานายท่านกันเถอะ”
คำพูดของลุงเฮยขัดความคิดของเว่ยฉิง ทั้งสองพากันเดินกลับไปยังเรือนหลักก่อนจะพบเข้ากับเซียวซานหลาง
เซียวซานหลางนั่งอยู่บนรถเข็น เขาไออย่างรุนแรง รูปร่างของชายวัยกลางคนผ่ายผอมลงมาก เว่ยฉิงรีบเข้าไปหาลุงของตัวเอง เขากวาดตามองบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เซียวซานหลาง เมื่อบ่าวผู้นั้นเห็นสายตาของนายน้อยเขารู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขารับใช้อยู่ที่เรือนหลังนี้ตลอดเวลา พูดได้เลยว่าในตอนนี้อารมณ์ของนายน้อยเป็นอย่างไร?
แม้ในตอนแรกชายหนุ่มจะมีท่าทีดุร้าย แต่ต่อมาเขาก็รู้จักเก็บงำอารมณ์มากขึ้น ทว่าดวงตาของนายน้อยกลับน่ากลัวขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อถูกมองเช่นนั้นเขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าลงอย่างไม่รู้ตัว
“ไปเอาเสื้อคลุมมา”
บ่าวรับใช้รีบไปหยิบเสื้อคลุมให้ผู้เป็นนาย เว่ยฉิงพาดเสื้อคลุมไว้ที่แผ่นหลังของเซียวซานหลาง
หลังจากที่เซียวซานหลางไอใบหน้าที่แดงของเขาก็ซีดลงอย่างผิดปกติ เขามองไปยังหลานชายของตนเอง
“การฝึกของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวซานหลางถาม
“นายน้อยจัดการข้าได้แล้วขอรับ!” เฮยป๋อพูดด้วยความตื่นเต้น
นายน้อยของเขาผู้นี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งทรงพลัง หากแต่ขาดทักษะ
แต่เดิมนั้นเขาสามารถตั้งรับได้เพียงแค่สองกระบวนท่าเท่านั้น เฮยป๋อไม่ได้คาดหวังว่าเว่ยฉิงจะเรียนรู้เร็วจนกระทั่งล้มเขาได้ภายในเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น!
สมกับเป็นสายเลือดตระกูลเซียว! ทุกคนในตระกูลเซียวล้วนแต่เป็นวีรบุรุษ! เมื่อเซียวซานหลางได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็แสดงออกถึงความดีใจ
“ดียิ่ง! อาฉิง เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาหาลุง”
เว่ยฉิงพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปยังที่พักของตัวเอง แม้จะเหนื่อยมากก็นอนไม่หลับ เขาหยิบพู่กันและกระดาษออกมาเขียนจดหมาย ลุงของเขาให้สัญญาว่าวันใดที่เขาสามารถเอาชนะลุงเฮยได้ เว่ยฉิงจะได้รับอนุญาตให้เขียนจดหมาย! นี่คือเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก
เว่ยฉิงเขียนจดหมายอย่างตั้งใจ แต่ไม่ว่าจะเขียนอย่างไรก็ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่มีต่อภรรยาออกมาได้ เขาเขียนจดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่านับสิบครั้ง กระดาษถูกโยนทิ้งไว้เกลื่อนพื้น เมื่อเขียนจบเว่ยฉิงจึงได้ทิ้งตัวลงบนเตียง นับเป็นเวลาถึงหกเดือนแล้วแต่เขาก็ยังไม่ชินกับอ้อมแขนที่ว่างเปล่าของตัวเองได้เลย
ช่วงหกเดือนที่ผ่านมา สถานที่เดียวที่เว่ยฉิงจะเจอถังหลี่ได้มีเพียงในความฝันเท่านั้น แต่บางครั้งเขาก็เหนื่อยเกินไป เกินกว่าที่ภรรยาและลูก ๆ จะเข้ามาหาเขาได้ในความฝันได้ เว่ยฉิงกำจี้หยกไว้ใกล้หัวใจ หวังว่าคืนนี้ฮูหยินของเขาจะมาหาเขาในความฝันบ้าง ก่อนจะผล็อยหลับไป
โชคดีที่ในคืนนั้น ภรรยาของเว่ยฉิงมาพบในความฝันจริง ๆ
เขาโอบภรรยาเข้ามาป้อนจูบ ชายหนุ่มปรารถนาที่จะขย้ำกินนางทั้งตัว เช้าวันต่อมาเมื่อเว่ยฉิงตื่นขึ้นเขาเหลือบตามองไปยังความว่างเปล่าข้างกายอย่างผิดหวัง เขาคิดถึงถังหลี่มากเหลือเกิน….
ทันใดนั้นเองเสียงระฆังที่ด้านนอกก็ดังขึ้น
เว่ยฉิงพลิกตัวและสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วก่อนจะออกไปยังเรือนของเซียวซานหลาง ที่ประตูลาน เซียวซานหลางนั่งอยู่บนรถเข็นกำลังรอหลานชายอยู่
“ท่านลุง” เว่ยฉิงเรียก เขาพยักหน้าให้หลานชาย
“อาฉิง เจ้าไปเที่ยวกับลุงหน่อยสิ”
เว่ยฉิงเดินไปเข็นรถให้และไปตามทิศทางที่เซียวซานหลางชี้บอก เส้นทางคดเคี้ยวมาก แม้ชายหนุ่มจะอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้วก็ไม่คุ้นเคย หลังจากเดินมาเป็นเวลาพอสมควร เขาก็มาถึงสระน้ำแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่ที่ริมสระ เซียวซานหลางนั่งอยู่ในรถเข็นไม่พูดอะไร เว่ยฉิงเห็นเช่นนั้นจึงยืนอยู่ข้าง ๆ ลุงของเขาอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
ในตอนเที่ยง ชายผู้นั้นจึงได้วางเบ็ดตกปลาในมือลง เซียวซานหลางตบลงไปที่มือเว่ยฉิงเป็นสัญญาน ชายหนุ่มผลักรถเข็นไปข้างหน้า
“ท่านอาจารย์” เซียวซานหลางเรียก คนผู้นั้นหันกลับมามอง เขาเป็นชายสูงอายุมีผมสีขาวไปครึ่งหัว ไว้หนวด อายุประมาณสี่สิบห้าปี เขาชำเลืองมองเซียวซานหลางก่อนจะพูดเบาๆ
“มาซานเป่าเตี้ยนด้วยเหตุใด? ข้าไม่เคยบอกเจ้าหรือ?”
เซียวซานหลางได้ยินก็ทำอะไรไม่ถูก
“ท่านไม่ให้ข้ามาเพราะกลัวว่าข้าจะรบกวนการตกปลาของท่านหรือ?”
“ต่อให้ข้าไม่อนุญาต เจ้าก็มาแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องพูดกับข้าแล้วนี่?”
เซียวซานหลางจึงได้เอ่ยว่า
“เดิมทีข้าตั้งใจจะมาย่างปลาให้ท่านอาจารย์ แต่ในเมื่อท่านไม่ต้อนรับ เช่นนั้นข้าจะกลับแล้ว” เขามองเว่ยฉิง
“อาฉิงพาข้ากลับที”
“ปลาย่าง…” เขาน้ำลายสอ
“ไอ้เจ้าบ้า หยุดก่อน!”
ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาก่อเตาย่างปลาที่ริมแม่น้ำ
เว่ยฉิงฆ่าปลาทำความสะอาดปลา เซียวซานหลางเสียบปลาแล้วปรุงรสมันด้วยเครื่องเทศก่อนจะนำไปย่าง
ระหว่างย่างปลา เว่ยฉิงก็ได้รู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ เขาแซ่จ้าน รู้จักกันในนาม ‘จ้านจื่อ’ ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า ‘จื่อ’ นั้นล้วนเป็นคนที่มากด้วยพรสวรรค์และมีคุณธรรมสูงส่ง เช่น ขงจื่อ หรือ จวงจื่อ
จ้านจื่อผู้นี้เป็นนักยุทธศาสตร์ที่เก่งกาจมาก ท่านลุงของเขาได้รับการถ่ายทอดกลยุทธพิชัยสงครามมาจากเขา ท่านลุงสามพาเขามาที่นี่เพราะคิดว่าเขาได้ศึกษาทักษะการต่อสู้มามากพอแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเรียนกลยุทธพิชัยสงครามได้แล้ว นี่คือก้าวแรก เว่ยฉิงเริ่มเห็นความหวัง เขาต้องการเรียนรู้ทุกเรื่องโดยเร็ว เมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาได้อย่างมีความสุข
“ท่านอาจารย์คิดอย่างไรกับหลานชายข้า”
เซียวซานหลางถามในขณะย่างปลา จ้านจื่อมองเว่ยฉิง ชายหนุ่มยืดตัวตรงหวังว่าจะได้รับคำชมจากอีกฝ่าย
“โง่” จ้านจื่อไม่ชอบเขา
เว่ยฉิง “…..”
เซียวซานหลางไม่พูดอะไร เขาย่างปลาต่อไป จู่ ๆ เว่ยฉิงก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งโชยออกมา ปลาที่ลุงของเขาย่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ดูน่าอร่อยมาก เว่ยฉิงเคยได้ลิ้มรสชาติปลาย่างของลุงเขาในตอนเด็ก รสชาติดีมาก! ผ่านมาหลายปีฝีมือการย่างปลาของท่านลุงสามจะต้องดีขึ้นเป็นแน่!
จ้านจื่อมองปลาย่างตาเป็นประกาย เขาน้ำลายสอแต่ทว่าเซียวซานหลางยังไม่ให้เขา แต่กลับถามว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านคิดอย่างไรกับหลานชายข้า?”
“มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมมาก” เขารีบตอบทันที
“แล้วท่านอาจารย์จะสอนเขาหรือไม่?”
เซียวซานหลางถาม
“ปลาย่างหนึ่งตัวต่อหนึ่งวัน ตลอดหนึ่งเดือน!” จ้านจื่อบอกเงื่อนไข
เซียวซานหลางตอบตกลงทันที
“ได้ ตกลง!”
ดังนั้นเว่ยฉิงจึงได้รับการถ่ายทอดตำราพิชัยสงครามเพราะทักษะในการย่างปลาของลุงเขา วันต่อมาเว่ยฉิงจึงได้มาเรียนกับอาจารย์จ้านจื่อ