บทที่ 387 การตายของมารดาไป๋มู่หยางมีเงื่อนงำ
“เจ้าไปทำงานเถอะ” เว่ยฉิงกล่าว
“ขอรับนายท่าน” ชายคนนั้นจากไปและเว่ยฉิงยังคงดูรายงานคดีต่อ
สักพักก็มีคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาสวมเครื่องแบบกรมอาญาเอามือไพล่หลัง คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนที่มีท่าทางภูมิฐาน เขาเดินไปหาเว่ยฉิง
“อู่ซื่อหลาง
เมื่อเห็นเขา เว่ยฉิงจึงรีบทักทายด้วยความเคารพ
“ใต้เท้าเจิ้ง”
เจิ้งจู่เหวินตบไหล่ทักทายเขา
“ดูรายงานอยู่หรือ? หนุ่มสาวเต็มไปด้วยพลังจริงๆ”
“ข้าเพิ่งเข้ามาทำงานที่กรมอาญามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังต้องเรียนรู้ ข้าจึงอ่านเพิ่มเติมเพื่อศึกษาขอรับ” เว่ยฉิงกล่าวอย่างถ่อมตัว
“การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี ในฐานะที่ข้ามีประสบการณ์มาก่อนเจ้า ข้าอยากจะเตือนว่าอย่าได้สอดจมูกไปยุ่งในเรื่องของผู้อื่น เมื่อตอนที่ข้ายังอายุน้อย ข้าก็ชอบทำแบบนั้น ไปๆ มาๆ ก็ต้องเดินทางอ้อมเสียหลายครั้ง”
เจิ้งจู่เหวินกล่าวอย่างมีนัย
เว่ยฉิงหลุบตาลง นัยน์ตาของเขาทอประกาย เขาไม่ได้พูดถึงคดีของไป๋มู่หยาง แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะหมายถึงเรื่องนี้
“ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ เรื่องเลวร้ายในบางครั้งอาจทำไปด้วยเจตนาดีก็เป็นได้” เจิ้งจู่เหวินกล่าวต่อ
“ขอบคุณตักเตือนขอรับ” เว่ยฉิงกล่าว
หลังจากที่เจิ้งจู่เหวินรู้สึกว่าได้ต่อว่าไปพอสมควรแล้ว เขาก็จากไป แต่เว่ยฉิงไม่ได้จดจำคำพูดของเขาเอาไว้ในใจเลย
คดีในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับนางติงและไป๋มู่หยางรวมไปถึงความแค้นของสกุลไป๋ เหตุใดเจิ้งจู่เหวินจึงช่วยนางติง? คดีในครั้งนี้มีเงื่อนงำบ้างอย่างที่เกี่ยวข้องกับสกุลไป๋ทำให้เขาต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
หลังจากผ่านไปเกือบวัน เว่ยฉิงก็พบพิรุธในบันทึกคดีคดีหนึ่ง
เป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อสิบสองปีก่อน มีผู้รายงานว่าได้พบเห็นนางกัว ฮูหยินสกุลไป๋ถูกผลักตกบ่อน้ำ การสืบสวนเป็นไปอย่างระมัดระวัง แต่เนื่องมาจากพยานเสียชีวิตและไร้หลักฐานคดีจึงถูกปิดอย่างเร่งรีบ ทำให้สาเหตุการเสียชีวิตมาจากการฆ่าตัวตาย
เว่ยฉิงอ่านรายงานหลายครั้งและยิ่งสงสัยมากขึ้น
คืนนั้น
เว่ยฉิงกลับไปที่จวนสกุลโหวเล่าให้ถังหลี่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้
“จ้าวถิงไม่ได้คาดคิดว่านางติงจะมีอำนาจถึงขนาดให้เจ้าหน้าที่จากกรมอาญายื่นมือมาช่วยนักโทษได้”
ที่นั่นคือกรมอาญา แม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าศาลต้าหลี่ แต่ก็ยังมีอำนาจมากในสายตาของคนทั่วไป เป็นเรื่องปกติที่จ้าวถิงจะส่งมอบนักโทษให้เจ้าหน้าที่กรมอาญาไป
