จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 451-455

ตอนที่ 451-455

บทที่ 451 : สำนักเวชโอสถ (2)
  ไป๋จั่นเผิงหลับตาลงช้าๆ ร่างของเขาสั่นเล็กน้อย
  แซ่ไป๋
  เหมือนนางด้วยงั้นหรือ?
  หรือเป็นได้ว่า…
  หัวใจของไป๋จั่นเผิงพยายามตอบคำถามที่เขาคิดนั่นทำให้ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป
  “ข้าจะไปหาท่านพ่อก่อน”เขาพูด ขณะเดียวกันก็พยายามระงับอารมณ์ที่ไหลหลากเข้ามาในใจ
  ”ขอรับนายน้อย”
  ผู้คุ้มกันโค้งคำนับส่งไป๋จั่นเผิงออกจากห้องไปด้วยความเคารพ
  หลังจากไป๋จั่นเผิงก้าวออกจากห้องโถงชั้นในเขาก็เดินตรงไปที่ห้องตำราอย่างรวดเร็ว
  ภายในห้องตำราบนโต๊ะเต็มไปด้วยหนังสือ ชายชราคนหนึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือที่อยู่ในมือ คิ้วของเขาเดี๋ยวย่นเดี๋ยวคลาย นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
  ”ท่านพ่อ!”
  ครั้นเห็นว่าความสนใจของชายชรานั้นยังคงอยู่กับหนังสือไป๋จั่นเผิงก็อดมิได้ที่จะร้องเรียก
  เสียงเรียกนี้ทำให้ชายชราละสายตาจากหนังสือ
  ”เผิงเอ๋อเตรียมงานชุมนุมสำนักเวชโอสถไปถึงไหนแล้ว ? แล้วเจ้ามาหาพ่อมีเรื่องใดหรือ ?”
  แววตาของไป๋จั่นเผิงเปล่งประกาย”ท่านพ่อ ท่านจำเรื่องที่ข้าเคยพูดกับท่านก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ? คราก่อนข้าออกจากสำนักเวชโอสถ โชคดีที่มีหญิงสาวผู้หนึ่งช่วยข้าไว้ ทั้งยังรักษาโรคเรื้อรังของข้าจนหาย”
  “ที่เจ้าพูดมานั้น”ชายชราขมวดคิ้ว “เป็นเพราะเจ้าต้องการจะส่งบัตรเชิญให้กับหญิงผู้นั้นใช่หรือไม่ ? หากเป็นเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมาขอพ่อหรอก เจ้าสามารถตัดสินใจเองได้เลย”
  ”ไม่ที่ข้ามาหาท่านไม่ใช่เพราะเรื่องนี้” ไป๋จั่นเผิงสูดลมหายใจเข้าลึก แววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายตื่นเต้น “สิ่งที่ข้าไม่ได้บอกท่านก็คือหญิงผู้นั้นคล้ายหนิงเอ๋อเป็นอย่างมาก”
  ตุ้บ!
  หนังสือในมือของชายชราร่วงหล่นเขาลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ทันที มือเหี่ยว ๆ ของเขากดลงบนโต๊ะอย่างหนัก กระทั่งชุดน้ำชาบนโต๊ะไหวสั่น
  “เจ้าว่ากระไรนะ? หญิงที่ช่วยชีวิตเจ้าคล้ายกับน้องสาวของเจ้ามากกระนั้นรึ ? เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าจึงไม่บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?”
  บุตรสาวของเขาหายสาบสูญนานกว่าสิบปีแล้ว
  เขาไม่รู้ว่านางตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา ผู้ใดจะรู้ว่าเขาผ่านช่วงเวลาหลายปีนี้มาได้อย่างไร ?
  หากเขารู้ว่านางจะหายสาบสูญครั้งที่นางกำลังจะจากไป เขาจะไม่ยอมปล่อยให้นางลงเขา !
  ”เพราะหลังจากที่ข้าได้พบหญิงผู้นั้นข้าก็ส่งคนไปสืบประวัติของนาง จึงพบว่านางเป็นบุตรสาวของบ้านสกุลไป๋แห่งอาณาจักรหลิวฮั่ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ได้บอกท่าน”
  รอยยิ้มของไป๋จั่นเผิงบิดเบี้ยว
  สตรีเช่นไป๋หยานจะเป็นบุตรสาวของขยะเยี่ยงนั้นได้อย่างไร?
  ในวันนั้นเหตุใดเขาถึงคิดไม่ได้นะ ?
  ”แล้วตอนนี้ไยเจ้าถึงนำเรื่องนี้มาบอกข้า ?” ชายชรากำหมัด หัวใจของเขาสั่นไหว สายตาของเขาจับจ้องไป๋จั่นเผิง
  ไป๋จั่นเผิงมองชายชรา”หลังจากข้าออกมาจากอาณาจักรหลิวฮั่ว ข้าก็ไม่ไว้ใจในความปลอดภัยของนาง จึงส่งคนลอบคุ้มกันนาง แล้วข้าก็ได้ทราบข่าวว่า…”
  ครั้นหวนคิดถึงข่าวที่ผู้คุ้มกันเพิ่งมารายงานนั่นไป๋จั่นเผิงก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
  ”ปรากฏว่าหญิงสาวที่ข้าพบไม่ได้เกิดจากขยะพวกนั้น ทว่านางถูกมอบให้กับฮูหยินของตระกูลไป๋โดยสตรีที่ใช้แซ่ไป๋เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่า ไป๋หยาน เป็นเอ่อ…ของหนิงเอ๋อ”
  บุตรสาวของหนิงเอ๋อกระนั้นรึ?
  เขาไม่ได้กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นหากแต่เขารู้ว่าบิดาของเขาต้องรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
  กึกๆ
  ฝ่ามือของชายชราสั่นไหวกระทั่งถ้วยน้ำชาบนโต๊ะคว่ำ ชาร้อน ๆ ไหลรินนองโต๊ะ กระทั่งเปียกหนังสือที่ชายชราหวงแหนดั่งสมบัติ
  ”บุตรสาวของหนิงเอ๋อหรือ? นางเป็นบุตรสาวของหนิงเอ๋อจริง ๆ หรือ ? ในที่สุดข้า… ไป๋ฉางเฟิ่งก็มีทายาทรุ่นที่สามแล้วใช่หรือไม่ ? ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ดีจริง ๆ !”
  ***จบบทสำนักเวชโอสถ (2)***

บทที่ 452 : สำนักเวชโอสถ (3)
  เขาหัวเราะหัวเราะร่า พลันน้ำตาก็ค่อย ๆ ไหลรินลงมาบนใบหน้าที่แก่ชราของเขา
  เนื่องจากครานั้นไม่รู้ว่าไป๋หนิงจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรเส้นผมของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีขาวภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน แม้แต่ไป๋จั่นเผิงก็เฝ้าเพียรตามหานาง กระทั่งไม่สนใจที่จะรับภรรยาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี
  วันนี้…
  ทันทีที่พวกเขารู้ว่านางอาจทิ้งบุตรสาวไว้ในโลกนี้พวกเขาก็เริ่มมีความหวัง !
  ”เผิงเอ๋อหญิงผู้นั้นอยู่ที่ใด ? ข้าอยากพบนาง”
  น้ำเสียงของไป๋ฉางเฟิ่งนั้นร้อนรนนัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
  ”นางน่าจะยังคงอยู่ในอาณาจักรหลิวฮั่วก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งคนไปมอบบัตรเชิญให้นางแล้ว นางอาจจะมาร่วมงานชุมนุมหมอปรุงยาในครั้งนี้ด้วย” ไป๋จั่นเผิงสงบอารมณ์ตื่นเต้นของตนไว้ “ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งให้แม่นางไป๋รู้เรื่องนี้ รอก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่ ฝ่ายเราอาจไม่เป็นไร แต่อาจทำให้นางเสียใจ”
  ไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้วเห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับถ้อยคำของไป๋จั่นเผิง
  ”ท่านพ่อ”ไป๋จั่นเผิงเพิกเฉยต่อสายตานั้นพลางยิ้ม “ไป๋หยานอาจเป็นหลานสาวของข้า แต่หากว่าไม่ใช่ นั่นย่อมจะทำให้นางตามหาญาติของนางล่าช้าออกไปอีก”
  ”ไม่… ” เขาหยุด ก่อนจะกล่าวต่อว่า “นางต้องเป็นหลานสาวข้า แต่หากไม่ใช่จริง ๆ ข้าก็จะรับนางเป็นธิดาบุญธรรม”
  นับแต่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นไป๋หยานเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผูกพัน บางทีอาจเป็นเพราะนางมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับหนิงเอ๋อ จึงทำให้เขาไม่อาจหยุดคิดถึงนางได้ตั้งหลายวัน
  ไป๋ฉางเฟิ่งเงียบไปเพียงครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ตกลง ทำตามที่เจ้าพูดก็ได้ ทว่าอย่างไร ข้าก็จะรับนางเข้าสำนักเวชโอสถของเรา ยังมีเมื่อหลายวันก่อน ผู้อาวุโสทั้งสามจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงท่าทางโอ้อวดต่อหน้าข้า พวกเขาอ้างว่าพวกเขาได้รับศิษย์ที่ยอดเยี่ยมไว้ ! หากไป๋หยานเป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักเวชโอสถของเรา ศิษย์ของตาเฒ่าสามคนนั่นจะเทียบกับนางได้เยี่ยงไร ? ”
  แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือสตรีผู้นั้นคล้ายกับหนิงเอ๋อเป็นอย่างมาก
  หากเก็บนางไว้ข้างกายเขาย่อมทำให้จิตใจของชายชราชุ่มชื่นขึ้น
  ปัง!
  จู่ๆ ประตูของห้องหนังสือพลันถูกเปิดออก ครั้นเห็นผู้ที่ก้าวเข้ามาในห้อง ใบหน้าของสองพ่อลูกก็เคร่งขรึมลงอย่างกระทันหัน
  ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงชราผมหงอกขาวทันทีที่นางก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ นางก็ร้องไห้ตีอกชกหัวตนเอง “พี่เขยท่านต้องให้ความยุติธรรมกับข้า หากท่านไม่ตัดสินเรื่องนี้ ข้าคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้ว”
  หญิงชราร้องไห้ราวกับแม่ค้าในตลาดไม่เหลือภาพลักษณ์ที่ดีเลย ยิ่งทำให้ใบหน้าของไป๋ฉางเฟิ่ง และบุตรชายน่าเกลียดมากขึ้นไปอีก
  ”เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก?” คิ้วของไป๋ฉางเฟิ่งขมวด ยามนี้เขาเต็มไปด้วยความโกรธ
  “พี่เขยท่านไม่รู้หรอกว่า คนในสำนักเวชโอสถนินทาข้าเช่นไรบ้าง ? พวกเขาบอกว่าข้ามากินมาดื่มในสำนักเวชโอสถโดยไม่ก่อเกิดประโยชน์ใด ? พวกเขาหาว่าข้าเป็นปลิงมาเกาะสำนักเวชโอสถ ? ก็สำนักเวชโอสถเป็นบ้านของพี่เขยข้า ย่อมไม่ต่างจากบ้านข้า !” หญิงชราเช็ดน้ำตา “หากปล่อยให้พวกเขานินทากันต่อไปเช่นนี้ แล้วท่านจะให้พี่สาวของข้าตายตาหลับได้อย่างไร ?”
  ไป๋ฉางเฟิ่งกำหมัดแน่นหากมิใช่เพื่อให้ภรรยาที่กำลังจะตายของเขาวางใจ เขาไม่มีวันยอมให้คนเช่นนี้เข้ามาอยู่ในสำนักเวชโอสถของเขาเป็นเด็ดขาด
  ”แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด?”
  นัยน์ตาของหญิงชราแสดงความพึงพอใจ”พี่เขย ข้าคิดว่าจั่นเผิงก็อายุเกิน 40 ปีแล้ว ทั้งเขาก็ยังไม่มีลูกสักคน ข้าจะยกหยิงเอ๋อให้เป็นธิดาบุญธรรมของเขา หยิงเอ๋อนั้นทั้งเฉลียวฉลาด ทั้งมีไหวพริบดี นางจะต้องกตัญญูรู้คุณต่อจั่นเผิงอย่างแน่นอน”
  ”โอ้!”
  ครั้นเห็นว่าที่หญิงชราฟูมฟายนั้นเป้าหมายของนางอยู่ที่เขา ไป๋จั่นเผิงก็กล่าวหยัน
  “ประการแรกกฎของสำนักเวชโอสถนั้นชัดเจนมาก เว้นแต่คนหน้าหนาเช่นท่านแล้ว คนอื่นจะกล้านินทาลับหลังได้เช่นไร ?
  ”ประการที่สองข้าไม่อาจรับบุตรสาวอย่างเย่หยิงได้”
  ***จบบทสำนักเวชโอสถ (3)***

บทที่ 453 : สำนักเวชโอสถ (4)
  เมื่อเทียบกับบิดาของเขาที่กำเนิดในสำนักเวชโอสถแล้วมารดาของเขากลับเป็นเพียงสตรีจากตระกูลธรรมดาสามัญ ทว่ามารดาของเขาก็เป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมมาก ซึ่งบิดาของเขาก็ให้ความเกรงใจนางมาก
  หากแต่ที่น่าเศร้าก็คือ …
  การเป็นภรรยาของเจ้าสำนักเวชโอสถสำหรับหญิงจากตระกูลสามัญธรรมดาแล้ว ย่อมไม่ต่างจากสุนัขระกาเยี่ยมวิมาน (หมายความว่า ผู้ที่รับราชการ หากตามติดเจ้านายที่มีอำนาจแล้ว ก็จะพลอยได้ดิบได้ดีมีวาสนาไปด้วย)
  ด้วยเหตุที่ท่านแม่เป็นห่วงคนในตระกูลของนางเป็นอย่างมากนางจึงฝากฝังน้องสาวของนางไว้กับท่านพ่อของเขาก่อนที่นางจะเสียชีวิต
  และเพราะความรักของท่านพ่อที่มีต่อท่านแม่ทำให้ท่านต้องอดทนต่อหญิงผู้นี้
  “จั่นเผิงข้ารู้ว่า เจ้าคงคิดว่าหยิงเอ๋อนั้นดีเกินไป เพราะเจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าจึงไม่ต้องการรับหยิงเอ๋อเป็นบุตรบุญธรรมก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นเจ้ารับหมิงเอ๋อเป็นบุตรชายของเจ้าแทนก็แล้วกัน แม้ว่าหลานชายของข้าจะโง่เง่าไปสักหน่อย ทว่าเขาก็เป็นเด็กกตัญญูมากเลยนะ”
  หญิงชรายังคงทำราวกับว่าไม่ได้ยินถ้อยคำถากถางของไป๋จั่นเผิงใบหน้าของนางยังคงบ่งบองความภาคภูมิใจ
  “อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่มีลูก ข้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าคงไม่ต้องการแต่งงานแล้ว เจ้าคงจะไม่ปล่อยให้สำนักเวชโอสถต้องตกอยู่ในมือของคนนอกหรอกนะ หากเจ้ารับหมิงเอ๋อเป็นลูก เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสำนักเวชโอสถว่าภายหน้าจะไม่มีผู้ดูแล”
  ครั้นนางพูดเช่นนี้ยิ่งทำให้นางดูร้ายกาจหนักกว่าเดิม นางกล้าอาจเอื้อมตำแหน่งเจ้าสำนักเวชโอสถ
  ไป๋ฉางเฟิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไปเขาคว้าถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะทุบมันอย่างแรง
  ”เจ้าสำนักเวชโอสถเป็นเรื่องของข้าเจ้ามายุ่งอะไรด้วย ? หากไม่เห็นแก่ความผูกพันลึกซึ้งระหว่างข้ากับจิ้งเอ๋อแล้ว ข้าคงไม่ยอมทนมานานถึงเพียงนี้เป็นแน่ หากเจ้ายังไม่ยอมหยุด ก็จงไปจากสำนักเวชโอสถเสีย ! ”
  ”พี่เขย!” หญิงชราหน้าง้ำ นางกล่าวว่า “ที่ข้ามาที่นี่ มิใช่เพราะเห็นแก่ท่านหรอกหรือ ? นานแล้วที่ท่านกับจั่นเผิงไร้ผู้สืบทอดสำนักเวชโอสถ หากพวกท่านจากไปจะมอบสำนักเวชโอสถให้กับผู้ใด ? ข้าสู้อุตส่าห์มีใจขอร้องให้หมิงเอ๋อมาช่วยท่าน ท่านยังใจร้ายกับข้า นี่ข้ายังไม่ดีพออีกหรือ ! ”
  นางทิ้งประโยคนี้ไว้ก่อนจะเดินจากไปด้วยความโกรธเกรี้ยว นางออกจากห้องหนังสือด้วยใบหน้าโศกเศร้าอย่างมาก
  หลีจิ้งนางแพศยา !
  ครานั้นหากนางยินยอมให้ไป๋หนิงบุตรสาวของนางแต่งงานกับบุตรชายของข้า ทุกอย่างก็จบแล้ว
  ทว่าเป็นเพราะหลีจิ้งไม่เห็นด้วยส่วนไป๋หนิงก็ตายไปแล้ว !
  แม้ว่าผู้คนในสำนักเวชโอสถปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงข้อนี้ทว่าเนื่องจากไป๋หนิงหายตัวไปนานกว่า 20 ปี จะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรนอกเสียจากนางได้ตายไปแล้ว
  หากหลีจิ้งเห็นด้วยกับคำขอของนางไป๋หนิงก็คงยังไม่ตาย !
  บัดนี้หลีจิ้งก็ตายไปแล้วความสนิทสนมของไป๋ฉางเฟิ่งกับตระกูลหลีของนางก็เริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันสำนักเวชโอสถจะต้องตกอยู่ในมือของผู้อื่นเป็นแน่ !
  ไม่!
  ไม่มีทางนางต้องพยายามให้ไป๋จั่นเผิง ยอมรับหมิงเอ๋อเป็นบุตรบุญธรรมของเขาให้ได้ !
  แววตาของหญิงชราเปล่งประกายชั่วช้านางเร่งฝีเท้ารีบไปให้พ้นจากห้องหนังสือโดยไว
  หลังจากเย่ฮูหยินจากไปแล้ว ไป๋ฉางเฟิ่งก็ถอนหายใจ ใบหน้าของเขาแลดูโทรมมาก เขาทรุดลงนั่งกับพื้น
  ”จั่นเผิงบางทีวันหนึ่งข้าอาจจะทำลายความไว้วางใจของมารดาเจ้า”
  ไป๋จั่นเผิงลูบอกของไป๋ฉางเฟิ่งพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ว่า “ท่านพ่อ ท่านต้องคิดถึงตนเองบ้าง ท่านต้องชัดเจนกับเรื่องบางเรื่อง ท่านก็ช่วยเหลือดูแลตระกูลหลีมานานหลายปีแล้ว หากท่านแม่รู้ว่าตระกูลหลีมีความคิดที่จะครอบครองสำนักเวชโอสถของเรา แน่นอนว่านางจะต้องสนับสนุนการตัดสินใจของท่าน ! ”
  ”ข้าเองก็หวังเช่นนั้น”
  ไป๋ฉางเฟิ่งถอนหายใจ”ข้าเหนื่อยมากแล้ว อยากจะพักผ่อน อย่าลืมพาข้าไปพบแม่นางคนนั้นด้วยล่ะ”
  ”ขอรับ”
  ไป๋จั่นเผิงพยักหน้าเล็กน้อยเขาป้องหมัดให้ไป๋ฉางเฟิ่ง พลางกล่าวว่า “เช่นนั้น ลูกขอตัวก่อน”
  จบคำเขาก็หมุนตัวช้า ๆ เดินออกจากห้องหนังสือไป
  ครั้นไป๋จั่นเผิงจากไปแล้วไป๋ฉางเฟิ่งก็นำภาพวาดออกมา เขาคลี่ม้วนภาพลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
  สตรีในภาพวาดแลดูงามดั่งบุปผาอ่อนโยน และอ่อนไหว
  ***จบบทสำนักเวชโอสถ (4)***

บทที่ 454 : จะไปไม่ไป (1)
  ”จิ้งเอ๋อตอนนั้นเจ้าฝากฝังตระกูลหลี่ไว้กับข้า ข้าเองก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีเช่นที่เจ้าต้องการ หากแต่คนพวกนั้นมีความคิดที่จะใช้เผิงเอ๋อเป็นบันได … ”
  ”ข้าคิดว่าหากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็คงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น”
  นัยน์ตาของไป๋ฉางเฟิ่งเต็มไปได้ด้วยความรักใคร่นิ้วมือของเขาลูบไล้ใบหน้าของสตรีบนภาพวาดอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้น หากข้าหมดความอดทน ถึงขั้นทำอะไรบางอย่างที่เป็นการทำร้ายพวกเขา ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ตำหนิข้า”
  เหตุใดจิ้งเอ๋อสตรีที่ยอดเยี่ยมต้องมาเกิดในตระกูลเช่นนี้?
  ครั้นนึกถึงสิ่งนี้ไป๋ฉางเฟิ่งก็ถอนหายใจอย่างนุ่มนวล ใบหน้าที่แก่ชราของเขาพลันยิ้มน้อย ๆ “นอกจากนี้ ข้ายังมีข่าวดีที่จะบอกเจ้าว่า ดูเหมือนเผิงเอ๋อจะพบบุตรสาวของหนิงเอ๋อแล้ว หากสตรีผู้นั้นเป็นบุตรสาวของนางจริง ๆ บางทีหนิงเอ๋ออาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ใช่หรือไม่ ? ”
  หากเป็นจริงก็ไม่ต้องกลัวว่าสำนักเวชโอสถจะไม่มีผู้สืบทอด
  ส่วนไป๋จั่นเผิงนั้นใจของเขาไม่เคยคิดเรื่องมีครอบครัวเลย เช่นนี้จะมีลูกมีหลานได้อย่างไร นี่ก็ผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้าเกรงว่าจะตายก่อนได้อุ้มหลานเสียล่ะมากกว่า
  *****
  ในโรงน้ำชา
  ร่างสง่างามกำลังก้าวเข้ามาผู้คนในโรงเตี๊ยมต่างหยุดสนทนากันชั่วครู่หนึ่ง แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยประกายแสงแห่งความตื่นตาตื่นใจ
  ภายใต้สายลมโชยฝีเท้าของชายผู้นั้นแผ่วเบา เรือนผมสีเงินของเขาราวกับปีศาจ ซึ่งตรงกันข้ามกับทุกคนในที่นี้
  ทุกคนต่างลืมหายใจขณะมองชายหนุ่มที่ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา ทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถหลุดออกจากห้วงภวังค์ได้อีกเป็นนาน
  อย่างไรก็ตามความงามของบุรุษผู้นี้ไม่ได้แค่เชิญชวนให้สตรีพึงใจทว่าเขาเปรียบเสมือนราชาผู้ภาคภูมิ ที่ทำให้ผู้คนทั่วทั้งโลกนี้แลดูต่ำต้อยด้อยค่าเมื่อพบเจอเขา
  เหตุใดเขาจึงสามารถครอบงำผู้คนได้มากมายถึงเพียงนี้?
  ที่สุดบางคนในฝูงชนก็เริ่มรู้สึกตัวพวกเขากระซิบกระซาบแก่กันว่า “แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะหล่อเหลามาก ทว่าแรงกดดันของเขาก็น่ากลัวเกินไป บางทีอาจไมมีสตรีใดในโลกนี้ที่สามารถปราบพยศเขาได้”
  ”นั่นก็ไม่แน่หรอกนะข้าคิดว่าเย่หยิงแห่งสำนักเวชโอสถน่าที่จะสามารถทำได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงความสามารถของนาง เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ยินมาว่าเย่หยิงตั้งใจจะขอเป็นธิดาบุญธรรมของนายน้อยแห่งสำนักเวชโอสถ”
  “จริงหรือ? จะว่าไป เย่หยิงก็นับเป็นญาติสนิทของสำนักเวชโอสถ หากนางได้เป็นคุณหนูของสำนักเวชโอสถจริง นางก็จะโดดเด่นกลายเป็นดาวล้อมเดือนเลยทีเดียว”
  *****
  บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมสตรีผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเขียวอ่อนนั่งอยู่ที่หน้าต่างมองดูฝูงชนที่สนทนากันเซ็งแซ่ “ลุงจง เจ้าคิดว่าบุรุษเมื่อครู่นี้แข็งแกร่งมากหรือไม่ ?”
  เย่จงเงียบไปนาน “คะเนไม่ได้”
  คะเนไม่ได้งั้นรึ?
  สตรีในอาภรณ์สีเขียวเคาะนิ้วลงบนโต๊ะแววตาของนางมีรอยยิ้ม น้ำเสียงของนางนุ่มนวล “ท่านยายต้องการให้พี่ใหญ่ของข้าเป็นผู้สืบทอดสำนักเวชโอสถ ทว่าคนโง่เง่าเช่นพี่ใหญ่ของข้า จะดูแลสำนักเวชโอสถได้หรือ ? โชคไม่ดีที่ข้าเป็นสตรี อย่าว่าแต่เจ้าสำนักจะไม่เห็นความสามารถของข้า แม้แต่ท่านยายเองก็ยังไม่ใส่ใจข้า … ”
  เหตุที่เจ้าสำนักยอมให้พวกเราอยู่ในสำนักเวชโอสถมานานหลายปีนั่นก็เป็นเพราะภรรยาของเจ้าสำนักเป็นพี่สาวของท่านยาย แท้จริงแล้ว เจ้าสำนักไม่มีความรู้สึกใด ๆ กับบ้านสกุลหลี่เลย หาไม่แล้ว เขาคงจะไม่ให้คนสกุลหลี่เรียกเขาว่า เจ้าสำนักหรอก
  ”คุณหนูหมายถึงอะไร ?” เย่จงเอ่ยถาม
  เย่หยิงยิ้มพลางกล่าวว่า”ก็ข้าพยายามหาสามีที่ทรงพลังเช่นไรล่ะ เจ้าไม่ได้บอกเองหรือไรว่าชายผู้นั้นแข็งแกร่งมาก ข้าจึงนับว่าเขาเป็นเป้าหมายของข้า”
  ”คุณหนูอย่าได้หุนหันพลันแล่น” เย่จงส่ายหน้า พลางยิ้มอย่างหงุดหงิด “ท่านยังไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าของชายผู้นั้นเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีภรรยา และลูกหรือไม่ ? แม้เขาจะแข็งแกร่งมาก ทว่าเขาก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรับคุณหนูเป็นอนุ”
  ***จบบทจะไปไม่ไป (1)***

บทที่ 455 : จะไปไม่ไป (2)
  ”ข้าไม่สนว่าเขาจะเป็นใครมาจากที่ใด ข้ารู้เพียงว่าเขามีพลังอำนาจ ถึงแม้เขาจะมีภรรยามีลูกแล้ว ข้าก็ไม่กลัว เขาจะต้องเป็นของข้า” เย่หยิงทำปากเชิด
  กล่าวจบนางก็ใช้นิ้วพันปอยผมยาว ๆ ของนางเล่น แววตาของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
  ”ข้ามั่นใจในตัวข้าเอง”
  เย่จงอ้าปากหวอเขาอยากจะกล่าวบางอย่าง ทว่ากลับกล่าวคำใดไม่ออก
  นับแต่คุณหนูมาที่สำนักเวชโอสถบรรดาศิษย์หนุ่ม ๆ ของสำนักเวชโอสถต่างก็มารายล้อมรอบตัวนาง ทั้งยังมีบุรุษอีกมากมายที่ทิ้งภรรยาทิ้งลูกของเขาเพื่อนาง
  อย่างไรก็ตามถ้อยคำของนางนั้นก็หาใช่จะไร้เหตุผลเสียทีเดียว
  จะมีบุรุษสักกี่คนที่ไม่เจ้าชู้? และหากมีหญิงสาวให้ความหวัง จะมีชายสักกี่คนที่จะสามารถทนได้ ?
  นอกจาก… ชายหนุ่มผู้นั้น
  ครั้นหวนคิดถึงความเฉยเมยของชายหนุ่มที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้แล้วแววตาของเย่หยิงพลันเคร่งขรึมลง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องเช่นนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ! ไม่มีผู้ใดที่เหมือนฉู่อี้เฟิงเป็นแน่ !”
  เมื่อหลายปีก่อนฉู่อี้เฟิงมาทำงานให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นางเองก็ต้องการเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นนางจึงขอสนทนากับเขา แต่ผู้ใดจะรู้ว่า
  ชายผู้นั้นไม่แม้แต่จะมองหน้านาง
  นางทำได้เพียงมองแผ่นหลังที่เย็นชาของเขา
  ”คุณหนูประสงค์ให้ข้าทำเช่นไร ?”
  ”ชายผู้นี้ต้องมาร่วมงานชุมนุมหมอปรุงยาที่สำนักเวชโอสถของเราจัดขึ้นในครั้งนี้เป็นแน่เช่นนั้น เจ้าต้องหาโอกาสให้ข้าได้พบปะกับเขา หากมีโอกาส ข้าแน่ใจว่าจะสามารถจัดการเขาได้”
  เย่หยิงเชิดปากขึ้นนัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจ ใบหน้าของนางเปล่งประกายฉลาดสดใสแพรวพราว
  *****
  แน่นอนว่าการปรากฏตัวของตี้คังนั้นไป๋หยานย่อมไม่ทราบแน่
  ยามนี้ไป๋หยานกำลังนั่งอยู่ในห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมนางกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเปื้อนที่เลอะบริเวณมุมปากของไป๋เสี่ยวเฉินเบา ๆ
  ”เฉินเอ๋อกินช้า ๆ ก็ได้ไม่มีผู้ใดแย่งเจ้ากินหรอก ดูเจ้าสิมอมแมมเป็นลูกแมวแล้ว”
  ไป๋เสี่ยวเฉินกวาดตาไปมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหยิบเค้กใส่เข้าปาก จากนั้นเขาก็กวาดตาไปมองลูกหมูสีชมพูที่ใช้ลิ้นกวาดเลียจานแผล่บ ๆ พลันเขาก็นิ่งเงียบ
  “หม่ามี้นี่…เหรอที่หม่ามี้บอกว่าไม่มีใครแย่งข้า”
  ชั่วเวลานี้ไป๋หยานรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่ขยับเข้ามาใกล้ ๆ นางย่นคิ้วน้อย ๆ พลางหันหน้าไปมองใบหน้าที่หล่อเหลานั้น
  นัยน์ตาของหนุ่มน้อยใสสะอาดสดใสราวกับน้ำในทะเลสาบ “หยานหยาน ท่านเป็นคนดีจริง ๆ ท่านช่วยข้า ทั้งยังให้ข้ากับหมูของข้ากินอาหารอีกด้วย น่าเสียดายที่ข้าจำไม่ได้ว่าตัวข้าเป็นใคร ข้าจึงไม่สามารถตอบแทนท่านได้”
  ลูกหมูสีชมพูไม่สนใจเจ้านายของมันแล้วมันกวาดกินขนมเค้กแสนอร่อยไปทั่วทั้งโต๊ะอย่างไม่หยุดหย่อน
  ก่อนหน้านี้มันไม่เคยได้ลิ้มรสความอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย ครั้งนี้มันต้องกินให้คุ้ม
  “หรือ”หนุ่มน้อยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างน่ารัก พลางนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ให้เจ้าลูกหมูตอบแทนท่านด้วยเนื้อของมัน เพราะมันกินมากที่สุดนี่ดีหรือไม่ ?”
  ลูกหมูสีชมพูตัวน้อยตกใจมากจนกีบของมันสั่นขนมตกลงพื้นแตกละเอียด
  มันส่งเสียงครวญครางก่อนจะรีบพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหนุ่มน้อย พลางเงยหน้าขึ้นมองนายของมันพร้อมหยาดน้ำตา
  อู๊ดอู๊ดนี่เจ้านายคิดจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ ? ต้องการจะหั่นข้าเป็นชิ้น ๆ ให้ผู้อื่นหรือ ?
  แค่เรื่องกินแค่นี้ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้ครั้งหน้าหมูน้อยจะกินให้น้อยลงนะ ได้มั้ย ?
  เสี่ยวมี่มองไป๋เสี่ยวเฉินทีจากนั้นก็หันมามองลูกหมูสีชมพูผู้น่าสงสารที จากนั้นมันก็หันกลับไปเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยบนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ
  เขาคิดว่านายน้อยเป็นคนที่น่าเกลียดมากที่สุดแล้วไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนที่น่าเกลียดมากกว่า
  ไป๋หยานหัวเราะน้อยๆ นางมองลูกหมูสีชมพูตัวน้อยที่น้ำตาเอ่อคลอ ก่อนจะส่งผ้าเช็ดหน้าให้กับชายหนุ่ม “ข้าไม่กินสัตว์อสูร เจ้าช่วยเช็ดน้ำตาให้มันก่อนเถอะ”
  ”ได้”
  รอยยิ้มของชายหนุ่มนั้นสดใสราวกับแสงตะวันเขาเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้า พร้อมเสียงดังปัง ประตูพลันถูกมือ ๆ หนึ่งผลักเปิดออก
  ***จบบทจะไปไม่ไป (2)***

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท