บทที่ 272 ผู้สืบทอดป้ายทอง
จนกระทั่งถังหลี่ได้แสดงฝีมือการทำอาหารของนาง หม่าเฉิงจึงตระหนักว่าฝีมือของตนเองนั้นเทียบไม่ได้เลย ทักษะการทำอาหารของนายหญิงนั้นเหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
หม่าเฉิงเป็นคนขี้อาย พูดน้อยระมัดระวังคำพูดเป็นพิเศษ แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารเขากลับพูดมากขึ้นกลายเป็นคนช่างซักช่างถาม ส่วนใหญ่จะเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาพยายามปรุงปลาแช่เหล้าสดให้เหมือนกับของถังหลี่
รสชาติที่เขาทำนั้นแม้ว่าจะดีแต่ก็ไม่อาจเทียบชั้นกับถังหลี่ได้เลย เห็นได้ชัดว่ารสสัมผัสแตกต่าง หม่าเฉิงครุ่นคิดอยู่ในครัว
ถังหลี่เคยพบเจอผู้คนมากมายที่หมกมุ่นอยู่กับการทำงานเพื่อให้งานของตนออกมาได้ดีหม่าเฉิงเป็นคนเช่นนั้น นางชื่นชมชายผู้นี้มาก หญิงสาวส่งมอบครัวของร้านอาหารให้แก่หม่าเฉิงก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป
ถังหลี่นั่งอยู่ที่ชั้นล่างของร้านอาหารเพื่อรอรับสมัครคนงาน ตอนนี้เจิ้งติ่งเป็นคนจัดหาของให้ ส่วนคนหาข่าวก็ได้หลูหลิงเป็นคนฝึกฝน ตัวตนของพวกเขาที่ปารกฏแก่ภายนอกคือพนักงานในร้าน ตอนนี้นางแค่ต้องการตำแหน่งผู้ช่วยพ่อครัวเท่านั้น
คุณสมบัติของผู้ช่วยพ่อครัวนั้นต่ำกว่าหัวหน้าพ่อครัวมาก แค่เพียงรักความสะอาด ทำงานเรียบร้อยมีความกระตือรือร้นกระฉับกระเฉงก็พอแล้ว
ในตอนนั้นเอง มีชายผู้หนึ่งรูปร่างผอมโหนกแก้มสูงเดินวางท่าเข้ามาในร้าน เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะมาหยุดที่ถังหลี่
“เจ้าของร้านของเจ้าอยู่ไหน?” ชายคนนั้นถาม
“ข้าเอง” ถังหลี่กล่าว
“เจ้าเป็นเจ้าของร้านหรือ? ร้านอาหารของเจ้าดูโอ่อ่าดีนะ”
เขาเอ่ยชม แต่ถังหลี่รู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่ชอบมาพากลนางไม่อยากพูดคุยกับเชา
“ร้านอาหารใหญ่เช่นนี้ คิดว่าเจ้าคงลงเงินไปมากสินะ หากยังคิดจ้างพ่อครัวเจ้าเล่ห์ผู้นั้นต่อ ระวังจะร้านจะเจ๊งไม่เป็นท่า”
เขายังคงพูดต่อ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ถังหลี่มองไปที่เขา
“หมายความว่าอย่างไรหรือ? หม่าเฉิงเป็นพ่อครัวให้เจ้าหรือเปล่าละ?”
“หม่าเฉิงมีเรื่องอะไรหรือ?”
“เจ้าเพิ่งมาอยู่ที่เหอตงไม่นานล่ะสิ คงไม่รู้ว่าหม่าเฉิงน่ะเป็นหัวขโมยที่ขโมยสูตรจากร้านจินฉู่ติงของข้า! อาหารที่เขาปรุงนั้นเป็นสิ่งที่เขาลอบเรียนมาจากตระกูลติงของเขาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ส่วนใหญ่คนในเหอตงรู้ทั้งนั้นว่าเขาคือหัวขโมยไร้ยางอาย! ไม่มีใครกล้ากินอาหารของเขาหรอก หากให้ข้าแนะนำ เจ้าควรเปลี่ยนพ่อครัวใหม่เสียเถอะ!” ชายคนนั้นพูดเสียงดัง
ถังหลี่พูดไม่ออก
หม่าเฉิงขโมยสูตร?