“นางติงและใต้เท้าเจิ้งมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่? เขาถึงได้เต็มใจทำเรื่องนี้เพื่อนาง” ถังหลี่อยากรู้อยากเห็น
“คงต้องลองสืบดู” เว่ยฉิง
“ฮูหยิน วันนี้ข้าพบรายงานน่าสงสัยในบันทึกคดีเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของนางกัวมารดาของเหล่าไป๋ มีพยานพบเห็นว่านางโดนผลักตกบ่อน้ำ แต่ต่อมาพยานที่เห็นเหตุการณ์เสียชีวิตลง คดีจึงปิดไปอย่างมีพิรุธ”
“ผลักตกบ่อน้ำหรือ?” ถังหลี่ถามด้วยความประหลาดใจ
การฆ่าตัวตายของมารดาเป็นปมในใจของไป๋มู่หยางมาตลอด เขาคิดอยู่เสมอว่ามารดาทอดทิ้งเขาไว้ในโลกนี้แต่ผู้เดียว เขาขมขื่นใจและปล่อยวางไม่ได้เมื่อคิดว่ามารดาฆ่าตัวตายเพราะผู้ชายเลวๆคนหนึ่ง นางทิ้งเขาไปอย่างเย็นชา
จู่ๆ ถังหลี่ก็นึกถึงคำพูดของพี่ชาย ในวันที่มารดาของเขาฆ่าตัวตาย นางสวมเสื้อผ้าสะอาด หวีผมเกล้ามวยเรียบร้อย นางน่าจะอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง จู่ๆ นางจะฆ่าตัวตายหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นก็น่าเวทนาเกินไป
นางกัวสามารถมีชีวิตที่ดีต่อไปได้ นางเป็นสตรีที่เข้มแข็ง หากนางได้กำลังใจสักหน่อย ก็จะสามารถเลี้ยงบุตรชายได้อย่างแน่นอน และไป๋มู่หยางก็ไม่ต้องทนทุกข์เช่นนี้
การที่แม่ลูกต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันน่าจะเป็นความผูกพันที่ทำให้เกิดความสุข
แต่ความสุขที่ว่ากลับจบลง
ถังหลี่ไม่มีทางย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีที่แล้วได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรม ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะค้นหาความจริงเพื่อให้คำตอบสำหรับนางกัวและไป๋มู่หยาง
“สามีเราจะสืบหาความจริง”
“อืม” เว่ยฉิงพยักหน้าตกลง
“สามี การสืบสวนคดีเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจะยากเย็นหรือไม่?” ถังหลี่ถาม
“คนที่จัดการคดีนี้ในตอนนั้นคือรองเจ้ากรมอาญาอู๋ เขาไม่ได้ทำงานที่กรมอาญาแล้ว แต่ก็ยังอาศัยอยู่ในเมืองหลวงพรุ่งนี้ข้าจะไปสอบถามคดีกับเขา”
“สามี ข้าจะไปกับท่านด้วย”
วันถัดมา
เว่ยฉิงและถังหลี่มายังประตูบ้านของสกุลอู๋ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกล แต่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน เว่ยฉิงเคาะประตูไม่นานนักประตูจึงเปิดออกโดยหญิงชราผมขาวท่าทางใจดี
“ขอโทษด้วยที่ข้ามารบกวน ไม่ทราบว่าที่นี่คือบ้านของใต้เท้าอู๋หรือไม่?”
เว่ยฉิงถาม หญิงชรากวาดสายตามองพวกเขา สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเมื่อเห็นป้ายสัญลักษณ์กรมอาญาของเว่ยฉิง
“เจ้ามาจากกรมอาญาหรือ?”
“ขอรับ ข้าทำงานในกรมอาญาแซ่อู่” เว่ยฉิงตอบ
“เหตุใดคนของกรมอาญาจึงมาที่นี่? ตาแก่อู๋ของข้าลาออกจากกรมอาญามานานกว่าสิบปี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” หญิงชราพูดทำท่าจะปิดประตู
“นั่นใคร?” ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ผู้อาวุโสอู๋ พวกเรามาจากกรมอาญาข้าอยากจะถามท่านถึงคดีเมื่อสิบปีที่แล้ว” เว่ยฉิงพูดเสียงดัง
“ฮูหยิน เจ้าจะขวางทางพวกเขาไว้ทำไม ปล่อยให้เขาเข้ามาเถอะ” เสียงของผู้อาวุโสอู๋ยังคงพูดต่อ
หญิงชราไม่มีทางเลือกนอกจากหลีกทางให้พวกเขาเข้ามา
ใต้เท้าอู๋ผมหงอกไปครึ่งหัวแล้ว ท่าทางใจดี เขากำลังทำงานไม้ หญิงชราเดินไปข้างๆ เขา
“อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลย สนใจทำงานของตัวเองเถอะ”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าช่วยไปรินชาให้สักสองถ้วยเถอะ” ผู้เฒ่าอู๋พูดขึ้น นางจึงได้เดินหายเข้าไปในบ้าน
ผู้อาวุโสอู๋มองป้ายหยกที่เอวของเว่ยฉิง
“เป็นท่านรองเจ้ากรมนั่นเอง พวกท่านนั่งลงก่อนเถอะ” ถังหลี่และเว่ยฉิงนั่งลง
“ท่านอยากถามเรื่องอะไรหรือ? คดีที่เกิดขึ้นผ่านมาไม่ต่ำกว่าสิบปี ข้าแทบจำอะไรไม่ได้แล้ว” ผู้เฒ่าอู๋ถอนหายใจ
“เมื่อสิบสองปีที่แล้ว ที่นางกัว ฮูหยินสกุลไป๋ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำ” เว่ยฉิงกล่าว
ทันทีที่เว่ยฉิงพูดจบใบหน้าของผู้เฒ่าอู๋เปลี่ยนสี ท่าทางกระอักกระอ่วนใจ
“คดีนี้..” เขามองเว่ยฉิง ริมฝีปากสั่นเทาขึ้นมา
“ท่านต้องการรื้อคดีขึ้นอีกครั้งหรือ?”
“คดีนี้มีข้อน่าสงสัยและข้อพิรุธมากมายแต่พยานกลับเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน”
เมื่อพูดถึงการตายของพยาน ใบหน้าของผู้เฒ่าอู๋เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“บุคคลที่รับผิดชอบคดีนี้ถูกเปลี่ยน ตอนนั้นท่านเป็นคนรับผิดชอบคดี หลังจากนั้นคดีก็ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว”
“ข้าอยากรื้อคดีนี้อีกครั้ง เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อ”
มือของผู้เฒ่าอู๋สั่น เขาไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นบนใบหน้าได้เลย เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าคดีในครั้งนั้นจะถูกรื้อขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“คดีนี้เป็นคดีสุดท้ายของข้า” เหล่าอู๋กล่าว
“เป็นคดีที่ข้าเสียใจที่สุดในชีวิต ต่อให้ข้าต้องลงโลงไปแล้วก็ไม่อาจตายตาหลับได้ เพราะข้าไม่สามารถคืนความยุติธรรมให้แก่เหยื่อได้ ข้าให้สัญญากับพยานแต่ก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่สมควรทำ หากท่านต้องการรื้อฟื้นคดี ข้าเต็มใจจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง”
จากนั้นผู้อาวุโสอู๋จึงได้เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของเขาที่ผ่านมาสิบกว่าปีที่แล้ว
ในคืนวันนั้นมีฝนตก หญิงสาวผู้หนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา