บทที่ 376 : วันสุดท้ายของตระกูลไป๋ (1)
”หากข้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญล่ะเจ้าจะเชื่อหรือไม่? ” ตี้คังขมวดคิ้วพร้อมกับยิ้ม
ไป๋หยานเชิดริมฝีปากใส่โดยไม่กล่าวคำใด
ฉู่อี้เฟิงติดตามนางตลอดเวลาทว่านางกลับไม่เคยรู้เลย หากตี้คังไม่จูบนางเมื่อครู่ กลิ่นอายของฉู่อี้เฟิงก็คงจะไม่ถูกเปิดเผย แม้แต่นางก็คาดไม่ถึงว่าฉู่อี้เฟิงจะอยู่ที่นี่
เมื่อเปรียบเทียบกับไป๋หยานที่กำลังสับสนแล้วไป๋เสี่ยวเฉินกลับหน้าบานเป็นจานเชิง ใบหน้าเล็ก ๆ นุ่ม ๆ กลม ๆ อมชมพูพลันมีรอยยิ้มที่สดใส
”พ่อบุญธรรมท่านมาหาเฉินเอ๋อกับหม่ามี้เหรอ ?”
ฉู่อี้เฟิงยิ้มอย่างสงบขณะกล่าวว่า “ข้าไม่ไว้ใจมารดาของเจ้า เช่นนั้นจึงแอบตามนางมา”
”ภรรยาของข้าข้าดูแลเองได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนผู้อื่น”
ตี้คังรู้ว่าไป๋หยานต้องการที่จะสลัดมือของนางออกจากการเกาะกุมของเขาหัวใจของเขาพลันหดหู่อย่างกระทันหัน เขาจับแขนนางไว้แน่น พร้อมกันนั้นก็รั้งร่างของนางให้แนบชิดติดหน้าอกของเขา
เขาเชื่อคำนางทว่าเขาก็ไม่ยอมปล่อยนาง !
ฉู่อี้เฟิงย่อมเห็นการกระทำของคนทั้งคู่ที่อยู่ด้านล่างทว่าเขาก็ยังคงยิ้มน้อย ๆ
ถึงแม้จะยิ้มแต่หากดูดี ๆ จะรู้สึกได้ถึงความขมขื่นที่แอบแฝง
”แม้ว่าหยานเอ๋อจะปฏิเสธข้าทว่าข้าก็ถือเสมือนหนึ่งพี่ชายของนาง เช่นนั้นข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะปกป้องนาง”
ฉู่อี้เฟิงไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องอับอายแต่อย่างใดที่ถูกไป๋หยานปฏิเสธเขาไม่คาดคิดว่าหลังจากเขาพูดจบฝูงชนจะฮือฮากันทั่ว
หากบอกว่าไป๋จื่ออิจฉาถึงตอนนี้ก็คงเรียกได้ว่านางบ้าคลั่งไปแล้ว นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นขณะจ้องมองไป๋หยาน นางกัดริมฝีปากกระทั่งเลือดไหลซิบ
ในขณะที่ไป๋จื่อกำลังทุกข์ทรมานกับความริษยาอยู่นั้นสายตาที่โกรธเกรี้ยวคู่หนึ่งพลันหันมาจ้องมองนาง
ร่างของไป๋จื่อแข็งทื่อนางหันหนีโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าสบตากับลู่จีเฟิง
แววตาของลู่จีเฟิงเต็มไปด้วยความตกใจเขาทั้งโกรธทั้งไม่อยากเชื่อ
คราก่อนนั้นเพื่อที่จะให้ร้ายไป๋หยานไป๋จื่อสาธยายว่าไป๋หยานเป็นสตรีที่หิวอำนาจ ยอมสละทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผู้ชายหลงใหล
ฮึฮึอำนาจงั้นรึ ? นางเป็นถึงเจ้าเกาะศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ประมุขแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขายังให้สิทธิสูงสุดแก่นาง เช่นนั้นจะมีอำนาจใดยิ่งใหญ่พอที่จะดึงดูดใจนางได้อีกกระนั้นหรือ ?
ยั่วยวนให้ผู้ชายหลงใหล
ขนาดประมุขน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังถูกนางปฏิเสธบุรุษประเภทใดกันที่ควรค่าให้นางยั่วยวน ?
ถึงตอนนี้ลู่จีเฟิงก็รู้แล้วว่า เขาถูกคำหลอกลวงของไป๋จื่อทำให้ตาบอด ! ซ้ำร้ายเขายังถูกขับออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย !
ตลกสิ้นดีที่เมื่อครู่เขายังพยายามหาวิธีปกป้องไป๋จื่อ
ลู่จีเฟิงหลับตาลงอย่างเจ็บปวดตอนนี้เขารู้แล้วว่า เขาทำเกินเลยไปมากเพียงใด
หนานกงอี้ซึ่งนอนกึ่งเป็นกึ่งตายบนพื้นดินได้ถูกลืมไปแล้ว
ร่างของหนานกงอี้ขดงออยู่ณ มุม ๆ หนึ่ง เขามองไป๋หยานด้วยแววตาสุดแสนเสียดาย
เดิมทีสตรีผู้นี้ควรเป็นภรรยาของเขาหากมิใช่เป็นเพราะไป๋รั่ววางแผนจับเขาโดยการตั้งครรภ์ บางทีเขาและไป๋หยานอาจจะแต่งงานกันไปแล้ว ! จากนั้นเขาก็จะได้รับเกียรติสูงสุดนี้แทน
หากแต่เขาเข้าใจผิดจึงเลือกตาปลามาแทนไข่มุกทำให้พลาดสตรีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
”แค่กๆ” เจิ้งฉีกระแอม “ท่านประมุขน้อย ไว้เราค่อยพูดถึงเรื่องหนุ่ม ๆ สาว ๆ ในภายหลังเถิด พวกเราไปที่บ้านสกุลไป๋เพื่อสะสางบัญชีแค้นกันก่อนดีกว่า ! จะปล่อยให้คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เราถูกรังแกง่าย ๆ ได้ยังไง ? ”
ฉู่อี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเขาจับจ้องมองไป๋หยานไม่ได้คลาดสายตาเสมือนสายตาของเขามีไว้เพื่อมองนางเท่านั้น เขาไม่ใส่ใจทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้
”ทว่า…”เหรินอี้ขมวดคิ้ว “เราส่งคนไปแจ้งไป๋เฉิงเซียงแล้ว ว่าให้เขาไสหัวมาตายที่นี่ ก็แล้วเหตุใดเขาถึงยังไม่มา ?
***จบบทวันสุดท้ายของตระกูลไป๋ (1)***
บทที่ 377 : วันสุดท้ายของตระกูลไป๋ (2)
ฉู่อีอี้แปลกใจมากกับถ้อยคำดังกล่าว
”ผู้อาวุโสรองข้าจำได้ว่า ท่านไม่ได้พาคนของเรามายังอาณาจักรหลิวฮั่วนี่ด้วย ก็แล้วท่านให้ผู้ใดไปแจ้งไป๋เฉิงเซียงล่ะ ? ในเมื่อท่านเองก็ต้องรอให้คนของลู่จีเฟิงพามามิใช่รึ ? หรือท่านให้คนของลู่จีเฟิงไปแจ้งไป๋เฉิงเซียง”
แล้วคนอย่างไป๋เฉิงเซียงมีหรือจะยินยอมเดินเข้ามาหาความตายง่ายๆ ?
”ไม่ต้องกังวลบังเอิญข้าเจอคนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาน่ะ” เหรินอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม เขามองกราดไปที่ฝูงชน ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นร่าง ๆ หนึ่งกำลังหันหลังกลับก้าวออกจากกลุ่มฝูงชน ทีท่าของชายผู้นั้นแลดูมีเลศนัย เขาตะโกนขึ้นทันที “หยุดนะ ! ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นกลัวมากเขารีบวิ่งหนี ทำให้เหรินอี้โกรธ เหรินอี้รีบวิ่งไปดักข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ถึงตัวเหรินอี้ก็กระชากสาบเสื้อของชายวัยกลางคนพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
”เหตุใดเจ้าจึงต้องวิ่งหนีด้วย? เห็นข้าเป็นมนุษย์กินคนหรือไร ? ข้าขอให้เจ้าไปบอกไป๋เฉิงเซียง ก็แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่อีก ?”
ชั่วขณะนี้ทุกคู่สายตาต่างก็จับจ้องมองชายวัยกลางคนผู้ซึ่งถูกเหรินอี้จับตัวไว้
ไป๋หยานตกตะลึงแววตาของนางแลดูแปลกไป
ท่านอาจารย์บอกว่าพบคนสัญจรไปมาจึงสั่งความให้คนผู้นั้นไปแจ้งบ้านสกุลไป๋แต่กลับกลายเป็นว่า ผู้ที่เขาให้ไปแจ้งก็คือ ผู้ที่เขาตามหากระนั้นรึ ?
จะโชคดีไปมั้ย?
ใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงนั้นซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวราวกับว่าเขาจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ
เขาเห็นชายชราเหล่านี้มาตามหาไป๋หยานจึงคิดเองเออเองว่าชายชราทั้งสามกับไป๋หยานต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมเช่นนั้นหลังจากที่ชายชราทั้งสามแยกจากมา เขาก็รีบตามมาที่วังหลวง
อย่างไรก็ตามด้วยฝีเท้าของเขาไม่สามารถตามอาจารย์ทั้งสามได้ทัน ดังนั้นบรรดาอาจารย์ทั้งสามจึงมาถึงที่นี่ ก่อนที่เขาจะมาถึง
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นเขาจึงไม่รู้ไม่เห็น เพราะตอนที่เขากำลังจะแฉเรื่องของไป๋หยาน ฉู่อี้เฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี !
ขณะที่ฉู่อี้เฟิงปรากฏตัวขึ้นนั้นในความคิดของเขาฉู่อี้เฟิงและฉู่อีอี้ต่างก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ แต่ครั้นผู้คนที่อยู่รอบข้างร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นว่า ทั้งสองก็คือประมุขน้อย และองค์หญิงน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ชั่วขณะนั้นไป๋เฉิงเซียงก็เกิดอาการงงงัน ทันทีที่เขาเริ่มรู้สึกตัว เขาก็ได้ยินถ้อยคำของเหรินอี้ เขารีบหันหลังกลับหวังที่จะหลบหนี โชคไม่ดีที่เขาถูกจับตัวได้
”ท่านอาจารย์”ไป๋หยานกล่าวพร้อมกับยิ้ม “ผู้ที่ท่านกำลังตามหาก็อยู่ตรงหน้าท่านไงล่ะ”
อยู่ต่อหน้าข้าหมายความว่าไง ?
เหรินอี้จ้องตาชายตรงหน้าก่อนจะตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าก็คือไอ้ลูกหมาไป๋เฉิงเซียงงั้นรึ ?”
พร้อมเสียงคำรามเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นก็กดดันไป๋เฉิงเซียง กระทั่งเขาหายใจแทบไม่ออก
”เจ้าคนสารเลวเจ้ารังแกศิษย์รักของข้าใช่หรือไม่ ?” เหรินอี้โยนไป๋เฉิงเซียงเข้าไปท่ามกลางฝูงชนอย่างแรง พร้อมกับตะโกนอย่างโมโห “เจ้ารังแกศิษย์ของข้า ทั้งยังโกหกข้าว่าเจ้าไม่ใช่ไป๋เฉิงเซียง หากวันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า ข้าต้องถูกสวรรค์ลงโทษเป็นแน่ ! ”
ในบรรดาชายชราทั้งสามฉิวชู่หรงเป็นคนโกรธง่ายที่สุด เจิ้งฉีเป็นคนที่เฉยเมยที่สุด ส่วนเหรินอี้นั้นอยู่กลาง ๆ ไม่โกรธง่าย ทว่าก็ไม่ถึงกับเฉยเมย หากแต่ในตอนนี้ชายชราทั้งสามต่างก็โกรธ นัยน์ตาแหลมคมของพวกเขาไม่ต่างใดกับใบมีดที่สามารถแล่เนื้อไป๋เฉิงเซียงออกเป็นชิ้น ๆ ได้
ไป๋เฉิงเซียงร่วงลงบนพื้นอย่างเจ็บปวดเขาพยายามลุกยืนขึ้น ทว่าผู้คุ้มกันของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ตรงเข้ารายล้อมรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว
”ท่านลู่”ไป๋เฉิงเซียงรีบมองไปทางลู่จีเฟิง เขาหวังขอความช่วยเหลือ
ลู่จีเฟิงเหยียดปาก”เจ้ายังทำร้ายข้าไม่พออีกกระนั้นรึ ? หากมิใช่เป็นเพราะพวกเจ้า ข้าจะทำให้ผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขุ่นเคืองได้อย่างไร เหตุใดข้าต้องต่อรองกับแม่นางไป๋เพื่อเจ้าด้วย ? เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร ? ”
ไป๋เฉิงเซียงตกตะลึง
ขณะที่คนอื่นต่างก็หันไปให้ความสนใจลู่จีเฟิง
***จบบทวันสุดท้ายของตระกูลไป๋ (2)***
บทที่ 378 : วันสุดท้ายของตระกูลไป๋ (3)
ไป๋หยานยังมีฐานะอื่นอีกหรือนี่?
ลู่จีเฟิงมองเยาะ”เจ้าก็รู้สถานะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเราเป็นอย่างดี แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีเกาะศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย ? เกาะศักดิ์สิทธิ์นี้ประมุขของเราไม่ได้มอบให้องค์หญิงน้อย ทว่ากลับมอบให้แม่นางไป๋หยาน ! เช่นนั้นสถานะของนางในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเราคืออะไรก็ลองคิดดู ?”
ร่างของไป๋เฉิงเซียงสั่นเทาเขาส่ายศีรษะพลางกล่าวกับตัวเองว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าบอกว่าแม้แต่องค์หญิงน้อย ประมุขแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่เต็มใจที่จะมอบเกาะศักดิ์สิทธิ์ให้นาง ก็แล้วเหตุใดถึงมอบให้กับไป๋หยานเล่า ?”
”เฮ้อ!” ลู่จีเฟิงหลับตาลงด้วยความเสียใจอยู่นาน ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง “การปรุงยาของแม่นางไป๋นั้นอยู่ในระดับสูงส่งมาก แม้แต่หัวหน้าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจเทียบเท่านาง ก็แล้วประมุขแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่เกรงใจนางได้อย่างไร ? ”
นั่นเป็นสาเหตุที่อาจารย์ของลู่จีเฟิงกล่าวเตือนเขาว่าอย่าได้ยั่วยุเกาะศักดิ์สิทธิ์
ที่นั่นมีหมอปรุงยาผู้ลึกลับทั้งทรงพลังที่ไม่มีผู้ใดสามารถยั่วยุได้
ราวสายฟ้าฟาดใส่ร่างไป๋เฉิงเซียงตัวสั่นระริก นัยน์ตาที่สิ้นหวังของเขามองผ่านฝูงชนไปที่ไป๋หยาน
ไม่!
เขาจะตายไม่ได้!
เขายังมีไพ่ไม้ตายใบสุดท้าย
นัยน์ตาสีเทาของไป๋เฉิงเซียงฉายประกายสดใสขึ้นอีกคราเขาลุกขึ้นจากพื้น ทรงตัวให้มั่นคงก่อนจะเดินเข้าไปหาไป๋หยานอย่างรวดเร็ว
ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ถูกผู้คุ้มกันแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยุดไว้
เขาอยู่ห่างจากนางเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นสายตาวิงวอนของเขามองไปที่ไป๋หยาน
”หยานเอ๋อพ่อรู้ว่า พ่อผิดไปแล้วจริง ๆ เห็นแก่ที่ว่าพ่อเป็นพ่อแท้ ๆ ของเจ้า เจ้าละเว้นพ่อสักครั้งเถิด พ่อต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างแน่นอน”
ไป๋หยานจิกริมฝีปากพลางมองหน้าไป๋เฉิงเซียงพร้อมแค่นยิ้ม
ครั้นเห็นรอยยิ้มเยาะของนางไป๋เฉิงเซียงก็กัดฟันกล่าวต่อว่า “ชีวิตของเจ้า เลือดเนื้อของเจ้าล้วนแล้วแต่มาจากความทุกข์ทรมานของพ่อแม่ หากไม่มีพ่อเจ้าจะเกิดมาได้เยี่ยงไร หยานเอ๋อ ไม่ว่าพ่อจะทำผิดพลาดมากเพียงใดก็ตาม อย่างไรเสียพ่อก็เป็นพ่อของเจ้า”
ครั้นเห็นไป๋เฉิงเซียงพยายามเกลี้ยกล่อมไป๋หยานนัยน์ตาของตี้คังก็ส่อเจตนาสังหาร เขามองไป๋เฉิงเซียงอย่างเย็นชา
ทันใดนั้นเองไป๋เฉิงเซียงก็รู้สึกราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เขารู้สึกเย็นจนชาไปทั่วร่าง
โชคดีที่เวลานี้ไป๋หยานเปิดปากพูดเสียก่อน
”ในเมื่อพูดถึงพ่อแท้ๆ ของข้า ข้าก็มีเรื่องจะประกาศ … ”
ไป๋หยานยกมือขึ้นพลันจดหมายที่เก่ากระทั่งเหลืองก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
เว้นแต่ไทเฮาและไป๋เซียวแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้
”จดหมายฉบับนี้ท่านแม่ของข้า หลานเยี่ย มอบให้แก่ไทเฮาก่อนที่นางจะสิ้นใจ และเมื่อไม่นานมานี้ ไทเฮาก็มอบมันให้กับข้า”
ไป๋หยานค่อยๆ ลดสายตาลงมองไป๋เฉิงเซียง
แววตาของนางแจ่มใสกระทั่งไป๋เฉิงเซียงอดใจเต้นตูมตามขึ้นมาไม่ได้
”จดหมายของหลานเยี่ยกระนั้นหรือ?” น้ำเสียงของเขาสั่นคลอนเล็กน้อย
มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดทว่าเขารู้สึกอึดอัดใจเสียเหลือเกิน
ไป๋หยานไม่สนใจไป๋เฉิงเซียงอีกต่อไปนางยิ้มน้อย ๆ “เหตุที่ท่านแม่ของข้าเสียชีวิตก็คือ เว่ยฟาง มารดาของหยูหรง ซึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยฐานะแขกพิเศษเนิ่นนานหลายปี นางเป็นผู้วางยาพิษท่านแม่ของข้า”
เว่ยฟางเป็นชื่อจริงของหยูฮูหยินนางถูกเรียกขานว่าหยูฮูหยินภายหลังจากที่นางได้แต่งงานกับเจ้าบ้านหยู
”เป็นไปไม่ได้!” ใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงซีดจนเป็นสีขาว น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนแรง “นางไม่มีทางวางพิษเยี่ยเอ๋อได้แน่”
บางทีแม้แต่ไป๋เฉิงเซียงเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เพราะหากไม่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เขาก็คงจะเชื่อมั่นในตัวหยูฮูหยิน และหยูหรงต่อไป
หากแต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าแม่-ลูกคู่นี้ร้ายกาจเพียงใด พวกนางทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน
***จบบทวันสุดท้ายของตระกูลไป๋ (3)***
บทที่ 379 : วันสุดท้ายของตระกูลไป๋ (4)
”เรื่องที่สอง”ไป๋หยานหันกลับไปมองไป๋เฉิงเซียง “นั่นก็คือ ท่านแม่ของข้าได้ให้กำเนิดทารกที่ตายตั้งแต่แรกคลอด บังเอิญว่า สหายเก่าคนหนึ่งของนางขอร้องให้นางช่วยดูแลลูกแทน นางจึงขอให้ผู้ที่รู้เรื่องนี้ช่วยแอบจัดการกับลูกที่ตายแล้วไปของนาง จากนั้นก็นำลูกของสหายมาเลี้ยงแทน และเด็กผู้นั้นก็คือข้า”
นี่หลานเยี่ยให้กำเนิดทารกตายตั้งแต่แรกคลอดกระนั้นรึ?
เมื่อเทียบกับข่าวที่หยูฮูหยินวางยาพิษหลานเยี่ยแล้วข่าวใหม่นี่ทำให้ฝูงชนวุ่นวายมากกว่านัก
หากหลานเยี่ยให้กำเนิดบุตรที่ตายตั้งแต่แรกคลอดแล้วเช่นนั้นไป๋หยานก็มิใช่บุตรของไป๋เฉิงเซียงกระนั้นสิ ?
”แล้วทีนี้… ” “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกกระนั้นหรือ ?” นางกล่าวพร้อมกับทีท่าเยาะเย้ย
ไป๋เฉิงเซียงเข่าอ่อนเขาทรุดร่างลงกับพื้น พร้อมกับส่ายศีรษะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังขณะกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่หลานเยี่ยจะให้กำเนิดบุตรที่ตายแล้ว ? เป็นไปไม่ได้ … ”
”เป็นไปไม่ได้อะไร?” ไทเฮาทนฟังไม่ได้อีกต่อไป นางขมวดพระขนงพร้อมกับลุกขึ้นยืน “จดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายก่อนตายที่หลานเยี่ยมอบไว้ให้ทายาทของนาง มิใช่ของปลอมแน่ สวรรค์ช่างยุติธรรม คนเยี่ยงเจ้าจะมีบุตรดี ๆ เช่นนางได้อย่างไร ? ข้าไม่อยากคิดด้วยซ้ำว่าเซียวเอ๋อก็เป็นบุตรของเจ้า ! ”
ไป๋เฉิงเซียงหลับตาลงอย่างเจ็บปวดดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งในร่างของเขาจะอันตรธานไปสิ้นแล้ว เขาไม่สามารถกล่าวคำใดได้อีก
คราวนี้เขาเข้าใจแล้วว่าตระกูลไป๋คงจะจบสิ้นเป็นแน่ และจะไม่มีวันกลับฟื้นคืนได้อีก !
”พี่ใหญ่”ไป๋เซียวก้าวมายืนเคียงข้างไป๋หยาน อายเย็นเยือกปรากฏบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา “ข้าอยากล้างแค้นให้ท่านแม่ด้วยมือของข้าเอง ข้าจะเซ่นดวงวิญญาณของนางด้วยเลือดของผู้ที่ทำร้ายนาง”
ไป๋หยานพยักหน้าเล็กน้อย”ได้สิ ฉู่อีอี้ เจ้าพาคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตามเซียวเอ๋อไป ข้าไม่ต้องการให้มือของเขาเปื้อนเลือดมากเกินไป”
ไม่ว่าไป๋เซียวจะเติบใหญ่เพียงใดทว่าในใจของนาง เขายังคงเป็นเด็ก ใสสะอาดและบริสุทธิ์
”ไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” ฉู่อีอี้ตบอกให้สัญญา “พวกเจ้าไปกับข้า !”
”ขอรับ”
ผู้คุ้มกันหลายคนที่โดนฉู่อีอี้ชี้ต่างก็ก้าวออกมาพวกเขากล่าวรับด้วยความเคารพ
ตี้เสี่ยวอวิ๋นมองฉู่อีอี้จากนั้นก็หันกลับไปมองไป๋หยาน พลางกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้ ท่านมีอะไรให้ข้าช่วยบ้างมั้ย ?”
”เจ้าอยากจะช่วยอะไรล่ะ?”
”อะไรก็ได้”
เพียงขอแค่ออกไปจากที่นี่นางไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ พี่ชายของนาง ยามนี้นางประสาทจะกินแล้ว
”เช่นนั้นเจ้าก็ไปที่บ้านสกุลหลานแจ้งท่านตาของข้าให้เตรียมห้องไว้ วันนี้ท่านอาจารย์ของข้าจะไปพักที่นั่น” ไป๋หยานสั่งความหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่
”ได้พี่สะใภ้”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นรู้สึกราวกับได้รับนิรโทษกรรมนางวิ่งตื๋อออกไปไม่ต่างกับลูกอุกกาบาตที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตานางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตี้คังมองตามทิศทางที่ตี้เสี่ยวอวิ๋นจากไปพร้อมกับขมวดคิ้ว”นี่ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยงั้นรึ ?”
ครั้นไป๋หยานรับรู้ได้ถึงความรู้สึกซึมเศร้าภายในหัวใจของตี้คังนางก็อดที่ที่จะยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติไม่ได้
”ก็ท่านชอบข่มขู่นางจะไม่ให้นางหวาดกลัวท่านได้เยี่ยงไร ?”
ตี้คังยกยิ้ม”นี่…เจ้าช่วยพูดแทนนางงั้นรึ ?”
”ข้าก็แค่พูดความจริง”
”งั้นรึ”ตี้คังดึงไป๋หยานเข้าสู่อ้อมแขน “ข้าไม่ตีนางก็ดีมากแล้ว เจ้าคาดหวังให้ข้าปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกับเจ้างั้นหรือ ? ข้าจะไม่ทำเช่นนี้กับสตรีใดเว้นแต่เจ้า ไม่แม้แต่กับน้องสาวของข้าเอง ”
สีหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ
นี่นางควรจะดีใจหรือควรจะเห็นใจตี้เสี่ยวอวิ๋นดี ?
”ไม่ต้องห่วงอีกไม่นานนางก็มีคนรักคอยเอาอกเอาใจ สำหรับข้า” ตี้คังแสร้งทำไม่เห็นสีหน้าดำคล้ำของไป๋หยาน “ผู้ที่ข้าต้องคอยเอาอกเอาใจก็มีเพียงเจ้า”
”แล้วเฉินเอ๋อล่ะ?”
***จบบทวันสุดท้ายของตระกูลไป๋ (4)***
บทที่ 380 : ไป๋จื่อหญิงโง่เง่า (1)
สายตาเย็นชาเย่อหยิ่งเต็มไปด้วยอาการคุกคามของตี้คังกวาดไปทางเจ้าซาลาเปาน้อยที่อยู่ข้างกายไป๋หยาน “เมื่อลูกชายของเราเติบใหญ่ขึ้น ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะต้องออกไปสร้างครอบครัวของตนเอง และภายหน้าเขาก็ต้องเอาอกเอาใจลูกสะใภ้ของเรา”
เจ้าซาลาเปาน้อยรู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาดนี่ป๊ะป๋าวายร้ายของเขาจะให้เขาไปอยู่กับผู้อื่นงั้นหรือ ?
ไหนหม่ามี้บอกว่าหากเขาพบพ่อ พ่อจะชิงตัวเขาไปจากหม่ามี้ไงล่ะ ?
“หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินเรียก นัยน์ตาที่สดใสของเขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจ “เฉินเอ๋อ ยังคงคิดเหมือนเดิมว่า หม่ามี้เป็นภรรยาของพ่อบุญธรรมดีกว่า หรือว่าจะไปเป็นภรรยาของลุงหวังบ้านข้าง ๆ ก็ไม่เลวนะ เพราะแม้ว่าลุงหวังจะหน้าตาน่าเกลียดไปซักหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็ชอบเฉินเอ๋อ ทั้งเขาก็มีเงิน … ”
ตี้คังหรี่ตาพร้อมกับยกยิ้มอันตราย “ผู้ใดคือลุงหวัง ?”
ไป๋หยานอธิบายอย่างอึดอัด”เขาอาศัยอยู่บ้านข้าง ๆ เป็นบิดาของหวังเสี่ยวผาง เราเคยพบกันเพียงสองครั้งเท่านั้น”
สีหน้าของตี้คังแลดูดีขึ้น”เจ้าไม่ชอบผู้ชายที่มีลูกแล้ว และเจ้าก็ไม่ชอบคนน่าเกลียด เช่นนั้นจึงไม่มีความเป็นไปได้ระหว่างเจ้ากับเขา”
คิดคิดดูแล้วเจ้าควรต้องชอบผู้ชายเช่นข้า เพราะถึงแม้ว่าข้าจะมีลูกชาย แต่ลูกชายของข้าก็เป็นลูกชายของเจ้าเช่นกัน ดังนั้นเจ้าย่อมสามารถอยู่กับข้าได้ตลอดชีวิต
นัยน์ตาของฉู่อี้เฟิงมัวสลัวแลดูเศร้าสร้อยบางทีไป๋หยานอาจไม่ทันสังเกตว่า ทุกครั้งที่นางยืนเคียงข้างอ๋องคัง สายตาของนางก็ไม่เคยแลเหลียวหันมองผู้ใดเลย
บางทีเขาอาจต้องใช้สถานะพี่ชาย เพื่อติดตามนางไปชั่วชีวิต
”อี้เฟิง… ”
ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาหม่นหมองของฉู่อี้เฟิงพลันหัวใจของนางก็สั่นไหว นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
เพียงไม่ช้าฉู่อี้เฟิงก็หลุดออกจากอารมณ์นั้น เขายังคงเฉยเมยส่งยิ้มน้อย ๆ ราวกับภาพวาด
ฉู่อี้เฟิงมองตี้คังน้ำเสียงของเขานิ่งสงบ “แม้ข้าจะไม่ได้รับความรักจากหยานเอ๋อ ทว่าตำแหน่งของนางในใจของข้าก็ไม่มีผู้ใดมาแทนที่ได้ หากภายหน้าข้ารู้ว่าเจ้าทำให้นางผิดหวัง ข้าจะพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้นางกลับมาหาข้า”
เขาไม่ต้องการบังคับนางเนื่องเพราะเขารักนางมากเหลือเกิน
ในทำนองเดียวกันเพราะความรัก หากตี้คังทำให้นางผิดผวัง เขาจะนำตัวนางกลับมา แม้ว่านางจะเกลียดเขาไปตลอดชีวิตก็ตาม !
”เจ้าจะไม่มีวันได้โอกาสนั้น”
เขายินดีสละโลกทั้งโลกทว่าจะไม่ยอมสูญเสียนาง !
ฉู่อี้เฟิงยิ้มเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้า เขาหันไปมองไป๋หยาน พร้อมกับรำลึกภาพเหตุการณ์ เมื่อครั้งที่ผู้อาวุโสพานางมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ครั้งนั้นเขาไม่เคยคิดเลยว่าการปรากฏตัวของไป๋หยานจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปมากมายถึงเพียงนี้
ไม่เคยคิดเลยว่าเขาต้องใช้ทั้งชีวิตไล่ติดตามอิสตรี เพียงเพื่อปกป้องนางให้เป็นสุข
”หยานเอ๋อข้าเคารพในการตัดสินใจของเจ้า แต่หากวันหน้าเขากล้ารังแกเจ้า อย่าลืมนะว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังคงเป็นบ้านของเจ้าเสมอ ตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะหันหลังกลับ ข้าก็พร้อมให้การสนับสนุนเจ้าเสมอ”
ไป๋หยานกระพริบตาเล็กน้อยหัวใจของนางเต็มไปด้วยความสับสน
นี่…นางตัดสินใจเลือกแล้วกระนั้นหรือ? ว่าแต่เมื่อครู่นี้นางเลือกอะไรล่ะ ?
อย่างไรก็ตามเนื่องจากฉู่อี้เฟิงเข้าใจผิดไปแล้ว ไป๋หยานจึงไม่แก้ตัวใด ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาสามารถตัดใจจากความสัมพันธ์นี้ให้ได้
ผู้อาวุโสทั้งสามหันมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
ประมุขน้อยปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเย็นชาไม่ต่างจากฤดูหนาวจะมีก็เพียงแม่ลูกคู่นี้เท่านั้นที่เขาอ่อนโยนด้วยราวกับฤดูใบไม้ผลิ ทว่าไป๋หยานก็ไม่เคยใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย !
ความรักเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกเสียใจ ทว่าพวกเขาก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของไป๋หยาน
แน่นอนว่าอ๋องคังต้องไม่ทำให้นางผิดหวัง! เพราะหากอ๋องคังกล้าทำให้นางเสียใจ พวกเขาจะแยกทั้งสองออกจากกัน และจะไม่อนุญาตให้ศิษย์รักของพวกเขาอยู่กับชายผู้นี้อีก !
***จบบทไป๋จื่อหญิงโง่เง่า (1)***