บทที่ 292 เว่ยฉิงเข้ารับตำแหน่ง
เว่ยฉิงออกจากบ้านสกุลเว่ยไปเงียบ ๆ ก่อนฟ้าสาง ในตอนที่ถังหลี่ยังหลับอยู่ นางนอนหลับอย่าไร้กังวล คิ้วที่เคยขมวดเป็นปมคลายออกอย่างสบายใจ
วันถัดมา เว่ยฉิงตื่นแต่เช้าสวมเครื่องแบบขุนนางไปยังศาลาว่าการด้วยสีหน้าที่เย็นชา
บรรดาเจ้าหน้าที่เมื่อรู้ว่ามีรองเจ้าคณะมณฑลคนใหม่มาพวกเขาก็พากันอยากรู้อยากเห็น มีหลายคนเริ่มเข้าไปทักทาย แต่เว่ยฉิงเพียงแต่พยักหน้าให้เท่านั้น ดังนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงเกิดความประทับใจว่า รองเจ้าคณะมณฑลผู้มาใหม่คนนี้เป็นคนเย็นชา อาจจะเข้าไปตีสนิทได้ไม่ง่ายนัก
เว่ยฉิงตรงไปหาใต้เท้าเหวิน ผู้มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะประจำมณฑล สิ่งแรกที่เขาควรทำเมื่อเข้ารับตำแหน่งก็คือการได้พบกับใต้เท้าเหวินผู้นี้นั่นเอง
เว่ยฉิงเคาะประตูก่อนจะมีเสียงดังขึ้นจากข้างใน
“เข้ามา”
เขาผลักประตูเข้าไปเห็นชายสูงอายุผู้หนึ่ง สวมเครื่องแบบขุนนาง รูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่มีท่าทางที่สง่างาม
“ใต้เท้าเหวิน ข้าชื่ออู่อวี้มารับตำแหน่งรองเจ้าคณะมณฑลคนใหม่ขอรับ”
เว่ยฉิงพูดแนะนำตนเอง
สายตาของเจ้าคณะมณฑลที่จ้องเขาดูไม่มีทีท่ากระตือรือร้นเลย
อู่อวี้ อู่เสี่ยวโหว ข้าไม่รับรู้ว่าเจ้าเป็นใคร ใต้เท้าเหวินไม่ได้แสดงออกมาให้ผู้ใดเห็น แต่หัวใจเขาราวกับคันฉ่อง ไม่รู้มีกี่คนกันที่อยากได้ตำแหน่งของเขา แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถมาแทนที่เขาได้ คนเหล่านั้นจึงได้จับผู้คนมาอยู่ใต้อาณัติเขา เพื่อคอยจับจ้องดูเขา แต่ช่างเถอะ ไม่สำคัญว่าคนที่มาจะเป็นใคร มาจากไหน ตราบใดที่ไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายอะไรมากนัก หาไม่เช่นนั้นแล้ว…
เดิมทีเว่ยฉิงต้องการที่จะพูดอีกสักสองสามประโยค หากทว่าเจ้าคณะมณฑลกลับโบกมือไล่เขา เว่ยฉิงไม่มีทางเลือกนอกจากถอยออกไปจากห้องแต่โดยดี
ในรายการที่ท่านลุงของเขาให้มาเพื่อให้เขาชนะใจคนเหล่านี้ มีใต้เท้าเหวินอยู่เป็นอันดับแรก ใต้เท้าเหวินเป็นที่ขึ้นชื่อว่ามีนิสัยเที่ยงธรรม ที่สำคัญที่สุดคือมีกลุ่มขุนนางอยู่เบื้องหลังเขา
สาเหตุที่องค์ชายสามและองค์ชายหกไม่สามารถถอดเขาออกจากตำแหน่งได้เป็นเพราะอาจารย์ของเขาซึ่งมีตำแหน่งเป็นโส่วฝู[1]คนปัจจุบันเป็นคนที่ไม่เอาพวกพ้องอีกทั้งวางตัวเป็นกลางไม่มีทีท่าเข้าข้างฝั่งไหน
แต่เดิมทียามที่สกุลเซียวถูกจัดฉากว่าไปเข้าข้างศัตรู ทุกคนก็พากันผลักกำแพงจนล้มทลายลงมา ทว่ามีโส่วฝูเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เข้าข้างหรือซ้ำเติม ถ้าหากเขาได้รับการสนับสนุนจากคนเหล่านี้ เขาจะมีอำนาจมากขึ้นแต่เห็นได้ว่าใต้เท้าเหวินยากที่จะเอาชนะได้ง่าย ดูเผิน ๆ เป็นผู้อาวุโสที่สง่างามและใจดี แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นจิ้งจอกแก่เจ้าเล่ห์
หลังจากเว่ยฉิงออกมาจากห้องใต้เท้าเหวินก็เดินตรงไปยังห้องทำงานของเขา ในห้องนั้นมีคนนั่งรออยู่แล้วห้าคน หนึ่งในนั้นคือ ซุนฮ่วยที่เคยได้พบมาก่อนหน้า ที่เหลือล้วนเป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบแผนกทะเบียนต่าง ๆ เว่ยฉิงเดินไปนั่งที่เก้าอี้พูดว่า
“พวกท่านมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้างหรือ?”
ผู้คนทั้งห้าจึงได้แนะนำตนเองกับเว่ยฉิง
“ใต้เท้า ข้าเป็นผู้บัญชาการมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลทหารรักษาการณ์ของมณฑลชิงเหอร่วมกับเฉาฉางซีรวมไปถึงทหารเฝ้าประตูเมือง และดูแลความปลอดภัยทั่วไปในมณฑลไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยอย่างสุนัขหายแมวหายเป็นต้น”
ซุนฮ่วยพูดจบก็มองไปที่กงเฉา กงเฉาพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า
“เหตุใดวันนี้เฉาฉางซีจึงไม่มาหรือ?”
“ภรรยาเขากำลังตั้งครรภ์อยู่อาจจะมีปัญหาบางอย่างก็เป็นได้”
“นี่เป็นวันแรกที่รองเจ้าคณะมณฑลมาเข้ารับตำแหน่ง แต่เขากลับมาช้าเพราะปัญหาที่บ้านอย่างนั้นหรือ? เขาไม่เห็นรองเจ้าคณะอยู่ในสายตาเลยหรืออย่างไร?”
“เฉาฉางซีเคยเห็นใครอยู่ในสายตาบ้างเล่า? เขามีคนใหญ่คนโตคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังนี่”
“ใช่แล้วเขาไม่ค่อยเอาจริงจังสักเท่าใดนัก ในเมื่อเขาไม่ชอบเมืองชิงเหอของเรา เหตุใดเขาไม่ไปทำงานในเมืองหลวงเสียเล่า?”
ทั้งสองคนจงใจลดเสียงลง แต่อย่างไรเสียก็ได้ยินได้ฟังกันอย่างชัดเจนอยู่ดี ซุนฮ่วยรอพวกเขาพูดจบจึงได้กระแอมไอออกมาเพื่อไม่ให้พวกเขาพูดต่อ
“เฉาฉางซีจะมาช้าเพราะเรื่องของครอบครัวได้อย่างไร? ตอนนี้เขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับงานราชการอยู่ก็เป็นได้ เขาเลยไม่ได้มาพบนายท่าน ได้โปรดยกโทษให้เขาด้วยเถิด”
เว่ยฉิงพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดว่าอะไร ซุนฮ่วยสังเกตท่าทางของเขาคิดว่าเขาน่าจะอารมณ์เสียบ้าง ซุนฮ่วยได้ทีเติมเชื้อไฟเพิ่มขึ้น
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอรายงานกับท่าน เฉาฉางซีทะเลาะกับข้าเมื่อสองสามวันก่อน เขาโกรธมากจนฉีกรายชื่อทหารทิ้ง”
“ซุนฮ่วย เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไร?” จู่ ๆ เสียงดุร้ายก็ดังขึ้น ชายร่างกำยำสวมเครื่องแบบขุนนางตัวยาวเดินเข้ามา เขาคือเฉาจีนั่นเอง
เฉาจีโมโหแทบตายเมื่อเข้ามาในห้องแล้วได้ยินซุนฮ่วยพูดจาใส่ไฟเขา ทำให้รองเจ้าคณะมณฑลผู้มาใหม่ไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรก เพื่อจะให้เขาได้รับโทษและโดนไล่ออก ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขายังทำงานให้รองเจ้าคณะมณฑลคนเก่าอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมากระดิกหางให้รองเจ้าคณะมณฑลคนใหม่เสียแล้ว ช่างเป็นคนชั่วร้ายเสียจริง
เขาโกรธมากจนอยากซัดคนผู้นี้อีกสักรอบ! เฉาจีก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว คิดอยากเห็นหน้าผู้ที่ถูกซุยฮ่วยหลอกว่าเป็นคนโง่เขลาหรือไม่?
แต่เมื่อได้เห็นคนผู้นั้นเขาถึงกลับตัวแข็งไปในทันที เฉาจีเบิกตากว้างขึ้น เว่ยฉิงก็จ้องตาเขาเขม็งเช่นกัน เขาหรี่ตาลง
ถึงเฉาจีจะเป็นคนง่าย ๆ แต่เขาไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน
รองเจ้าคณะมณฑลผู้มาใหม่คือ อู่เสี่ยวโหว อู่อวี้ นั่นเอง เฉาจีได้สติยกมือขึ้นทำการคารวะ
“รองเจ้าคณะมณฑล”
“นั่งลงเถอะ” เว่ยฉิงพูด
เฉาจีนั่งลงเว่ยฉิงหันไปพูดว่า
“ซุนฉางซีพูดเรื่องเมื่อครู่อีกครั้งสิ”
“ข้าจะรายงานท่านว่า เฉาฉางซีได้ฉีกบัญชีรายชื่อทหารรักษาการณ์ทิ้งเมื่อวันก่อนทำให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้น อาจเป็นเพราะเขาเคยชินกับการอยู่ในสนามรบถึงได้มีอารมณ์วู่วามไปบ้าง คงไม่ได้มีเจตนาขอรับ” ซุนฮ่วยพูด
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น รองเจ้าคณะมณฑลเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง เฉาฉางซีก็ทำตัวแบบนี้เสียแล้วเหมือนจะไม่ให้ความเคารพใต้เท้าเลย” เฉากงเอ่ยขึ้นมา ดวงตาที่แหลมคมของเฉาจีกวาดสายตาไปที่พวกเขา
เห็น ๆ กันอยู่ว่าพวกเจ้าฉกเอารายชื่อทหารรักษาการณ์ไปกันเองแล้วยังมาป้ายสีข้าอีก
“ข้าเป็นคนยั้งเขาไว้เอง รายงานอื่นๆยังคงเหลืออยู่ยกเว้นบัญชีรายชื่อของทหารรักษาการณ์เสียหายทั้งเล่ม”
ซุนฮ่วยทำหน้าประหลาดใจ
“เฉาฉางซี เจ้าพูดอะไรออกมา วันนั้นอาจารย์หวังก็อยู่ที่นั่นด้วย ให้อาจารย์หวังชี้แจงเหตุการณืที่เกิดขึ้นด้วยเถอะ”
สองคนนี้สมรู้ร่วมคิดกันต้องการป้ายความผิดให้เฉาจีถึงขั้นหมดหนทาง เว่ยฉิงมองเจ้าหน้าที่สองคนที่เหลือรวมถึงหัวหน้าที่ดูแลบัญชี
“พวกท่านเห็นเหตุการณ์ไหม?”
เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“พวกเราไม่ได้อยู่วันนั้น” พวกเขาไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“เอ่อ เอ่อ แต่ข้า ข้าเห็นว่าเฉาฉางซีเป็นคนฉีกรายงานฉบับนั้น”
เว่ยฉิงเหลือบมองเขารับรู้อารมณ์ของคนเหล่านี้ดี ทว่าซุนฮ่วยไม่ได้มองเว่ยฉิงเลยเขาเอาแต่ภูมิใจในแผนของตนเองว่าไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย รองเจ้าคณะมณฑลผู้นี้ต้องโกรธจนต้องสังเวยเฉาจี จนต้องลงมือการเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างแน่นอน
……………………
[1] สมุหราชเลขาธิการ