นายท่านเจียงเคยพูดถึงบ้านตระกูลติงกับนาง บรรพบุรุษของพวกเขาเคยเป็นพ่อครัวหลวงในราชสำนัก ทักษะการทำอาหารก็สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น พวกเขาเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองเหอตง หากร้านอาหารใดเชิญคนตระกูลติงมาทำอาหาร ที่ร้านแห่งนั้นจะเต็มไปด้วยลูกค้า ตอนนี้ทายาทสายตรงของตระกูลติงเป็นพี่น้องสองคน แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขามาช่วยเหลือที่ร้านอาหารของนาง อย่างมากคือรู้จักชื่อของพวกเขาเท่านั้น
ในนวนิยายต้นฉบับตระกูลติงเป็นเป็นที่กล่าวถึงเล็กน้อยว่า พวกเขาเป็นพ่อครัวหลวงของฮ่องเต้ ว่ากันว่าหากได้ทานอาหารที่พวกเขาทำ จะรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์และจะไม่อาจรับรสของอาหารธรรมดาพื้น ๆ ได้เลย
นายท่านเจียงเคยพูดเอาไว้ว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลติง หากถังหลี่ต้องการความช่วยเหลือจากคนตระกูลนี้เขาสามารถติดต่อให้นางได้ ถังหลี่รู้สึกขอบคุณที่เขาต้องการเป็นธุระให้ เพียงแต่คนที่มีอำนาจที่สุดในตระกูลติงคือ ติงยวี่ฉู่ และลูกหลาน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีชื่อเสียงเช่นนี้หากจะต้องเชิญมาช่วยงานจริง ๆ ค่าตัวของเขาต้องมีมูลค่ามาก ดังนั้นหาพ่อครัวคนอื่นมาทำจะดีกว่า
ตอนนี้ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของนางน่าจะถูกต้องแล้ว
“ท่านคือใครหรือ?” ถังหลี่ถาม
“ข้าคือติงเต๋อเหริน เป็นนายท่านตระกูลติง”
เขาประกาศตัวเองอย่างหยิ่งผยอง
เขาคิดว่าเจ้าของร้านผู้นี้จะต้องตกใจมากเมื่อได้ยินนามของเขา นางต้องปฏิบัติต่อเขาราวกับแขกผู้มีเกียรติ เขารออยู่สักพักแต่ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด ๆ จากเจ้าของร้าน
หรือนางตกใจจนโง่งมไปหมดแล้ว?
“เจ้าปฏิบัติเช่นนี้ต่อลูกค้าในร้านอาหารที่กำลังจะเปิดได้อย่างไร? เหตุใดเจ้าไม่เชิญแขกนั่ง ไม่มีแม้แต่น้ำชา…” ติงเต๋อเหรินบ่น
ทันใดนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นเงาของคนผู้หนึ่งเข้าพอดี เขาจ้องคนผู้นั้นเขม็งด้วยแววตาชั่วร้าย
“หม่าเฉิง เจ้าหลบซ่อนตัวทำไม? หัวขโมยอย่างเจ้ายังมีหน้ามาทำงานในร้านอาหารอีกหรือ ? เจ้าจะขโมยสูตรของใครอีก?” ติงเต๋อเหรินเอะอะขึ้นมา
“ตอนนี้มีข้าอยู่ ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าไปทำชั่วกับใครอีก!”
ใบหน้าของหม่าเฉิงย่ำแย่มาก เดิมทีเขาคิดว่าติงเต๋อเหรินจะเลิกยุ่งกับเขาไปแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าแค่เพียงลาออกจากร้านนั้นยังไม่พอ หรือจะต้องให้เขาหักมือตัวเองหนีไปเป็นขอทานใช่หรือไม่?
ในเมื่อติงเต๋อเหรินมาถึงร้านเช่นนี้ หม่าเฉิงรู้ดีว่าอย่างไรตัวเองต้องตกงานแน่ ติงเต๋อเหรินเป็นลูกหลานของจินฉู่ติง มีอิทธิพลอย่างมากในเมืองเหอตง …อย่างไรเสียนายหญิงคงเชื่อคำพูดของติงเต๋อเหรินแน่นอน!
เรื่องแบบนี้นั้นเกิดขึ้นกับเขาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่เขาได้งานทำครัว ติงเต๋อเหรินจะมาสร้างปัญหาให้กับเขาไม่รู้จบ! เถ้าแก่ร้าอาหารเหล่านั้นก็ไม่มีใครฟังคำพูดของเขาเลยแม้แต่คนเดียว พวกเขาเชื่อเพียงคำพูดของผู้แซ่ติงเท่านั้น!
หม่าเฉิงถอดผ้ากันเปื้อนออกเงียบ ๆ ก่อนจะโค้งคำนับให้แก่ถังหลี่และเดินหันหลังจากไป
ติงเต๋อเหรินมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ
ทันใดนั้นเองถังหลี่ก็พูดขึ้น
“หม่าเฉิง เจ้ายังทำอาหารจานนี้ไม่ได้เลย เจ้าจะไปไหน?” เมื่อได้ยินถังหลี่พูดแบบนี้หม่าเฉิงก็ตกตะลึง
หมายความว่านายหญิงยังจะจ้างเขาต่อใช่ไหม?! นายหญิงเชื่อเขาจริง ๆ หรือ? ดวงตาของหม่าเฉิงมีประกายความหวังอย่างริบหรี่
“เถ้าแก่เนี้ย ข้าบอกแล้วว่าเขาเป็นหัวขโมย เหตุเจ้าถึงจะยังจ้างอยู่อีก! ไม่มีใครกล้ากินอาหารฝีมือเขาหรอก อย่ารนหาที่ตายเลย!” ติงเต๋อเหรินพูดอย่างไม่พอใจ
ถังหลี่มองชายคนนั้น ตอนนี้พลังปีศาจของนางฟื้นคืนอยู่ในระดับปกติแล้ว นางสามารถแยกแยะคนดีคนชั่วได้ คนดีนั้นจะมีบรรยากาศที่ล้อมรอบไปด้วยแสงสลัวๆ ในขณะที่คนชั่วจะมีรังสีสีดำปกคลุมร่างกาย และยิ่งมืดมากเท่าไหร่ก็แปลว่ายิ่งชั่วมากเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้ถังหลี่สามารถบอกได้ทันทีว่าหม่าเฉิงหรือติงเต๋อเหริน ใครเป็นคนดีหรือคนไม่ดี
ถังหลี่ไม่ได้ใส่ใจติงเต๋อเหรินมากนัก แต่เมื่อเห็นท่าทีเสแสร้งของเขาก็รู้สึกอยากจะตบหน้าเขาสักเล็กน้อย
“เจ้าพูดอะไรข้าจำเป็นต้องเชื่อหรือ? เจ้ามายุ่งวุ่นวายอะไรกับร้านของข้าด้วย” ถังหลี่มองติงเต๋อเหรินอย่างหมดความอดทน
“เจ้า! นี่เจ้า!” ติงเต๋อเหรินโกรธนาง
“ข้าคือทายาทของจินฉู่ติงนะ!”
