ตอนที่ 275 ฉีกหน้ากากพี่น้องตระกูลติง
“ข้าได้ยินมาว่ามีคนขโมยสูตรอาหารของตระกูลติงอย่างหน้าไม่อาย พวกเจ้าคิดว่าพวกเรานักชิมรุ่นเก่านั้นตายไปกันหมดแล้วหรือ?”
ในขณะนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
คนเหล่านี้เป็นคนหนุ่มสาวและคนสูงวัยพวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรามีเอกลักษณ์ไม่ธรรมดา พวกเขาคือเหล่านักชิมของมณฑลเหอตง ศิลปินมีสหายผ่านทางบทกวี นักชิมย่อมมีสหายผ่านทางอาหารโอชะ แต่ละคนล้วนมีมิตรสหายเป็นของตนเอง
นักชิมเหล่านี้คือคนเก่าแก่ที่ล้วนเคยชิมฝีมือการทำอาหารของนายท่านตระกูลติงผู้ล่วงลับไปแล้ว และยังไม่เคยลืมรสชาติของอาหารเหล่านั้น น่าเสียดายที่ท่านผู้เฒ่าป่วยติดเตียงไม่สามารถยกมีดควงตะตลิวได้อีกต่อไป พวกเขารู้สึกเหมือนได้สูญเสียปรมาจารย์แห่งการทำอาหารไป
ด้วยมิตรภาพเหล่านี้พวกเขาจึงเคารพตระกูลติงเป็นอย่างมาก หลังจากรู้ว่าสูตรอาหารของตระกูลติงถูกขโมยไป พวกเขาอยากหาตัวคนไร้ยางอายผู้นั้น สุดท้ายแล้วไม่นึกเลยว่าร้านอาหารแห่งนี้จะกล้าใช้ความรู้ของหัวขโมยมาขายอาหารของตระกูลติงอย่างโจ่งแจ้ง นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
“ท่านเจ้าเมืองต้องให้ความเป็นธรรมแก่พวกเราในเรื่องนี้ด้วย”
“ใช่! ข้าคิดว่าจะเป็นการดีหากนำหัวขโมยกับเจ้าของร้านผู้นี้ไปขึ้นศาลด้วยกัน ต้องลงโทษให้ถึงที่สุด!”
คนกลุ่มนั้นพยายามที่จะบีบให้ใต้เท้าจูคืนความเป็นธรรมให้
เจ้าเมืองเหอตงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกระอักกระอ่วน เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองถังหลี่ว่าเหตุใดจึงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น?
หากมีหลักฐานชี้ชัดล่ะก็ ในตอนพิจารณาคดีเขาคงไม่สามารถเข้าข้างนางได้ ทว่าถังหลี่กลับดูสงบเยือกเย็น
เดิมที ตอนที่นางเชิญท่านเจ้าเมืองมายังร้านอาหาร ถังหลี่ได้คาดคะเนเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หากสองพี่น้องตระกูลติงเห็นว่าข่าวลือที่ปล่อยออกมานั้นไม่ได้ผล พวกเขาจะต้องมาฟ้องร้องกับท่านเจ้าเมืองอย่างแน่นอน
“นายท่านติง ข้าขอถามอะไรก่อนได้หรือไม่?” ถังหลี่กล่าว
“หลังจากที่ท่านตอบคำถามข้าแล้ว จะไปฟ้องร้องศาลหรืออย่างอื่นก็แล้วแต่ท่านเลย”
“ถามมา!” ติงเต๋อเหรินพูดอย่างเย็นชา
“ในตอนแรกพวกท่านทั้งสองไม่ได้สืบทอดทักษะการทำอาหารของตระกูลติงเพราะเหตุผลบางอย่าง ต่อมานายผู้เฒ่าติงนอนป่วยติดเตียง ลูกชายอย่างท่านไม่สนใจเขา โชคดีที่เขาได้เจอคนจิตใจดีอย่างหม่าเฉิงที่ช่วยดูแล นายผู้เฒ่าติงทุกข์ใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดทักษะการทำอาหารให้บุตรชายได้ แต่บังเอิญได้พบกับหม่าเฉิงที่มีพรสวรรค์ในการทำอาหาร เขาจึงเลือกที่จะถ่ายทอดวิชาให้หม่าเฉิงแทน นายผู้เฒ่าติงอยากรับหม่าเฉิงให้เป็นผู้สืบทอดอาหารของตระกูลติง แต่ทว่าในพิธีสืบทอดพวกท่านก็ทำลายมัน จนนายผู้เฒ่าติงทุกข์ใจจนล้มป่วยหนักและเสียชีวิตไปในที่สุด”
ถังหลี่หยุดคำพูดชั่วคราว นางกวาดตามองไปยังติงเต๋อเหรินและติงเต๋อโหยวด้วยสายตาคมเฉียบ
“พวกท่านทั้งสอง ไม่ทราบว่าสิ่งที่ข้าพูดไปนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“ไร้สาระ! เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า ระวังเถอะข้าจะฟ้องร้องเจ้าอีกหนึ่งคดี!” ติงเต๋อเหรินกล่าวด้วยสีหน้าถมึงทึง พูดจาโอหังอย่างมั่นใจ
แม้สิ่งที่นางพูดจะความจริงแต่จะมีใครเชื่อนางเล่า หากเขายืนยันอย่างหนักแน่นเช่นนี้ จะไปหาข้อพิสูจน์มาจากไหนได้?
ตัวหม่าเฉิงเองก็พูดแก้ตัวเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แล้วเคยมีใครเชื่อเขาหรือ?
เมื่อเทียบน้ำหนักแล้วทุกคนย่อมเชื่อคำพูดของทายาทตระกูลติงอย่างพวกเขาทั้งสองคนอยู่แล้ว
ถังหลี่เลื่อนสายตาจากติงเต๋อเหรินไปหาติงเต๋อโหยว
“ติงเต๋อโหยวที่ข้าพูดนั้นจริงหรือไม่? หม่าเฉิงไม่ผิดเพราะเขาได้รับความเมตตาจากบิดา แต่เจ้าแค้นใจความโชคดีของเขา ทุบตีเขาขับไล่ไสส่งเขาออกมา ตัดช่องทางทุกอย่างเพื่อทำลายมรดกที่เขาได้รับสืบทอดมา ท่านทำอย่างนี้มันถูกแล้วหรือ?”
น้ำเสียงของถังหลี่เย็นชาและแข็งกร้าว
ติงเต๋อโหยวต้องการที่จะพูดปฏิเสธไป แต่ว่าเขาไม่สามารถควบคุมปากของตัวเองได้เลย สิ่งที่เขาพรั่งพรูออกมามีแต่เรื่องที่อยู่ในใจเขาทั้งสิ้น
“แล้วไง! มันไม่ใช่คนตระกูลติงด้วยซ้ำ เหตุใดจึงจะมาเป็นผู้สืบทอดการทำอาหารของตระกูลติงได้เล่า!”
ใบหน้าของติ่งเต๋อเหรินเปลี่ยนสีทันที เขามองน้องชายอย่างตกตะลึง
“เต๋อโหยว นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องเหลวไหลอะไร?”
“ท่านพี่ ข้าพูดผิดหรือ? ที่มันทำดีกับท่านพ่อเพราะมันอยากเรียนรู้วิชาของตระกูลติงน่ะสิ! จึงหลอกล่อให้ท่านพ่อถ่ายทอดวิชาให้แก่มัน! จนท่านพ่อยอมรับให้มันเป็นผู้สืบทอด ท่านพ่อบ้าไปแล้ว! ถ้าวันนั้นพวกเราไม่หยุดพิธีสืบทอดทั้งหมดแล้วล่ะก็ ป่านนี้ตำราอาหารของตระกูลคงตกเป็นของไอ้หม่าเฉิงไปแล้ว!”
ติงเต๋อโหยวพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ข้าจำได้ว่า นายผู้เฒ่าติงเคยส่งเทียบเชิญให้พวกข้าไปเป็นพยานในการทำพิธีพิธีผู้สืบทอด แต่เมื่อพวกข้าไปที่จวนสกุลติงก็ไม่สามารถเข้าไปได้ หรือจะเป็นเรื่องนี้?”
ในตอนนั้นเองชายชราที่เป็นนักชิมคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ใช่ ๆ ข้าก็จำได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าหม่าเฉิงคือศิษย์ที่อดีตนายท่านติงพูดถึง?”
“หม่าเฉิงไม่ได้ขโมยสูตรแต่ได้รับการสืบทอดมาจากอดีตนายท่านติงจริง ๆ”
นักชิมทั้งหมดเริ่มลังเลมองไปยังสองพี่น้องตระกูลติงติงด้วยสายตาเคลือบแคลง
“ไม่…มันเป็นเรื่องไร้สาระของเต๋อโหยวเท่านั้น!” ติงเต๋อเหรินรีบพูดอย่างตื่นตระหนก
“ข้าไม่ได้พูดไร้สาระ! หม่าเฉิงไม่ว่าเจ้าจะไปที่ร้านไหน ข้าจะทำลายร้านอาหารแห่งนั้นเสีย! ข้าจะไม่ให้เจ้าได้เดินบนเส้นทางอาชีพนี้! หากเจ้าได้เป็นผู้สืบทอดและได้มรดกของท่านพ่อไป พวกข้าสองคนจะทำมาหากินได้อย่างไร!”
ติงเต๋อเหรินมองน้องชายเขาอย่างโกรธเคือง เมื่อเห็นว่าน้องชายยังไม่หยุดพูด เขาจึงตบใบหน้าของน้องชายอย่างหงุดหงิด จนติงเต๋อโหยวล้มไปกองที่พื้น
ถังหลี่ลอบยิ้มมองติงเต๋อโหยว เขาทำงานให้นางสำเร็จลุล่วงแล้ว ไม่สำคัญว่าเขาจะมีสภาพเช่นไร เพราะความจริงได้ถูกสารภาพออกมาจนหมดสิ้นแล้ว
“ท่านเจ้าเมืองและทุกท่านที่เป็นพยานอยู่ ณ ที่นี้คงได้สดับรับฟังในสิ่งที่ติงเต๋อโหยวพูดออกมาเมื่อครู่ทั้งหมดแล้ว หม่าเฉิงคือผู้สืบทอดวิชาการทำอาหารของตระกูลติงจริงๆ ร้านของเราขายอาหารของตระกูลติงเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของนายผู้เฒ่าตระกูลติง!”
ถังหลี่กล่าวเสียงดัง ใต้เท้าจูเองก็พยักหน้า
“ใช่ ข้าได้ยินที่ ติ่งเต๋อเหรินพูดออกมาจนหมดแล้ว หม่าเฉิงเองก็เป็นผู้สืบทอด ดังนั้นการที่เขาจะทำอาหารตำรับของตระกูลติงจึงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร พวกเจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ใบหน้าของติงเต๋อเหรินซีดเซียวเขาไม่สามารถเอ่ยอะไรได้
“ดูเหมือนว่าเขาไม่มีเรื่องจะพูด แต่ว่าข้ามี”
ถังหลี่กล่าว
“ใต้เท้าจู ทุกท่าน ข้าอยากจะขอความเป็นธรรมให้กับหม่าเฉิง ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลติง แต่กลับถูกใส่ร้ายว่าขโมยสูตรและโดนใส่ร้ายป้ายสีมาหลายปีแล้วข้าหวังว่าพวกท่านจะสามารถคืนเกียรติยศและชื่อเสียงให้แก่เขาได้”
บรรดานักกินต่างมองหน้ากัน
พวกเขามีมิตรภาพที่ดีกับนายท่านติงมาตลอด ในตอนที่ชายชราป่วยเขาไปเยี่ยมก็รู้สึกผิดสังเกตกับเรื่องนี้เช่นกัน ต่อมาในตอนที่เขาจะรับผู้สืบทอดก็เชื้อเชิญให้พวกเขาไปเป็นสักขีพยาน แต่น่าเสียดาย…เนื่องจากมันคือความปรารถนาครั้งสุดท้ายของนายท่านติง ดังนั้นพวกเขาจะสนับสนุน
“ในเมื่ออดีตนายท่านติงตั้งใจให้หม่าเฉิงเป็นผู้สืบทอดตำราอาหารของตระกูลติง นั่นคือภาระความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ พวกข้าหวังว่าหม่าเฉิงจะทำงานอย่างหนักเพื่อสืบทอดตำราอาหารของตระกูลติงให้คงอยู่ยาวนานต่อไป”
หม่าเฉิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ข้าสัญญา!
“ติงเต๋อเหรินในเมื่อเป็นความจริงที่ว่าหม่าเฉิงเป็นผู้สืบทอด หากพวกเจ้าจะมาสร้างปัญหาที่นี่อีก ข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้า!”
ใต้เท้าจูกล่าว
ภายใต้คำสั่งของใต้เท้าจู เขาทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจ
ติงเต๋อเหรินไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำหน้าตาบิดเบี้ยว เขาไม่สนใจน้องชายที่เป็นลมอยู่ตรงนั้น ติงเต๋อโหยวถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง ใต้เท้าจูและนักชิมทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไป ถังหลี่ชำเลืองมองไปยังคนที่เป็นลมด้วยสีหน้าขยะแขยง ก่อนจะสั่งให้คนงานลากเขาออกไปในพ้น