บทที่ 254 จั๋วชูผู้โชคร้าย
ตู้ชิงหยูไม่คาดหวังในฝีมือการทำอาหารของถังหลี่มากนัก นางคิดว่าเมื่อถังหลี่อยากทำอาหารให้นางกิน เพียงแค่มีความตั้งใจก็มากพอแล้ว ทว่าหลังจากลิ้มรสไปได้สองคำ ตู้ชิงหยูก็ประหลาดใจมาก นางชมหญิงสาวไม่ขาดปาก
“เสี่ยวหลี่ เจ้าเป็นนางฟ้าจริง ๆ! ข้าดีใจที่ได้พบเจ้า!” ตู้ชิงหยูพูดอย่างมีความสุข
นางกอดหญิงสาวไว้แน่น แม้ว่าตู้ชิงหยูจะสวมเสื้อผ้าผู้ชาย แต่ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยเองก็รู้ว่าดีว่านางเป็นสตรี และจะไม่เป็นปัญหากับบิดาของพวกเขาอย่างแน่นอน พวกเขาละสายตาออกจากคนทั้งสองก่อนจะก้มหน้ากินอาหารต่อไป เมื่อพวกเขากินอาหารเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ตู้ชิงหยูก็พาถังหลี่ไปลานบ้าน พวกเขาไปนั่งที่ชิงช้าสองตัวในสนามกันคนละตัว
“เสี่ยวหลี่ เจ้ารู้อยู่แล้วหรือ?” ตู้ชิงหยูถาม แม้จะไม่ได้พูดตรง ๆ แต่หญิงสาวรู้ดีว่าความหมายดี
“ข้ารู้”
“เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ที่หน้าประตูสำนักศึกษา ตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก” ถังหลี่กล่าว
พอตู้ชิงหยูได้ฟังถังหลี่ตอบนางตกใจมาก นางไม่คิดว่าความจะแตกเร็วเช่นนั้น หรือว่านางปลอมตัวได้เลวร้ายมากกันนะ?
ไม่ใช่! ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นว่านางเป็นผู้หญิงมาก่อน นั่นอาจเป็นเพราะว่าถังหลี่นั้นมีสายตาที่ร้ายกาจมากเกินไป
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เสี่ยวหลี่ คืนนี้เรานอนด้วยกันไหม?” ตู้ชิงหยูถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่ล่ะ”
“ทำไมหรือ?”
“ข้ากลัวสามีจะกลับมาทุบเจ้าน่ะสิ”
ตู้ชิงหยูรู้ว่าถังหลี่แต่งงานแล้ว แต่สามีของนางเป็นคนลึกลับมาก ไม่มีใครเคยเห็นหน้ามาก่อน นางไม่รู้เลยว่าผู้ชายขี้หมาเช่นไรที่มาแต่งงานกับถังหลี่
“ข้าไม่กลัวหรอก ตายใต้ดอกโบตั๋นแม้เป็นผีก็สำราญ[1]” ตู้ชิงหยูพูดด้วยความอิจฉา
“ข้าไม่อยากให้เจ้าตายนะ” ถังหลี่กล่าว
เมื่อตู้ชิงหยูได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่าเหตุใดเสี่ยวหลี่ของนางถึงได้น่ารักเพียงนี้? มุมปากของนางกระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ตู้ชิงหยูก็เก็บรอยยิ้มไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองพูดคุยกันสักพักก่อนแยกย้ายกันไปเข้านอน
ตู้ชิงหยูส่งจดหมายหาผู้อาวุโสคนหนึ่งของนางที่เก่งกาจเรื่องเครือข่ายข่าวกรอง ทว่าต้องใช้เวลานานว่าเขาจะมายังเหอตงตามคำขอร้องในจดหมาย ยิ่งไปกว่านั้นแล้วคน ๆ นั้นอาจจะไม่เต็มใจช่วยก็เป็นได้ อารมณ์ของเขานั้นคาดเดาไม่ค่อยได้ ถังหลี่อาจจะทำให้เขาตกลงร่วมมือไม่ได้ แต่ไม่ว่าเขาจะตอบเช่นไร ถังหลี่ก็ยืนยันที่จะทำเรื่องนี้ต่อไป ถังหลี่จึงไม่อยู่รอเฉย ๆ ระหว่างนี้จึงพูดคุยกับหลูหลิงอยู่บ่อยครั้ง
….
สำนักศึกษาหลวง
ต้าเป่า สวี่เจวี๋ย และ จั๋วชู ค่อย ๆ คุ้นเคยในสำนึกศึกษาแห่งนี้ ทั้งสามคนเป็นสหายที่สนิทไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ พูดคุยซักถามถึงการบ้านและบทเรียนบ่อย ๆ
พวกเขาต่างได้รับคำเชยชมจากอาจารย์บ่อยครั้ง ในหมู่ศิษย์ด้วยกัน ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยเป็นที่ชื่นชอบมาก ส่วนความรู้สึกที่คนอื่น ๆ มีต่อจั๋วชูก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
“จั๋วชูเป็นคนมีน้ำใจมากเลย วันนี้เขาตอบคำถามข้าด้วย”
“ใช่ แม้จะยากจนแต่ก็มีความทะเยอทะยาน ในภายหน้าจั๋วชูต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ฉีเหยาเหวินได้ยินบทสนทนาถึงจั๋วชูในทางที่ดี หน้าตาของเขาก็มืดครึ้มลง ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเรียนที่สำนักหงเหวินเขารู้สึกว่าจั๋วชูตามหลังเขา แต่แล้วเหตุใด จู่ ๆ จึงได้ดีไปกว่าเขาเล่า?
ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงในหมู่เด็กนักเรียนด้วยกัน แต่หลังจากที่จั๋วชูเข้ามา เขาก็เริ่มส่องแสงเปล่งประกายมากขึ้น เมื่อฉีเหยาเหวินสอบเข้าสำนักศึกษาหลวงได้ แต่จั๋วชูกลับสอบตกถึงหลายครั้ง ฉีเหยาเหวินแอบมีความสุข
ทว่าครั้งนี้จั๋วชูกลับสอบเข้ามาได้เป็นลำดับที่สาม! เดิมทีฉีเหยาเหวินตั้งใจจะใช้อุบายเดียวกันกับที่เคยทำ เพื่อให้คนในสำนักศึกษาปฏิเสธที่จะผูกมิตรกับจั๋วชู แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจั๋วชูจะเป็นสหายของสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง! ทำให้เขาไม่เคยมีโอกาสเล่นงานจั๋วชู
ยามที่ได้ยินเด็กนักเรียนเหล่านั้นพูดถึงจั๋วชูในแง่ดี ใบหน้าของฉีเหยาเหวินจะบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เขาหันหลังกลับไปหลบในมุมที่ไม่มีคนอยู่ ระบายความหดหู่ในใจของเขา
“พี่ฉี พี่เป็นอะไรหรือ?” มีเสียงถามดังขึ้น
ฉีเหยาเหวินหันหน้าไปมอง เบื้องหน้าของเขาเป็นเด็กอ้วนผู้หนึ่งที่มีน้ำหนักตัวมากจนเห็นดวงตาแค่ขีดเดียวเท่านั้น เขาสวมเสื้อผ้าหรูหราแต่ดูสกปรก ความขยะแขยงวาบขึ้นมาในสายตาของฉีเหยาเหวิน เจียงเฉิงเป่าไอ้อ้วนที่คอยตามเขาทุกวันอย่างน่ารำคาญ!
“นี่สำหรับท่าน ข้าให้คนไปต่อแถวซื้อขนมมาจากหยุนเยว่ซวน”
เจียงเฉิงเป่ามีท่าทีนอบน้อมกับเขา ทว่าใบหน้าของฉีเหยาเหวินไม่ค่อยดีนัก
“เจียงเฉิงเป่านี่หมายความว่าอย่างไร? เจ้าดูถูกเห็นว่าข้าเป็นขอทานหรือ? เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร?”
เจียงเฉิงเป่ารู้สึกประหม่าเมื่อได้ยินคำกล่าวหา
“ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าคิดว่ามันอร่อยเลยอยากให้ท่านได้ลองกิน ! ถ้าท่านไม่อยากได้ ข้าจะไม่ให้ท่าน ส่วนเงินนี่…”
เจียงเฉิงเป่าถือเงินไว้ในมือ ทุกครั้งที่เขาได้รับค่าขนมเขาจะมอบมันให้กับฉีเหยาเหวิน แต่ถ้าเขาเอาเงินจำนวนนี้ให้ พี่ฉีจะโกรธเขาไหม?
ฉีเหยาเหวินมองเงินในมือของเจียงเฉิงเป่า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เขาไม่มีเงินติดตัวเลย
ตอนบ่ายของวันนี้เขาต้องไปดื่มชากับสหายร่วมชั้นที่จูเซียนจู หากไม่มีเงินติดไม้ติดมือไปเลยคงเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก…
จู่ ๆ ก็มีไอ้หมูอ้วนเดินเอาเงินมาให้ถึงหน้าประตู เขาจะไม่รับมันได้อย่างไร?
“ช่างเถอะ! ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นข้าเป็นสหาย เอาเงินมาให้ข้าเหมือนเดิมนั่นแหละ”
เจียงเฉิงเป่ายิ้มแย้มแจ่มใส เขามอบเงินให้แก่พี่ฉีทันที
ฉีเหยาเหวินมองเด็กอ้วนด้วยสีหน้าครุ่นคิด
แม้ว่าเจ้าหมูอ้วนตัวนี้จะน่าขยะแขยงเพียงใด แต่เขาก็เป็นบุตรชายคนเดียวของสกุลเจียงซึ่งเป็นหนึ่งในพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองเหอตง เจ้าเด็กอ้วนยังนับว่ามีประโยชน์ต่อเขาไม่น้อย
“เจียงเฉิงเป่าเจ้าเห็นข้าเป็นสหายจริง ๆ หรือ?” ฉีเหยาเหวินถาม
“แน่นอน ท่านคือเพื่อนคนเดียวของข้า!” เจียงเฉิงเป่ารีบพูดอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขามีแต่ความจริงใจ
เขาจำได้ดีว่า ตอนแรกที่เข้ามายังสำนักศึกษาแห่งนี้ ทุกคนปฏิเสธและหัวเราะเยาะเขา มีเพียงฉีเหยาเหวินเท่านั้นที่เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม เขารักฉีเหยาเหวินในฐานะสหายเป็นอย่างมาก เมื่อโดนถามเช่นนี้เขาจึงรีบตอบไปแบบไม่ต้องคิด
“จั๋วชูมาจากสำนักศึกษาเดียวกับข้า เราเป็นสหายร่วมชั้นกันมาก่อน เป็นเรื่องธรรมดาที่ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข้าห่วงใยเขาแต่เขากลับเมินเฉยต่อข้า เหตุใดเขาถึงได้ทำเช่นนั้นกับข้า?”
ฉีเหยาเหวินพูดด้วยความลำบากใจ
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็อย่าไปสนใจเขาเลย!” เจียงเฉิงเป่ากล่าว
“เวลาข้าเห็นเขาข้าหงุดหงิดมากเลย… เจ้าช่วยไล่เขาออกไปจากสำนักศึกษาได้หรือไม่?” ฉีเหยาเหวินถาม
“ทำอย่างไรหรือ?” เจียงเฉิงเป่าพูดด้วยน้ำเสียงเบาลง
“ที่บ้านของเจ้ามีบ่าวรับใช้ไหม?”
….
จั๋วชูต้องทำความสะอาดสนาม หลังเลิกเรียน สนามของสถานศึกษาที่นี่มีขนาดใหญ่มาก ถึงจะทำคนเดียวได้แต่ก็ย่อมใช้เวลาหลายชั่วยาม ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยมักจะอยู่ช่วยจั๋วชูอยู่สักพัก เพื่อแบ่งเบางานของจั๋วชูให้น้อยลง
จั๋วชูไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากทั้งสองคนอีกต่อไป เขาถือว่าทั้งคู่เป็นมิตรแท้ของเขา หากปฏิเสธไปอาจจะกลายเป็นเรื่องผิดใจกันได้
จั๋วชูเคยได้ยินจากน้องชายของเว่ยจื่ออั๋งว่า ในนิทานมีคำกล่าวว่า “มีพี่น้องที่ดี ก็เปรียบเสมือนมีดาบที่แหลมคม”
ทั้งเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเองก็เป็นดั่งพี่น้องของจั๋วชู พวกเขาเป็นดาบ!
“จั๋วชูมีคนมาตามหาเจ้าที่ประตูสำนัก”
สหายร่วมชั้นคนหนึ่งวิ่งเข้ามาและตะโกนบอก
“ข้าหรือ?” จั๋วชูรู้สึกประหลาดใจ
ใครกันที่มาหาเขา? หรือว่าจะเป็นบิดามารดาของเขาเอง? มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา แล้วให้คนมาส่งข่าวหรือเปล่า?
จั๋วชูตื่นตระหนกทันที เขาวางไม้กวาดลงทันทีก่อนจะรีบเดินไปยังด้านหน้าของสำนัก
“ใครมาหาเขากัน?” ต้าเป่าหันไปถามเพื่อนร่วมชั้น
“มีหลายคนเลย อายุราวสิบหรือยี่สิบปี สวมชุดบ่าวรับใช้ท่าทางดุร้าย” ชายผู้นั้นตอบ
“บ่าวรับใช้?” ต้าเป่ารู้สึกแปลกใจ
หากพูดตามความจริงแล้วจั๋วชูย่อมไม่รู้จักคนตระกูลใหญ่แบบนี้ เหตุใดพวกเขาจึงมาตามหาจั๋วชูกัน?
“สวี่เจวี๋ย เราไปดูไหม?” ต้าเป่าถาม สวี่เจวี๋ยพยักหน้ารับคำ
ทั้งสองคนวางไม้กวาดในมือลงเมื่อเดินไปถึงบริเวณหน้าสำนักศึกษา พวกเขาก็ไม่เห็นใครเลย
“ต้าเป่า ดูสิ ของจั๋วชู”
สวี่เจวี๋ยหยิบถุงเงินขึ้นมาจากพื้น ถุงเงินที่ขาดวิ่นนั้นมีเหรียญทองแดงสองเหรียญอยู่ในนั้น จั๋วชูรักษาสิ่งนี้ยิ่งชีพ หากมันตกอยู่กับพื้นเช่นนี้ ย่อมต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับจั๋วชูเป็นแน่!
[1] ตายใต้ดอกโบตั๋นแม้เป็นผีก็สำราญ หมายถึงเสียสละชีวิตเพื่อผู้หญิง เป็นสิ่งที่คุ้มค่า