บทที่ 330 จ้าวชูคนโหดเหี้ยม
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาทำไว้ถังหลี่แทบอยากจะฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นให้ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น เขาจะได้ไม่ไปทำร้ายผู้อื่นได้อีก แต่เขาเป็นองค์ชายย่อมมีคนมากมายรายล้อมเขาอยู่ นางจึงไม่อาจจะฆ่าเขาได้ เพราะจะเกิดปัญหาไม่รู้จบตามมา หากนางไม่รู้จักอดทนจะเป็นปัญหาลามไปถึงแผนการใหญ่
หญิงสาวไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความจงเกลียดจงชังเอาไว้ในใจ จ้าวชูยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
“แม่นางไม่ชอบข้าหรือ?”
“ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าท่านบังคับให้คนอื่นทำเรื่องที่ยากเช่นนั้นให้ท่านได้อย่างไร”
ถังหลี่ไม่ต้องการคุยกับเขา นางหันหลังเดินเข้าไปในโรงหมอ จ้าวชูมองไปที่ด้านหลังของนางอย่างครุ่นคิด
สตรีผู้นี้น่าสนใจมากจริงๆ ไม่น่าแปลกที่ชายหนุ่มสกุลอู่จะตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น ซ้ำยังยืนกรานที่จะแต่งงานกับนาง นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชูสนใจสตรีผู้หนึ่ง
ถังหลี่เข้าไปในโรงเก็บยาและช่วยหลิวหลานจัดการกับพวกวัสดุยาต่างๆ ฮูหยินซูเรียกนางเข้าไปหาทันที
“เสี่ยวถัง เจ้ารู้ตัวตนของเขาไหม?” ฮูหยินซูถาม
“องค์ชายสามจ้าวชู” ถังหลี่กล่าว
“องค์ชายสาม?”
ฮูหยินซูเคยเป็นคนปักผ้าในพระราชวังมาก่อน ถึงนางไม่มีโอกาสพบเชื้อพระวงศ์มากนัก แต่ก็ได้รับรู้เรื่องราวภายในเป็นอย่างดี องค์ชายสามผู้นี้เกิดจากนางสนมกุ้ยเฟย เขาเป็นที่โปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็ก พระสนมผู้เป็นมารดาก็มากไปด้วยความสามารถ
หากคุณชายจูเป็นองค์ชายสาม แสดงว่าบิดาของเขาเป็น… ฮูหยินซูอ้าปากค้าง หากไท่หยวนตกลงล่ะก็ พวกนางก็จะเข้าไปร่วมในศึกชิงบัลลังก์อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“ฮูหยินท่านไม่ต้องกังวล พวกท่านมีองครักษ์เงาคอยปกป้องอยู่ ตราบใดที่พวกท่านไม่เห็นด้วย จ้าวชูจะทำอะไรท่านไม่ได้” ถังหลี่พูดปลอบใจ
หากเป็นในอาณาเขตเมืองหลวงของจ้าวชู นางคงไม่กล้าพูดเช่นนี้ แต่ที่นี่คือชิงเหอ นางไม่เชื่อว่าจ้าวชูจะมีอำนาจเรียกลมเรียกฝนที่นี่ได้ นางต้องการเผชิญหน้ากับจ้าวชูตัวต่อตัว เพื่อดูว่าเขาจะฉกผู้คนไปจากนางได้หรือไม่
ฮูหยินซูพยักหน้า ทันใดนั้นนางนึกถึงบางอย่างทำให้ตื่นเต้นขึ้นมา
“เสี่ยวถัง เจ้าบอกว่าหากเราไปเมืองหลวงกับเขาเพื่อรักษาอาการป่วยของฮ่องเต้ มันจะไม่ใช่ความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงหรอกหรือ? ถ้าเช่นนั้นเราจะเป็นที่พึ่งของเจ้าได้…”
ฮูหยินซูและหมอซูเป็นคนที่มีชีวิตมั่นคงแล้ว แต่พวกเขากลับยินดียอมเสี่ยงเพื่อนาง ทำให้ถังหลี่ซาบซึ้งมาก ในนวนิยายต้นฉบับ หมอซูเป็นผู้รักษาโรคของฮ่องเต้ได้ ส่วนกู้อิ๋นเป็นศิษย์ของหมอซู ด้วยความสัมพันธ์นี้ทำให้หญิงสาวได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้
แต่อย่างไรก็ตามถังหลี่นั้นแตกต่างจากกู้อิ๋น
หมอซูและฮูหยินซูเปรียบเสมือนญาติของนาง ดังนั้นนางจะปล่อยให้พวกเขาเสี่ยงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้ถังหลี่ไม่ได้มีอำนาจและอิทธิพลในเมืองหลวง นางจึงไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของคนทั้งคู่ได้เลย
ที่จริงแล้วถังหลี่ต้องการให้หมอซูและฮูหยินซูได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมั่นคงเท่านั้น นางไม่อยากให้พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้
ในนวนิยายที่นางได้อ่าน ทั้งสองต้องทนทุกข์มากเกินไป หมอซูเป็นหมอที่ดี ช่วยชีวิตผู้อื่นมาตลอด เหตุใดเขาจึงต้องเสียคนรักไปด้วยเล่า เหตุใดโชคชะตาจึงบังคับให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นนั้น?
ตอนนี้นางได้เปลี่ยนชะตากรรมเขาแล้ว ถังหลี่หวังให้พวกเขาได้แก่เฒ่าไปด้วยกัน
“เสี่ยวถังพวกเรามาปรึกษากันก่อนดีไหม? ให้ข้ากับไท่หยวนได้ช่วยเจ้า” ฮูหยินซูยืนยันคำพูดอย่างจริงจัง
หากมีใครสักคนมาห่วงใยย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่ถังหลี่ก็อยากให้พวกเขามีความสุขสบายดีเช่นกัน
เสี่ยวถังเปรียบเสมือนลูกสาวสามีภรรยาซู พวกเขาต้องการให้ลูกสาวมีชีวิตที่ดี และอยากมีส่วนร่วมที่จะได้ช่วยเหลือนาง
ถังหลี่พยักหน้า
“ฮูหยิน ท่านได้ช่วยเหลือข้าแน่นอน ทว่ามันยังไม่ถึงเวลา”
การเข้าไปต่อสู้แย่งชิงอำนาจในช่วงนี้นับว่ามีอันตรายมากเกินไป นางต้องเข้าเมืองหลวงจากนั้นจึงต้องหาโอกาสจังหวะที่ดีก่อน
ฮูหยินซูพยักหน้า
“อย่าลืมว่าพวกเราจะคอยสนับสนุนเจ้าอยู่ข้างหลังเสมอ”
“ขอบคุณ ฮูหยิน”
“เด็กน้อย มีอะไรที่ข้าจะช่วยเหลือเจ้าได้บ้าง”
“ช่วงนี้ ฮูหยินกับหมอซูพยายามอยู่ที่โรงหมอให้มากที่สุดนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะอยู่ที่นี่ตลอด เจ้าวางใจเถิด”
ถังหลี่พูดคุยกับฮูหยินซูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกไปจากโรงหมอ
เมื่อนางออกมาจ้าวชูก็หายไปแล้ว เมื่อเขาไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจหมอซูได้ เขาคงต้องใช้เล่ห์กลแบบอื่นเป็นแน่ เอาล่ะ! อย่าเพิ่งไปคิดถึงมันตอนนี้เลย
ถังหลี่เดินไปที่ร้านอาหารหนิงเฟิง รู้สึกมีคนกำลังสะกดรอยตามนางอย่างเงียบๆ หญิงสาวขมวดคิ้วเดินไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านมุมกำแพงนางจึงแอบซ่อนตัว ในไม่ช้าคนที่สะกดรอยตามนางก็ปรากฏตัวขึ้น ถังหลี่พุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว ชายผู้นั้นตอบสนองอย่างว่องไว เขายื่นมือออกมาเพื่อสกัดการโจมตีของนาง ทั้งคู่ผลัดกันจู่โจมไปมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ
ผู้สะกดรอยตามถังหลี่ถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นจึงประสานมือไปทางถังหลี่เพื่อยุติการต่อสู้ หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างเย็นชา
“คุณชายจู ท่านตามข้ามาทำไม?”
“แม่นางถังเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ตามท่านแต่พวกเราอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ท่านกำลังจะไปร้านอาหารหนิงเฟิงใช่ไหม? ข้าจะไปทานมื้อเย็นที่นั่นเช่นกัน”
ถังหลี่ไม่สนใจเขาและเดินต่อไปทันที จ้าวชูเดินตามหลังนางไปยังร้านอาหาร เขายืนพิงโต๊ะคิดเงินฟังลูกค้าทักทายถังหลี่
“ได้ยินมาว่าแม่นางถังมีฝีมือในการปรุงอาหารที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าสงสัยเหลือเกินว่าข้าจะโชคดีพอได้กินอาหารที่ท่านปรุงหรือไม่” จ้าวชูถามด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอยากกินจริงหรือ?” ถังหลี่มองเขาอย่างไร้ความรู้สึก
“ถือได้ว่าเป็นเกียรติ”
“หากข้าทำ ท่านต้องกินให้หมดล่ะ”
“แน่นอน!”
ถังหลี่หันหลังเดินเข้าไปในครัว
จ้าวชูนั่งรอที่โต๊ะอย่างใจเย็น เขามองไปรอบเพื่อดูบรรยากาศของร้าน
หลังจากครึ่งชั่วยามผ่านไป ถังหลี่ออกมาพร้อมกับชามผัดผักจานใหญ่ นางวางจานตรงหน้าจ้าวชูเมื่อเปิดฝาครอบออกถึงเห็นว่าอาหารทั้งจานเป็นสีแดงทั้งยังมีกลิ่นฉุนเผ็ดออกมา แค่ได้กลิ่นก็ทำให้หงุดหงิดแล้ว
“อาหารจานนี้เรียกว่าหมูหั่นต้ม ต้องเผ็ดมากๆ จึงจะอร่อย ขอให้ท่านกินให้อร่อยนะคุณชายจู” ถังหลี่พูดด้วยท่าทางยั่วยุ
“อย่าลืมกินให้หมดล่ะ จะได้ไม่เสียของ”
จ้าวชูหยิบตะเกียบขึ้นมา ในขณะนั้นเองก็มีคนหนึ่งพูดขึ้น
“คุณชาย ให้ข้าลองชิมก่อนขอรับ”
ถังหลี่มองคนที่อยู่ข้างๆ จ้าวชู ชายคนนี้หน้าตาธรรมดาเสียจนแทบกลืนหายไปกับฝูงชนได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าวิตก ถังหลี่ไม่ได้สังเกตเห็นเขาด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เขาก็อยู่ข้างๆ จ้าวชู
ชายคนนั้นคีบชิ้นหมูเข้าปาก ถังหลี่ได้เพิ่มพริกและเกลือลงในจานนี้เยอะมาก รสชาติของมันจึงเฝื่อน แต่ใบหน้าของเขายังไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่กินเลย เขาเคี้ยวช้าๆ เพื่อแยกว่าอาหารจานนี้มีพิษไหม?
หลังจากที่ทานเสร็จเขาก็เดินออกไป จ้าวชูหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มทาน
สีหน้าของชายหนุ่มนั้นไม่เปลี่ยนแปลงราวกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับของอร่อยเขาทานมันทีละคำเรื่อยๆ เมื่อถังหลี่มองอีกครั้งเขาก็กินจนหมดจานแล้ว
องค์ชายสามผู้นี้เป็นคนโหดเหี้ยมจริงๆ นอกจากโหดเหี้ยมกับผู้อื่นแล้ว เขายังโหดเหี้ยมกับตัวเองเช่นกัน
ถังหลี่เมินเฉยต่อเขา แล้วหันกลับไปทำธุระของนางต่อไป
วันรุ่งขึ้น
จ้าวชูไปที่ร้านอาหารหนิงเฟิงอีกครั้งก่อนจะเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนเคร่งขรึมข้างถังหลี่ ดูเหมือนชายผู้นั้นจะรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของจ้าวชู เขาหันหน้ามามองจ้าวชูอย่างคุกคาม ดวงตาของพวกเขาปะทะกันอย่างเย็นเฉียบ