“ทายาทของจินฉู่ติงมานั่งจับผิดใส่ร้ายคนอื่นหรือ? ขายขี้หน้าบรรพบุรุษจริงๆ”
ถังหลี่ตอกกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า
ติงเต๋อเหรินพ่นลมหายใจด้วยความโกรธ ก่อนจะชี้ไปที่ถังหลี่
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
พูดจบเขาสะบัดแขนเสื้ออกไปอย่างโมโห
เมื่อถังหลี่หันหน้ามา เห็นพ่อครัวหม่าเฉิงมองนางด้วยแววตาชื่นชม นางย่อมรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง
“อะแฮ่ม… พ่อครัวหม่า ช่วยเล่าเรื่องของเจ้ากับตระกูลติงให้ข้าฟังหน่อยเถอะ”
แม้ว่าถังหลี่จะเลือกจ้างพ่อครัวหม่า หากนางจำเป็นต้องรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด หากวันใดที่ติงเต๋อเหรินมาสร้างปัญหาจะได้หาวิธีรับมือได้อย่างถูกต้อง
“ข้าไม่ได้ขโมยสูตรอาหารของจินฉู่ติง แต่นายท่านเป็นคนสอนข้าขอรับ!”
“ติงเต๋อเหรินและติงเต๋อโหยวเป็นบุตรอกตัญญูมาก พวกเขารุมหัวกันรังแกนายท่าน ข้าทนไม่ไหวจึงช่วยดูแลนายท่าน” หม่าเฉิงกล่าว
“นายท่านต้องการยกทุกอย่างให้กับลูกชายทั้งสองจริง ๆ แต่พวกเขาไร้พรสวรรค์ อีกทั้งไม่อยากเรียนรู้ พวกเขาจึงใช้ชื่อเสียงของนายท่านและตระกูลจินฉู่ติงเพื่อหาเงินเท่านั้น นายท่านหดหู่ใจเพราะเขาไม่สามารถถ่ายทอดวิชาได้ ต่อเมื่อวันหนึ่งที่เขาเห็นว่าข้ามีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร เขาจึงถ่ายทอดวิชาให้แก่ข้า”
หม่าเฉิงจำได้ดีว่านายท่านนั้นปฏิบัติต่อเขาอย่างอาจารย์และสหาย ช่วงเวลาในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุด
“นายท่านอยากจะให้ข้าเป็นที่ยอมรับให้ฐานะผู้สืบทอดของจินฉู่ติง แต่ติงเต๋อเหรินและติงเต๋อโหยวเริ่มต่อต้าน และมันทำให้นายท่าน..”
ดวงตาของหม่าเฉิงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เขาหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับโทสะของตัวเอง
“พิธีสาบานตนเป็นผู้สืบทอดในวันนั้นล่มไม่เป็นท่า นายท่านโกรธมากจนล้มป่วย พวกเขากีดกันไม่ให้ข้าได้พบกับนายท่าน ทำให้ข้าก็ไม่ได้เจอนายท่านเป็นครั้งสุดท้าย ข้าจึงออกมาเปิดร้านอาหารเอง”
“แต่ต่อมาติงเต๋อเหรินและติงเต๋อโหยวก็ออกมาใส่ร้าย ว่าตัวข้าขโมยสูตรอาหารของจินฉู่ติง ไม่ว่าข้าจะไปทำงานที่ไหนพวกเขาจะมาพูดเช่นนี้จนข้าไม่สามารถหางานทำได้..”
“บางครั้งข้าเองก็สงสัยเช่นกันหรือว่าข้าไม่สมควรเป็นพ่อครัวแล้ว แต่หากข้าไม่ทำข้าคงรู้สึกผิดต่อท่านอาจารย์มาก…”
หลังจากที่หม่าเฉิงพูดจบเขามองไปที่ถังหลี่ด้วยแววตามีความหวัง นายหญิงเป็นคนเดียวที่เชื่อใจในตัวเขาและเต็มใจที่จะจ้างเขา
หญิงสาวกัดฟันแน่น สองพี่น้องตระกูลติงนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!