บทที่ 382 เขาต้องการล้างแค้นให้กู้อิ๋น
นางติงครุ่นคิด รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไป นางขมวดคิ้ว
“ซวี่หยาง…ข้าต้องไปหาเขา”
นางติงเดินไปที่เรือนของบุตรชาย ประตูห้องนอนของเขาเปิดแง้มอยู่ เมื่อเดินเข้าไปมีแต่กลิ่นสุราโชยออกมา
นางเกิดโทสะผลักประตูออกเปิดกว้าง เห็นขวดสุราเกลื่อนระเนระนาดอยู่ที่พื้น ชายผู้หนึ่งนอนอยู่ด้วยสภาพที่เมามาย เขาคือไป๋ซวี่หยาง บุตรชายของนาง
นับตั้งแต่วันที่กู้อิ๋นโดนประหารชีวิต บุตรชายของนางก็ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้มานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
เป็นเพราะหญิงไร้ประโยชน์ผู้นั้น
“กู้อิ๋นมีดีอะไร? นางสมควรได้รับผลที่นางทำลงไป แล้วดูเจ้าสิ! มันคุ้มหรือไม่ที่ทำตัวเช่นนี้?” นางติงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ไป๋ซวี่หยางมองใบหน้ามารดาด้วยดวงตาที่แดงช้ำ
“อย่าพูดถึงนางเช่นนั้น!”
“ในสายตาของเจ้า นางสำคัญกว่าข้าซึ่งเป็นมารดาของเจ้าอีกหรือ?”
ไป่มู่หยางไม่ตอบ นางติงแทบจะโกรธจนอกแตกตาย นางเดินไปหาบุตรชายพยายามดึงเขาขึ้นมา
“ไป๋ซวี่หยางลุกขึ้น!”
เขาปัดมือมารดาออก ทำให้นางติงโกรธมากขึ้น นางสะบัดมือตบหน้าของบุตรชายทันที เพี้ยะ!
นางตบใบหน้าเขาถึงสองครั้ง ไป๋ซวี่หยางแก้มแดงเป็นรอยฝ่ามือของมารดา เขามองนางติงด้วยแววตาไร้ซึ่งความแยแสและปราศจากอารมณ์ใดๆ ทำให้นางติงรู้สึกปวดใจ
“ซวี่หยาง เจ้าอย่ามองแม่เช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทำลงไปก็เพื่อเจ้าทั้งสิ้น แม่เองก็เหน็ดเหนื่อยเช่นกัน หากเจ้าทำตัวเหลวไหลจะมาเป็นแขนขาช่วยแม่ได้หรือ?”
“ท่านทำเพื่อตัวของท่านเองกระมัง” ไป๋ซวี่หยางพูดอย่างเย้ยหยัน
มารดาพร่ำแต่พูดว่าทำเพื่อเขามาตั้งแต่เขายังเล็ก แต่แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นการตอบสนองความทะเยอทะยานของนางเท่านั้น นางใช้เขาเป็นเครื่องมือ เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ของตนเอง
ในยามที่พวกเขาสองแม่ลูกยังอาศัยอยู่นอกจวน นางให้เขาใส่เสื้อผ้าชั้นเดียวยืนตากลมหนาวในวันที่หนาวจัดเพื่อให้ท่านพ่อมาหาพวกเขา
อาอิ๋นเป็นคนเดียวในโลกใบนี้ที่เข้าใจความรู้สึกและเป็นห่วงเขา อาอิ๋นเป็นคนสำคัญที่สุดของเขา เขาเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ไม่สามารถช่วยเหลือนางได้ หลังจากกู้อิ๋นตายไป เขารู้สึกไร้จุดหมาย ไร้ความทะเยอทะยานใดๆ
“เจ้าตั้งใจเอ่ยเช่นนี้เพื่อให้แม่เสียใจหรือ?” นางติงตาแดงระเรื่อ
“ท่านต้องเสแสร้งขนาดนี้เชียวหรือ?” ไป๋ซวี่หยางยังคงเยาะเย้ยต่อ
นางติงกัดริมฝีปากระงับอารมณ์โกรธ
เขาเป็นบุตรชายที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือน กว่าจะเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่เช่นนี้ นางลงแรงไปมากมายเพื่อจะยึดทรัพย์สินจากสกุลไป๋มาให้เขา ทั้งหมดที่นางทำลงไปไม่ใช่เพื่อบุตรชายของนางผู้นี้หรือ?
