บทที่ 364 นางยังไม่สารภาพ
ที่ศาลต้าหลี่
กู้หวนเนี่ยนสอบปากคำจูชุนเจียวข้ามคืน
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้สั่งให้คนไปฆ่าครอบครัวสกุลจูนะ ข้าไม่ได้ทำ!” จูชุนเจียวปฏิเสธเสียงแข็ง
“ถึงข้าจะทำผิดเรื่องสวมรอยเป็นบุตรสาวแม่ทัพกู้ แต่ข้าไม่ได้ทำเรื่องนี้!”
แม้ว่าจูเอ้อร์เกินจะถูกตามมาดูการไต่สวน แต่เมื่อเจอหน้าน้องสาวเขาก็พูดไม่ออก
“พี่รองเอ้อร์ท่านเป็นญาติข้า หากข้าคิดจะฆ่าท่านและท่านพ่อ ท่านแม่ รวมถึงพี่สะใภ้ ข้าขอสาบานให้ฟ้าดินลงโทษข้า! พี่รองท่านจะตัดสินข้าด้วยคำพูดของคนๆ หนึ่งหรือ หากคนผู้นั้นใส่ร้ายข้าเล่า?”
“ท่านเห็นข้าสั่งเขาหรือ? ข้าไม่ใช่น้องสาวของท่านหรืออย่างไร?”
“ข้าซื้อบ้านให้ท่าน ให้ครอบครัวของข้าได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข แล้วข้าจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นได้อย่างไร?”
เมื่อฟังคำพูดของชุนเจียว จูเอ้อร์เกินก็เริ่มลังเล หรือเขาจะเข้าใจทุกอย่างผิดไป
นางไม่ได้เป็นคนสั่งพวกชายชุดดำให้มาฆ่าพวกเขาทั้งครอบครัว หรือว่าจะมีใครมาแอบอ้างเป็นเจียวเจียว? จูเอ้อร์เกินเริ่มลังเลกับท่าทีที่จริงใจของจูชุนเจียว ทว่ากู้หวนเนี่ยนนั้นไม่ได้โง่เหมือนจูเอ้อร์เกิน ดวงตาของเขาลอบสังเกตจูชุนเจียวทุกการแสดงออกของนาง
เขารู้สึกว่าจูชุนเจียวโกหก จิตใจและความกล้าได้กล้าเสียของนางนั้นยากจะหยั่งถึง กู้หวนเนี่ยนสอบปากคำพบเจอกับอาชญากรหรือผู้ต้องสงสัยมามากมายแต่จูชุนเจียวปากแข็งมากกว่าคนเหล่านั้น กู้หวนเนี่ยนระงับการสอบปากคำจูชุนเจียวไว้ สั่งให้เจ้าหน้าที่คอยลอบสังเกตนาง เผื่อจะมีข้อมูลที่มีประโยชน์หลุดออกมา
….
วังรุ่ยอ๋อง
หลังจากที่จ้าวชูกลับมาจากจวนของแม่ทัพกู้ เขาขังตัวเองไว้ในห้องไม่ยอมพบหน้าใคร
วันนี้คือวันที่น่าอับอายที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา!
เดิมทีเขาคิดว่ามันจะเป็นวันดีๆ ในชีวิตของเขา แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นเรื่องตลก ผู้หญิงชั้นต่ำอย่างจูชุนเจียวหลอกลวงเขาอย่างน่าสมเพช จ้าวชูพังข้าวของทุกอย่างในห้องนอนด้วยความโกรธ
บรรยากาศในวังรุ่ยอ๋องหนาวเหน็บ ที่ด้านนอกประตูมีชายวัยกลางคนกำลังเดินไปเดินมา เขาคือขุนนางเจ้ากระทรวงชื่อหวังหมิ่นไฉ่ เป็นท่านลุงของจ้าวชู
พระสนมหวังกุ้ยเฟยมารดาของจ้าวชูถือกำเนิดขึ้นในสกุลหวัง บรรพบุรุษของเขาล้วนแต่เป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงในอดีต แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลูกหลานไร้ความสามารถสกุลจึงค่อยๆ ตกต่ำลง ท้ายสุดแล้วยังโชคดีที่ท่านราชครูคนปัจจุบันมาจากสกุลหวัง บุตรสาวของสกุลหวังจึงได้เข้าถวายตัวและกลายเป็นพระสนมกุ้ยเฟย
ปัจจุบันหวังหมิงไฉ่เป็นกระดูกสันหลังของสกุลหวัง แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ตามที แต่ด้วยอำนาจในมือที่น้อยนิดทำให้เขาไม่สามารถลืมตาอ้าปากในสภาขุนนางได้มากนัก
ด้วยสกุลเดิมทางฝั่งมารดาอ่อนแอ จ้าวชูจึงได้กระตือรือล้นที่จะหาพันธมิตรเพื่อมาต่อสู้กับฝั่งสกุลเดิมขององค์ชายหกซึ่งมีอำนาจทางทหาร
จ้าวชูเป็นความหวังของตระกูล หากหลานชายของเขาได้กลายเป็นฮ่องเต้ อำนาจของสกุลหวังจะเพิ่มมากขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องเกี่ยวดองกับจวนแม่ทัพ…
หวังหมิ่นไฉ่รีบเข้าวังเพื่อพบกับพระสนมกุ้ยเฟย เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระสนมกุ้ยเฟยสั่งให้เขาเกลี้ยกล่อมจ้าวชูให้ดี แต่ตอนนี้จ้าวชูเต็มไปด้วยโทสะทำให้เขาหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะเข้าไปข้างใน หวังหมิงไฉ่จึงได้แต่เดินวนไปเวียนมาจนกระทั่งเสียงดังโครมครามในห้องเงียบหายไป เขาจึงได้เคาะประตู เมื่อประตูถูกเปิดออกจึงเห็นว่าผมของจ้าวชูยุ่งเหยิง ดวงตาของเขาแดงก่ำและใบหน้ายังเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ถวายความเคารพ องค์ชายสาม…” หวังหมิ่นไฉ่ทำความเคารพ ในขณะที่จ้าวชูยังนิ่งเฉย
“องค์ชาย พระสนมกุ้ยเฟยมีรับสั่งบางอย่างฝากมาให้ท่านพะย่ะค่ะ” หวังหมิ่นไฉ่พูดต่อ
จ้าวชูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับความวิตกกังวลรวมทั้งความโกรธที่มีลงไป
“ท่านลุงรอสักครู่ ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” จ้าวชูกล่าว
จ้าวชูเรียกคนสนิทของเขาเข้ามาทำความสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงทรุดตัวนั่งตรงข้ามกับหวังหมิ่นไฉ่
“ท่านแม่มีรับสั่งอันใดหรือ?” จ้าวชูถาม
“กุ้ยเฟยรับสั่งว่าแม้เรื่องราวต่างๆ ในวันนี้จะไม่เป็นไปดั่งใจที่วาดหวัง แต่ก็นับได้ว่ายังมีด้านดีเหลืออยู่”
“มีด้านดีเหลืออยู่ด้วยหรือ?” จ้าวชูหัวเราะเยาะ
“พระนางรับสั่งว่าถึงแม้กู้อิ๋นจะไม่ใช่บุตรสาวของสกุลกู้ แต่นางเป็นคนที่ผูกพันใกล้ชิดกับแพทย์ที่ถวายงานของฮ่องเต้” หวังหมิ่นไฉ่กล่าว
จ้าวชูคิดตามอย่างรอบคอบ เขารู้สึกรังเกียจหญิงชั้นต่ำอย่างจูชุนเจียวที่ชั่วร้ายและเสแสร้ง แต่อย่างไรก็ตามนางก็ใช่จะว่าไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เพราะจูชุนเจียวคือคนที่พาหมอมารักษาเสด็จพ่อของเขา
“ทั้งนี้ล้วนแล้วแต่เสด็จพ่อจะทรงวินิจฉัย” จ้าวชูกล่าว
“พระสนมกุ้ยเฟยขอให้องค์ชายสงบสติอารมณ์ วางใจให้หนักแน่น หากมีความคืบหน้าพระนางจะส่งข่าวมาให้ท่านอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวชูพยักหน้ารับ
หลังจากที่ถังหลี่แต่งงานไป เขามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับจูชุนเจียว หากนางยังมีประโยชน์สำหรับเขา เขาจำเป็นจะต้องปกป้องนางเอาไว้ แต่ถ้าหากวันใดนางไร้ประโยชน์สำหรับเขาแล้ว เขาจะทำให้นางตายอย่างทรมาน!
“จูชุนเจียวอยู่ที่ศาลต้าหลี่…” จ้าวชูครุ่นคิด
ศาลต้าหลี่อยู่ในภายใต้การดูแลของกู้หวนเนี่ยน หากเขาจะเข้าไปหาจูชวนเจียวด้วยตัวเองย่อมเป็นเรื่องยากเพราะความเคร่งครัด ตรงไปตรงมาของกู้หวนเนี่ยน แต่อย่างไรก็ตามต้องลองส่งจดหมายไปก่อน กู้หวนเนี่ยนผู้นี้มีความซับซ้อนไม่มีใครสามารถอ่านใจเขาออกได้
….
คืนนั้นในห้องขังของศาลต้าหลี่
จูชุนเจียวนอนคุดคู้อยู่บนเตียงไม้ นางนอนไม่หลับทั้งคืน ตอนนี้นางพอมีสติที่จะรับมือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันแล้ว นางจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้อย่างแน่นอน นางเคยได้รับการสนับสนุนจากสกุลกู้มาตลอด แต่ตอนนี้มีกลับมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกู้หวนเนี่ยน เขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันอย่างสิ้นเชิง
เขาสอบปากคำนางอย่างเลือดเย็นและเหี้ยมโหด
นางเกลียดถังหลี่ กู้หวนเนี่ยนและผู้คนสกุลกู้ทั้งหมด! หากนางได้ปล่อยตัวออกไปนางจะแก้แค้น
ส่วนจ้าวชู…
ในขณะที่นางกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา นางได้สติ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวังขึ้นมาทันที
เป็นผู้คุมที่เดินเข้ามาโยนของบางอย่างให้นางก่อนจะเดินจากไป
จูชุนเจียวนอนนิ่งไม่ขยับอยู่สักครู่ นางค่อยๆ หยิบของสิ่งนั้นขึ้นมา เป็นจดหมายที่ไม่ลงชื่อ นางเปิดอ่านภายใต้แสงจันทร์ จูชุนเจียวจดจำลายมือนี้ได้ว่าเป็นลายมือของจ้าวชู!
เขาส่งจดหมายอะไรมาให้นาง?
จูชุนเจียวอ่านจดหมาย จ้าวชูพร่ำบอกความในใจของเขาว่า ต่อให้นางจะเป็นใครก็ตามเขาก็ยังจะรักนาง ขอให้นางอย่าได้กลัว เขาจะหาวิธีช่วยเหลือนางเอง อาจจะเพราะอยู่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอกทั้งเลวร้ายและอ้างว้าง เกราะป้องกันภายในใจของจูชุนเจียวจึงถูกทำลายลงทันที นางไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชูจะรักนางจริงๆ
เขาคือองค์ชาย ความรักที่เปราะบางที่สุดคือความรักของผู้คนในราชนิกุล คนเหล่านั้นจะทุ่มเทความรักจนหมดหัวใจให้ใครคนใดคนหนึ่งได้อย่างไร?
จูชุนเจียวนอนอยู่บนเตียงไม้แข็งๆ โดยมีจดหมายแนบใกล้ที่หน้าอก หัวใจของนางเต้นกระหน่ำ ดูเหมือนนางจะรักจ้าวชูเข้าแล้วจริงๆ