บทที่ 290 เว่ยฉิงมาแล้ว
ในชั่วพริบตานักฆ่าในชุดดำที่ล้มลงกับพื้นก็น้ำลายฟูมปาก ตาเหลือกเห็นแต่ตาขาวกันทุกคน
“นายท่าน พวกเขาฆ่าตัวตายด้วยการกลืนยาพิษ ขอรับ” หานอี้ตรวจสอบทุกคน ก่อนจะรายงานเว่ยฉิง
“ล้วนเป็นนักฆ่ามืออาชีพ” เวยฉิงหันไปมองท่านอู่โหวเย่และฮูหยินอู่ถามสามีภรรยาทั้งคู่ว่า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านสบายดีหรือไม่?”
ฮูหยินอู่รีบลุกขึ้นตรวจดูร่างกายของเว่ยฉิง เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร นางจึงโล่งใจพูดว่า
“แม่สบายดี” ท่านอู่โหวเย่ เดินไปหาภรรยา เว่ยฉิงพูดกับเขาว่า
“เป็นองค์ชายสามหรือองค์ชายหก”
ใบหน้าของท่านอู่โหวเย่ตึงเครียด
“หานอี้ค้นตัวนักฆ่าให้หมด” หานอี้ลงมือค้นตัวคนทั้งสิบแต่ไม่พบหลักฐานอะไรเลย
ท่านอู่โหวเย่ขมวดคิ้ว “ไม่มีหลักฐานหลงเหลือเลยหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็หาผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอสินะ”
“ท่านพ่อ หลักฐานไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่ท่านกราบทูลฮ่องเต้อย่างไม่เข้าออกผู้ใด พวกนั้นจะกัดกันเหมือนหมา!”
ท่านอู่โหวเย่มองด้านข้างของใบหน้าที่ส่อให้เห็นแววอำมหิต
องค์ชายน้อยที่เคยไร้เดียงสาเอาแต่ใจเมื่อวันวานได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดและโหดเหี้ยมในที่สุดแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะดีใจหรือจะเสียใจดี
เกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์จำต้องโหดเหี้ยมอำมหิตสูญเสียความไร้เดียงสา กลายเป็นคนเย็นชาไร้มนุษยธรรม คุณหนูเหมยคงไม่อยากเห็นเขาเติบโตกลายมาเป็นคนเช่นนี้
แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้อย่างไร? หลังจากรู้จักเด็กคนนี้มาสักระยะหนึ่งเขาสัมผัสได้ถึงความไร้ใจและเย็นชา ท่านอู่โหวเย่หวังแต่เพียงว่าหัวใจของเขาจะไม่ถูกความเกลียดชังบังตาไปเสียหมด
เขาอยากให้ลูกชายของคุณหนูเหมยได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป ชายชราได้แต่ถอนหายใจเงียบ ๆ
“เอาล่ะ เดินทางต่อกันเถอะ ไปถึงมณฑลชิงเหอเร็วสักหน่อย เจ้าจะได้พักผ่อนด้วย”
เว่ยฉิงพยักหน้า
ชาที่ผู้คุ้มกันได้ดื่มไปมีพิษร้ายแรง พวกเขาหมดหวังแล้ว เว่ยฉิงมององครักษ์ที่คุ้มกันสั่งพวกเขาว่า
“ฝังศพพวกเขาให้ดี ช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวพวกเขาทั้งหมดด้วย”
เว่ยฉิงทิ้งให้องครักษ์สองสามคนจัดการตามที่เขาได้สั่งเอาไว้ จากนั้นจึงพาคนที่เหลือเดินทางต่อไป
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็มาถึงประตูเมืองชิงเหอ ที่นั่นมีคนรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ขอประทานโทษ ท่านคือรองเจ้าคณะมณฑลที่เพิ่งได้รับการแต่ตั้งมาใหม่ใช่หรือไม่?” เว่ยฉิงเปิดม่านรถม้าเห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างผอม เตี้ยมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสี้ยมตอบของเขา มือข้างหนึ่งมีผ้าพันแผลพันเอาไว้
เว่ยฉิงชำเลืองมองก่อนจะพยักหน้ารับ “ใช่”
“นายท่าน ข้าชื่อซุนฮ่วย เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ของมณฑลชิงเหอ ข้ามารอเพื่อที่จะพาท่านไปยังจวน ข้าได้เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยดีแล้วขอรับ” ซุนฮ่วยพูดอย่างประจบสอพลอ
เว่ยฉิงพยักหน้า “รบกวนด้วย”
“ข้าขอนั่งรถม้าไปกับท่านได้หรือไม่?” ซุนฮ่วยยังถามต่อ เขาต้องการเข้าใกล้เว่ยฉิง ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาปิดม่านหน้าต่างลงทันที
ซุนฮ่วยอายมาก แต่ยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เขาหันไปหาคนขับรถม้า
“ข้างหน้าเป็นรถม้าของข้า ขับตามข้ามา” จากนั้นเขาจึงได้ปีนขึ้นไปยังรถม้าของตนเอง
รถม้าแล่นผ่านตลาดที่คึกคักดูมีชีวิตชีวา หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ถึงที่หมาย
เว่ยฉิงลงจากรถตามด้วยท่านอู่โหวเย่และภรรยา
“ท่านผู้เฒ่าและฮูหยิน ข้าส่งบ่าวรับใช้มาทำความสะอาดจวนแห่งนี้ไว้ให้ท่านแล้ว ท่านสามารถเข้าไปพีกผ่อนได้ทันทีขอรับ” ซุนฮ่วยพูดเอาหน้า เว่ยฉิงไม่ตอบอะไร ท่านอู่โหวตีสีหน้าเคร่งขรึม ฮูหยินอู่จึงกล่าวตอบแทน
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของท่าน”
ซุนฮ่วยหัวเราะเก้อ ๆ “ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว ท่านรองเจ้าคณะมณฑลได้รับการแต่งตั้งมาทำงานที่นี่นับว่าเป็นบุญของชาวเมืองชิงเหอ…”
เขาพูดสอพลอประจบไม่หยุด ยกย่องจนเว่ยฉิงแทบจะลอยขึ้นฟ้า
บรรดาผู้คุ้มกันต่างพากันย้ายข้าวของเข้าไปข้างใน ท่านอู่โหวเย่และภรรยาเดินเข้าไปในจวน
ซุนฮ่วยเดินตามติดเว่ยฉิงคุยจ้อไม่หยุดปาก
“นายท่าน มีเพื่อนร่วมงานหลายคนต้องการมาเยี่ยมเยียนท่านทั้งนั้น ข้าเองก็มือไม้ไม่ค่อยสะดวกช่วยท่านจัดการอะไรไม่ได้มาก นอกจากข้าแล้วยังที่เจ้าหน้าที่อาวุโสเฉาที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านในวันนี้ ข้าไม่ทราบว่าเขามีงานยุ่งวุ่นวายอะไร ถึงไม่ได้มาให้ท่านเห็นหน้า…” ซุนฮ่วยพูดเก่งมาก เขาประจบสอพลออดีตรองเจ้าคณะคนเดิมจนกลายเป็นคนสนิทของเขาไปได้อย่างไม่ยากเย็น ซุนฮ่วยเก่งในการหาโอกาส หากเขารู้ว่ารองเจ้าคณะมณฑลผู้มาใหม่นี้มีนิสัยเช่นไรหรือโปรดปรานสิ่งใด เขาจะใช้โอกาสนี้ตีสนิททันที
อย่างเช่นวันนี้เขามารับหน้ารองเจ้าคณะมณฑลเพื่อประจบทำให้เขาพอใจ จากนั้นจึงได้พูดให้ร้ายเฉาจีเพื่อให้รองเจ้าคณะผู้มาใหม่เกิดอคติต่อเฉาจี ซุนฮ่วยดีดลูกคิดวางแผนในใจ
“ท่านเฉาจีมีนิสัยใจร้อนวู่วาม เขาไม่เห็นด้วยกับข้าก็เลยหักมือข้า แต่ข้าไม่โทษเขา….” ซุนฮ่วยเดินตามเว่ยฉิงพลางพูดไปเรื่อยเปื่อยแต่มีจุดประสงค์ในคำพูดของเขา
เว่ยฉิงเดินเข้าไปในจวนด้านใน ซุนฮ่วยทำท่าจะก้าวเดินตามเข้าไป แต่เว่ยฉิงกลับยืนขวางประตูเอาไว้
“นายท่าน…”
“ข้าจะพักผ่อน เจ้ากลับไปได้แล้ว” หลังจากพูดจบเว่ยฉิงกระแทกประตูปิดใส่หน้าเขา ซุนฮ่วยยืนมองประตูที่ปิด ใบหน้าเขาเย็นชาขึ้นมา ดูเหมือนรองเจ้าคณะผู้มาใหม่จะเอาใจยากอยู่สักหน่อย
เว่ยฉิงเข้าไปในห้องก่อนจะล้มตัวลงนอน หลังจากเดินทางมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หากเป็นคนอื่นคงได้แต่อ่อนล้าหมดแรง แต่เขาเป็นคนแข็งแรงดีจึงไม่ค่อยอ่อนเพลียมากนัก
เขานอนอยู่ในห้อง ในใจอยากไปเจอภรรยาของเขาให้เร็วกว่านี้ แต่เขาจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ เมื่อเหวี่ยงตาข่ายออกไปแล้ว ตัวเขาได้เข้าสู่แผนการณ์ที่วางเอาไว้ มีหลายคนจับจ้องเฝ้าดูเขาทุกฝีก้าว เขาต้องระมัดระวัง
เขามีสถานะเป็นบุตรชายของอู่โหวเย่ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะมณฑล ด้วยตัวตนใหม่ของเขาทำให้เขาไม่มีความสัมพันธ์กับภรรยา อีกทั้งยามนี้เป็นกลางวันเขาย่อมไปหานางไม่ได้อยู่แล้ว
เว่ยฉิงระงับความกระวนกระวายใจ เขาลุกขึ้นชกต่อยหมัดมวยเพื่อบรรเทาอาการฟุ้งซ่าน
ตกบ่ายซุนฮ่วยมาหาเขาอีกครั้ง
“นายท่าน ซุนฮ่วยกล่าวว่าท่านขังไม่มีสาวใช้อยู่ข้างกายเลย เขาจึงส่งสาวใช้มาให้ท่านสองสามคน ท่านจะต้องการรับเอาไว้หรือไม่?” หานอี้ถามก่อนพูดต่อว่า “สาวใช้เหล่านั้นอายุยังน้อย หน้าตาสวยงาม ความคิดของซุนฮ่วยผู้นี้ดูไม่ง่ายเลย”
“ปฏิเสธไป”
หานอี้แจ้งให้ซุนฮ่วยได้รับได้รับรู้ถึงการตัดสินใจของเขา ซุนฮ่วยเอามือแตะจมูก รองเจ้าคณะผู้มาใหม่อายุเพียงแค่ยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น เขายังอายุน้อยย่อมมีพลังเหลือเฟือ แต่กลับไม่สนใจสาวงามที่เขาส่งมาให้ ดูไปแล้วท่าจะรับมือได้ยากกว่ารองเจ้าคณะคนก่อน ซุนฮ่วยเดินจากไปอย่างซึมเซา
เว่ยฉิงไม่สนใจซึนฮ่วยเขาแค่รอเวลาให้ผ่านไปอย่างใจจดจ่อ ในที่สุดก็ถึงยามดึกที่เว่ยฉิงเฝ้ารอมาทั้งวัน เขาลุกออกจากจวนเงียบๆ
บ้านสกุลเว่ย ถังหลี่เพิ่งจะได้ล้มตัวลงนอนและผล็อยหลับไป นางเห็นสามีในฝัน เขาเอาแต่กอดรัดจุมพิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่าหงุดหงิด เสียงเคาะประตูดังขึ้น ถังหลี่ลืมตาตื่น พบว่าเป็นเพียงความฝันเท่านั้น นางถึงกับเหม่อลอยในใจวูบโหวง
เป็นใครกันนะ ! ช่างมาทำลายฝันหวานของถังหลี่
ถังหลี่ลุกขึ้นจากเตียงก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูอย่างมีโทสะ แต่เมื่อเห็นคนที่หน้าประตูนางได้แต่ยืนอึ้งตะลึงไป