เจ้าหมาป่าตาขาวช่างไม่เข้าใจเจตนาที่ดีของนางเลย!
ช่างเถิด! นางคาดเอาไว้แล้ว ไม่มีใครที่นางจะพึ่งพาได้ แม้แต่บุตรชายของนางก็ตาม สุดท้ายก็ได้แต่พึ่งพาตนเองเท่านั้น
“ซวี่หยางเจ้าไม่ต้องการล้างแค้นให้กู้อิ๋นหรอกหรือ?” นางติงพูดขึ้นมา ไป๋ซวี่หยางกะพริบตา
“หากไม่ใช่เป็นเพราะถังหลี่ กู้อิ๋นจะเป็นเช่นนี้หรือ?” นางติงพูด
“หากถังหลี่ไม่มาที่เมืองหลวงเพื่อตามหาบิดามารดาของนาง กู้อิ๋นคงจะไม่ถูกเปิดโปงไม่ใช่หรือ?”
ใช่แล้ว! หากถังหลี่ไม่ได้มาที่เมืองหลวงอาอิ๋นคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! รวมถึงสกุลกู้! อาอิ๋นเป็นบุตรสาวของพวกเขามาหกปีแล้ว แต่สกุลกู้กลับไม่สนใจเรื่องนี้เลย! พวกเขาต่างหันหน้าหนีไม่ให้ความช่วยเหลืออาอิ๋นเลย
ดวงตาของไป๋ซวี่หยางทอประกายด้วยความเกลียดชัง
อาอิ๋นจากไปแล้ว มีแต่แรงแค้นเท่านั้นที่จะเป็นพลังทำให้เขามีเป้าหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“จวนแม่ทัพมีอำนาจประหนึ่งดวงอาทิตย์ พวกเราเป็นแค่มดปลวกจะไปเขย่าต้นไม้ใหญ่ได้อย่างไร?”
“ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมผันแปรเปลี่ยนไปได้ แม้จะต้องใช้เวลานานสักเพียงไหน ข้าจะค่อยๆ วางแผน”
“ใช่แล้ว เราต้องแย่งชิงตำแหน่งของผู้นำสกุลไป๋มาให้ได้ก่อน ซวี่หยาง…ถังหลี่สนิทกับไป๋มู่หยางมากเลยทีเดียว”
“สกุลไป๋ต้องเป็นของข้า”
“เอาล่ะ! เจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ” ไป๋ซวี่หยางลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า นางติงเรียกบ่าวมาเตรียมน้ำให้เขาอาบ เมื่อไป๋ซวี่หยางอาบน้ำสวมเสื้อผ้าสะอาดออกมา เขากลายเป็นหนุ่มหล่อเหลาเช่นเดิม ทว่าสีหน้ากลับมืดครึ้มดูน่ากลัว
“ลูกเอ๋ย เจ้าไปพักผ่อนนอนหลับให้สบายเถิด”
ไป๋ซวี่หยางหันหลังกลับเข้าไปในห้องนอนทันที นางติงจึงได้เดินออกจากห้องของเขาไป
“ฮูหยิน” ร่างอ้วนท้วมวิ่งเข้ามาหานางติง เมื่อนางติงได้ยินเสียง ใบหน้าของนางมีแฝงแววรังเกียจ ทว่าเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นมาแทน
“ท่านพี่” นางติงเรียก
นายท่านไป๋โอบแขนรอบตัวภรรยา
“ข้าไปหาเจ้าที่เรือน บ่าวรายงานว่าเจ้าไปหาซวี่หยางหรือ?” นายท่านไป๋ถาม
“ซวี่หยางมีความหลงใหลมากเกินไป” นางติงถอนหายใจ
“เขาเหมือนกับข้า…เป็นบุรุษที่หลงใหลสาวงามเช่นกัน” นายท่านไป๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางติงชำเลืองมองสามีอย่างประจบ
“สกุลไป๋ของท่านเต็มไปด้วยบุรุษที่หลงใหลอิสตรี มู่หยาง…”
นางติงเอ่ยชื่อไป๋มู่หยางทำให้สีหน้าของนายท่านไป๋เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
“อย่าพูดถึงเขาเลย!”
“ท่านพี่ มู่หยางไม่ใช่เด็กแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่มารดาของเขา หากเรื่องนี้ไม่เรียบร้อยล่ะก็คนนอกจะมองแม่เลี้ยงอย่างข้า…”
“เจ้าไม่ต้องสนใจว่าคนนอกจะคิดเช่นไร มีเพียงข้ารู้ผู้เดียวก็พอแล้ว” นายท่านไป๋ขัดขึ้นมาเสียก่อน
ทั้งสองคนโน้มตัวเข้าหากันแสดงออกถึงความหวานชื่นตามประสาผู้ที่รักใคร่
……
หลังจากถังหลี่เอ่ยคำลากับไป๋มู่หยางแล้ว นางก็ไปรับซานเป่า
ตอนที่นางเข้าไปยังจวนสกุลไป๋ นางฝากซานเป่าไว้กับบ่าวรับใช้ที่เชื่อถือได้ของจวนสกุลไป๋ ขอให้บ่าวพาซานเป่าไปเล่น เมื่อถังหลี่ไปถึงจึงได้พบเด็กหญิงกำลังขดตัวอยู่บนเก้าอี้ เบื้องหน้าของนางมีขนมวางอยู่เรียงราย สองมือเต็มไปด้วยขนม เด็กหญิงตัวน้อยยัดมขนมเข้าปาก จนแก้มกลมป่องพองปูดราวกับหนูแฮมสเตอร์
“ซานเป่า กลับบ้านกันเถอะ”
ซานเป่าหยิบขนมสองสามกำมือใส่ไปในกระเป๋าก่อนจะวิ่งไปหาถังหลี่ หญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือเล็กๆ ของนางจนสะอาด แล้วจูงมือนางออกไปจากจวนสกุลไป๋
ถังหลี่ไม่ได้กลับไปที่จวนทันทีหากแต่ตรงไปยังสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ที่แห่งนี้เป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงของเมืองหลวง ผู้ที่จะเข้ามาเป็นศิษย์ในกั๋วจื่อเจี้ยนได้นั้น หากไม่ใช่ร่ำรวยสูงศักดิ์ ก็ย่อมเป็นคนที่มีความสามารถมาก
ตอนนี้ยังมีเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งปีก่อนที่จะมีการสอบครั้งใหญ่ ความสัมพันธ์ของตู้ชิงหยู เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยมีความสนิทสนมแน่นแฟ้น เด็กทั้งสองคนเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนอย่างไม่เป็นทางการ ความรู้ที่ตู้ชิงหยูมีนั้นไม่ได้น้อยไปว่าบรรดาอาจารย์ในกั๋วจื่อเจี้ยน แต่ตู้ชิงหยูเลือกที่จะให้เด็กทั้งสองคนได้เข้ามาเรียนยังสำนักนี้ก็เพื่อให้พวกเขามีเพื่อนและได้ผูกมิตรกับผู้อื่นให้มากขึ้น
ถังหลี่เดินไปตลาดจับมือกับซานเป่าไว้
“ฮูหยินอู่” เถ้าแก่ร้านทักทายถังหลี่ด้วยรอยยิ้ม นางมักจะผ่านมาทางนี้เสมอทำให้เขาคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี
“ฮูหยินอู่วันนี้ท่านมาจ่ายเงินหรือ?”
“ของข้าด้วย”
“ข้าด้วย”
ทุกคนหยิบใบรายการค่าสินค้าออกมาทีละใบส่งให้กับถังหลี่ ขอให้นางจ่ายเงินให้ รอยยิ้มของถังหลี่จางลง
นางรับมันมาดูพบว่าเป็นค่าอาหารมีมูลค่าไม่น้อย
เจ้าเด็กตัวเหม็นผู้นี้ช่างรู้วิธีผลาญเงินจริงๆ เดือนหนึ่งเขาผลาญเงินไปถึงหลายสิบตำลึง ถังหลี่ชำระค่าใช้จ่ายให้เถ้าแก่แต่ละร้าน
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นางคว้าเถ้าแก่ที่คุ้นเคยและเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ ถามเขาว่า
“เถ้าแก่หลี่ หยานเสี่ยวตวนอยู่ที่บ้านท่านหรือเปล่า?”