บทที่ 380 ถังหลี่โกรธนายท่านไป๋
ถังหลี่เดินตามลุงฝูเข้าไปข้างใน
“นายน้อยขังตัวเองอยู่แต่ในห้องทั้งวันไม่กินหรือดื่มอะไรเลยขอรับ”
“เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายหรือ?”
“วันนี้ของทุกปีนายน้อยมักจะเก็บตัวขังตัวเองอยู่แต่ในห้องไม่กินหรือดื่มอะไรเช่นนี้ทุกปีขอรับ” ลุงฝูตอบ “พรุ่งนี้ท่านก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่บ่าวเห็นนายน้อยทำร้ายตนเองเช่นนี้ทุกปี บ่าวเศร้าใจเหลือเกิน”
“ทำไม พี่ชายถึงต้องขังตนเองด้วยเล่าท่านลุงฝู”
“เพราะวันนี้เป็นวันที่มารดาท่านเสียชีวิตขอรับ” พ่อบ้านฝูตอบ
วันนี้เป็นวันเสียชีวิตของมารดาพี่ชายหรือ?
ถังหลี่ยังคงแปลกใจไม่หาย “เราควรจะต้องไปทำพิธีรำลึกถึงผู้วายชนม์ไม่ใช่หรือ?”
“นายน้อยมีเหตุผลเป็นของตัวเอง เพียงแต่บ่าวไม่อาจพูดได้ หากนายน้อยอาจจะเปิดใจเล่าให้คุณหนูฟังบ้างก็เป็นได้ขอรับ” พ่อบ้านฝูพูดกับถังหลี่ นายน้อยมีปมใหญ่อยู่ในหัวใจของเขา หากวันใดที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ได้ย่อมหมายถึงวันนั้นเขาได้ข้ามอุปสรรคที่เกิดขึ้นในใจของเขาไปได้แล้ว
ถังหลี่จึงไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก
ทั้งสองคนเดินตรงไปยังเรือนที่ไป๋มู่หยางอยู่ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินน้ำเสียงโมโหฉุนเฉียวของใครบางคนขึ้นมา
“มู่หยาง! เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว มารดาของเจ้าเป็นห่วงเรื่องคู่ครองของเจ้ามาโดยตลอด นางมองหาหญิงสาวที่เหมาะสมให้กับเจ้า ตอนนี้เจอหญิงสาวผู้นั้นแล้ว เจ้าออกไปดูตัวหญิงผู้นั้นกับบิดาเถอะ!”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นญาติข้างมารดาของเจ้า นางรู้จักผู้หญิงคนนั้นดี เจ้าเปิดประตูออกมาพูดคุยกัน”
“ไป๋มู่หยาง! เปิดประตูออกมานะ เจ้ายังเห็นข้าเป็นบิดาอยู่หรือไม่! ทำไมไม่เปิดประตู!”
“ปีกเจ้ากล้าแข็งแล้วใช่ไหม? ถึงได้ไม่สนใจข้า!”
“ข้ายังไม่ตายนะ เจ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของข้า!” ยิ่งชายผู้นั้นพูด เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ตอนแรกเขาแค่เคาะประตู หากแต่ตอนนี้เขาโมโหจนต้องถึงกับเตะประตูอย่างแรง
แต่แล้วเขาก็ต้องเจ็บขาเอง เขาก้มลงจับเท้าด้วยใบหน้าบึ้งตึงเพราะความเจ็บปวด
“พวกเจ้ามาช่วยกันเปิดประตูให้ข้าที” คนรับใช้หลายคนพากันมาระดมเคาะประตู ในตอนนั้นเองที่พ่อบ้านฝูและถังหลี่ได้เดินมาถึงพอดี
“นายท่าน อย่าเพิ่งรบกวนนายน้อยเลยขอรับ นายน้อยอารมณ์ไม่ค่อยดี เขาไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำสั่งของนายท่าน…”
“เจ้าบ่าวเฒ่า เจ้ากล้ามาห้ามข้าหรือ?”
ว่าแล้วเขาก็ผลักพ่อบ้านฝูจนเขาเกือบล้มลงกับพื้น ดีที่มีถังหลี่ช่วยประคองเอาไว้ได้ทัน
“นายท่านไป๋ ท่านช่างใจดีและเป็นห่วงพี่ไป๋จริงๆ” คำพูดของนายท่านไป๋ที่ถังหลี่ได้ยินเมื่อครู่ทำให้นางพอเดาออกได้ว่านายท่านไป๋ผู้นี้ต้องการจะทำอะไร เมื่อมองดูสารรูปของนายท่านไป๋แล้วก็พอจะอนุมานได้ว่าเขาเป็นคนขี้โกงผู้หนึ่ง
“เจ้าเป็นใคร?” นายท่านไป๋มองถังหลี่
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ว่าแต่ท่านมีใจกรุณาต่อพี่ไป๋จริงหรือ?” ถังหลี่พูดประชด
“หากข้าจำไม่ผิด เดิมทีฮูหยินติงก็เป็นเพียงแค่ลูกสาวคนขายเต้าหู้ไม่ใช่หรือ? บุตรสาวของพี่ชายนางก็คงเหมือนนางเป็นลูกหลานคนขายเต้าหู้เช่นกัน หากจับคู่กับพี่ใหญ่ตระกูลไป๋ด้วยแล้วคงสมกันราวกับสวรรค์สรรสร้างสินะ” ถังหลี่พูดจาถากถาง ว่ากันตามตรงนางไม่เคยมีใจคิดดูถูกพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กๆ นางเองก็มาจากยุคปัจจุบัน นางไม่เคยดูหมิ่นดูถูกใคร แต่นางกลับดูถูกนางติง ผู้หญิงชั่วร้ายเช่นนั้นไม่น่าจะมาจากตระกูลดิบดีอะไร
นางติงต้องการให้บุตรสาวของน้องชายแต่งงานกับไป๋มู่หยาง เพื่อตระกูลติง
“แต่จะว่าไปแล้ว สาวงามเต้าหู้ผู้นั้นทั้งนิสัยอ่อนโยนและมีคุณธรรมดีกว่าท่านอาของนางมากนัก ท่านอาของนางยังต้องซ่อนตัวอยู่เรือนนอกถึงสองสามปีทีเดียวกว่าจะได้เข้าประตูสกุลไป๋ ใครใช้ให้พี่ไป๋เป็นคนมีเหตุผลถึงเพียงนี้เล่า?” ถังหลี่ยังคงเสียดสีต่อ
“เจ้า…เจ้า..” นายท่านไป๋จ้องนาง เขาโกรธแทบตาย ไม่เคยมีผู้ใดกล่าววาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้กับเขามาก่อนเลย ถังหลี่มองเขาที่กำลังโกรธจัดจนแทบจะหมดสติอย่างไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย
นายผู้เฒ่าไป๋ผู้นี้โกหกหลอกลวงมารดาของพี่ชายของนางมาตลอด เขาเสแสร้งทำเป็นรักใคร่ไยดีต่อนาง แต่แท้จริงแล้วกลับหวังในทรัพย์สินของสกุลไป๋
หลังจากภรรยาของเขาฆ่าตัวตาย เขาก็ไม่รีรอที่จะอุ้มนางติงเข้าจวนสกุลไป๋ทันที
หากเขามีความเป็นบิดาอยู่บ้าง เขาน่าจะเป็นห่วงและคิดถึงไป๋มู่หยาง นางติงให้ยาพิษกับไป่มู่หยางมานานหลายปีโดยที่เขาไม่รู้ไม่เฉลียวใจเลยได้อย่างไร
วันนี้เป็นวันครบรอบการตายของมารดาไป๋มู่หยาง แต่นายท่านไป๋ยังมาเคาะประตูเรียกเขาอยู่เช่นนี้ เห็นได้ว่าเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันอะไร เขาคงลืมไปแล้ว
ถังหลี่ไม่สนใจว่าเขาจะโกรธนางขนาดไหน คนเนรคุณ ขี้โกง ไร้คุณธรรมขาดความรับผิดชอบเช่นนี้อยากโกรธก็โกรธไปเถอะ
“เจ้าเป็นใคร มาพูดจาเช่นนี้ในบ้านของข้าได้อย่างไร ใครก็ได้มาลากนังเด็กปากร้ายผู้นี้ไปให้ข้าที!”
“นายท่านไป๋ สตรีผู้นี้เป็นบุตรสาวท่านแม่ทัพกู้ ลากนางออกไปเช่นนี้จะไม่เป็นการดูถูกจวนตระกูลกู้หรือขอรับ?” ท่านลุงฝูพูดขัดจังหวะออกมา
“กู้…บุตรสาวท่านแม่ทัพกู้หรือ?” นายท่านไป๋เกิดอาการลังเล บุตรสาวตัวจริงตัวปลอมของแม่ทัพกู้เป็นเรื่องราวโด่งดังโจษจันกันไปทั่งเมืองหลวง มีหรือนายท่านไป๋จะไม่เคยได้ยิน เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าสกุลกู้รักใคร่โปรดปรานบุตรสาวผู้นี้มาก เขาย่อมไม่กล้าล่วงเกินบุตรสาวของจวนสกุลกู้อย่างแน่นอน
นายท่านไป๋มองถังหลี่ เขาเปลี่ยนสีหน้าทันที รอยยิ้มประจบผุดขึ้นบนใบหน้าอ้วนๆ ของเขา “โอ้! นี่เป็นคุณหนูกู้หรอกหรือ? ช่างดูกล้าหาญ ตรงไปตรงมาดีเหลือเกิน สมกับเป็นบุตรสาวตระกูลแม่ทัพจริงๆ”
ถังหลี่มองสีหน้าเขาที่เปลี่ยนไปในพริบตา เขาช่างเป็นปรมาจารย์แห่งการเสแสร้งจริงๆ
แม้ว่าใบหน้าเขาจะอ้วนท้วนอุดมไปด้วยไขมัน แต่ถ้าหากดูดีๆ แล้วจะเห็นได้ว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี ทั้งยังรู้จักพูดจาไพเราะอ่อนหวาน ด้วยหนังหน้าและปากหวานเช่นนี้เขาจึงหลอกล่อมารดาของไป๋มู่หยางให้ตายใจได้อย่างง่ายดาย
ถังหลี่ยิ้มรับ “ขอบคุณสำหรับคำชมของนายท่านไป๋” เขาหัวเราะตอบอย่างยินดี
“นายท่านไป๋ ท่านช่วยออกไปก่อนได้หรือไม่? ท่านส่งเสียงดังเกินไป” ถังหลี่พูดอย่างรังเกียจ
“ได้ๆ ข้าขอตัวก่อน” นายท่านไป๋รีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยบ่าวรับใช้ที่เขาพามา
ถังหลี่เดินเคาะประตูที่ิปิดอยู่
“พี่ชาย ข้าเองถังหลี่” ลุงฝูเฝ้าดูอยู่อย่างใจจดจ่อที่ด้านข้าง เขาหวังว่าถังหลี่จะเกลี้ยกล่อมนายน้อยให้เปิดประตูและออกมากินข้าวหรือดื่มน้ำได้บ้าง
“พี่ชาย หากท่านไม่เปิดประตู ข้าจะยืนเฝ้าอยู่ที่นี่ล่ะ”ถังหลี่ขู่เขา
ไม่นานนักไป๋มู่หยางก็เปิดประตูออกมา เขาสวมชุดขาวมัดผมไว้ ใบหน้าหน้าหล่อเหลาซีดเซียว พ่อบ้านฝูขยิบตาให้ถังหลี่เพื่อที่นางจะเกลี้ยกล่อมเขา หญิงสาวพยักหน้า เขาหวังว่านายน้อยจะฟังถังหลี่เพื่อจะได้แก้ปมในใจของเขาได้
“พี่ชาย ข้างนอกมีแดด ท่านออกมานั่งรับแดดข้างนอกเถอะ ในห้องเย็นเกินไป”
ไป๋มู่หยางจึงได้ก้าวออกมา พอออกมาข้างนอกแดดจะอุ่นหน่อย มีเก้าอี้ตั้งอยู่ที่หน้าประตู ถังหลี่จึงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น ไป๋มู่หยางยังคงยืนอยู่ ทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา ไม่นานนักไป๋มู่หยางจึงเอ่ยออกมาว่า
“ข้าสบายดีไม่ได้เป็นอะไร?”
จะสบายดีได้อย่างไร ถ้าไม่ยอมกินไม่ยอมดื่มเช่นนี้ แม้เขาจะไม่พูดหากถังหลี่ก็พอจะเดาได้ว่าไป๋มู่หยางซ่อนปมอะไรเอาไว้ในใจของเขา