บทที่ 388 ถังหลี่และเว่ยฉิงกับการค้นหาความจริง
ผู้หญิงคนนั้นเป็นสาวใช้ของจวนสกุลไป๋ นางเล่าว่า นางเห็นนางกัวถูกฆ่าด้วยตาของนางเอง เดิมทีนางต้องการแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นางก็ไม่สามารถทนต่อความรู้สึกผิดในหัวใจได้ จึงมารายงานเรื่องนี้กับเขา
“ข้าไม่กล้าไปหาทางการ ข้าเลยมาหาท่าน..”
“ใต้เท้าอู๋ ข้าได้ยินเสียงร่ำลือว่าท่านแก้ไขคดีได้ราวกับเป็นเทพเซียน ข้าเชื่อว่าท่านค้นหาความจริงในเรื่องนี้ได้ ฮูหยิน…ฮูหยินเป็นคนดี นางไม่สมควรตายเช่นนั้น ได้โปรดคืนความเป็นธรรมให้แก่นางด้วย”
“ใต้เท้าอู๋ ท่านปกป้องข้าได้หรือไม่? ข้า…ข้ารู้สึกว่าข้ากำลังตกอยู่ในอันตราย”
ผู้เฒ่าอู๋หลับตาคิดถึงความคาดหวังและหวาดกลัวในดวงตาของสาวใช้ผู้นั้น ในตอนนั้นเขาเป็นรองเจ้ากรมอาญาได้ไขคดีต่างๆ มากมายและเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างไม่น้อย เขาให้สัญญากับนางว่าจะสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด
เขาค่อยๆ สืบคดีทีละขั้นทีละตอนจึงพบกับข้อสงสัยมากมาย ไม่นานนักความจริงก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมา
อยู่มาวันหนึ่งเขาผลักประตูเข้าไปที่บ้านของพยานก็พบว่านางแขวนคอตายอยู่บนขื่อแล้ว เมื่อมองสาวใช้ที่ได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วเขารู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
เขาจำได้ดีว่าตอนนางมาร้องทุกข์ นางขอร้องให้เขาปกป้อง เมื่อเขาตอบตกลงสาวใช้ผู้นั้นก็โล่งใจและเชื่อใจใต้เท้าอู๋มาก เขารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องนางได้ดีพอ
ไม่มีใครฟื้นจากความตายได้ ไม่ว่าเขาจะรู้สึกผิดเพียงใดก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้คือการจับคนร้ายตัวจริงให้เร็วที่สุด
แต่ในตอนนั้นเขาก็เริ่มโดนคุกคาม ใต้เท้าอู๋ถูกระงับไม่ให้สืบสวนต่อ คนในครอบครัวก็ถูกข่มขู่ แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะยามที่เขาหลับตาลง แววตาและความตายของสาวใช้ผู้นั้นยังคอยตามหลอกหลอนเขา
ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของเขาจึงต้องพบเจอกับการข่มขู่คุกคามหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่ภรรยาของเขาก็ไม่พอใจ นางยังคงพูดถึงเรื่องนี้แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานเป็นสิบกว่าปีแล้วก็ตาม
เขายืนกรานที่จะสืบสวนต่อ เมื่อใกล้ความจริงเข้าไปทุกที จู่ๆ ผู้บังคับบัญชาของเขาก็ย้ายคดีไปให้คนอื่น แต่ใต้เท้าอู๋ปฏิเสธที่จะมอบคดีให้ ทำให้เขาโดนไล่ออกจากกรมอาญา
“คนโง่! คดีที่เจ้าทำมันสำคัญกว่าหมวกขุนนางของเจ้าอีกหรือ”
“ตอนนี้เจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้ว หากประนีประนอมยืดหยุ่นสักหน่อย ก็จะได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข”
“เหล่าอู๋เจ้ามันดื้อด้าน!”
ทุกคนรอบตัวของเขาพูดเช่นนั้น ส่วนครอบครัวกลับโล่งใจ ภรรยาของเขาพูดว่า
“ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ อย่างไรเสียในวันหน้าท่านก็ไม่อาจแตะต้องคดีนี้ได้อีกแล้ว อย่าใส่ใจมันเลย”
แต่สำหรับเขา มันคือความรู้สึกผิดชั่วชีวิต
ผู้เฒ่าอู๋ค่อยๆ ถอนตัวออกจากความทรงจำของตัวเองก่อนจะถอนหายใจยาวๆ ในฐานะบิดาและสามี เขาทำให้ครอบครัวของเขาต้องอยู่กับความหวาดกลัวและเสียใจ แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่กรมอาญาเขาไม่ได้ชดใช้ให้กับผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม เขาจึงรู้ว่าเขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้
ชีวิตของเขานั้นเต็มไปด้วยความล้มเหลว เมื่อเขาตายไป ก็จะกลายเป็นวิญญาณที่น่าละอาย เขาถูกความรู้สึกผิดทรมานมาตลอดเป็นเวลาสิบสองปี แต่เขาไม่มีอำนาจที่จะไปรื้อคดีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เขาจึงรู้สึกตื่นเต้น หากคลี่คลายความจริงได้ ความรู้สึกผิดของเขาคงจะลดน้อยลง
“ผู้อาวุโสอู๋ ฆาตกรเป็นใครหรือ?” เว่ยฉิงถาม
“ตอนนั้นหลักฐานยังไม่เพียงพอ” เหล่าอู๋กล่าว
“ผู้อาวุโสพอเดาได้หรือไม่?”
“คดีพวกนี้จะต้องว่าตามกันหลักฐาน การคาดเดาไม่มีประโยชน์อะไร”
“ข้าจะหาหลักฐานทั้งหมดเอง”
“ติงเสี่ยวเหลียน” เหล่าอู๋ชำเลืองมองเว่ยฉิง
ถังหลี่ไม่แปลกใจเลยเพราะคนที่มีแนวโน้มมากที่สุดคือนางติง
“เดิมทีนางติงเป็นเพียงคนขายน้ำเต้าหู้เท่านั้น ภายหลังนางได้แต่งงานกับนายท่านสกุลไป๋และกลายเป็นฮูหยินไป๋ แต่นางมีความสามารถถึงขนาดมีอิทธิพลต่อการเลื่อนตำแหน่งเจ้าพนักงานในกรมอาญาได้อย่างไร?” ถังหลี่ถาม
“ติงเสี่ยวเหลียนกับใต้ท่านเจิ้งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน” ผู้เฒ่าอู๋เอ่ยขึ้นมา
ถ้าหากเป็นแค่สหายจากบ้านเกิดย่อมไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
จากที่สามีของนางเล่าให้ฟังนั้น ใต้เท้าเจิ้งไม่มีทักษะความสามารถอะไรเลย ตำแหน่งเจ้ากรมอาญาที่เขาได้มาเป็นเพราะภรรยาของเขา คนเช่นนี้โลภมากในอำนาจ เขาจะไม่สร้างพยายามปัญหาให้กับตนเอง
“สามี ให้คนไปจับตาดูติงเสี่ยวเหลียนเถอะ” ถังหลี่กล่าว
หากดึงหัวไชเท้าออกมาอาจจะมีโคลนติดออกมาด้วย ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจมีเบาะแสอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา
เว่ยฉิงพยักหน้ารับ
“อย่างไรก็ตาม ช่วงสิบสองปีที่ผ่านมานี้ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในคดี อีกทั้งหลักฐานจำนวนมากก็ได้สูญหายไป การตัดสินให้นางติงเป็นผู้กระทำผิดอาจทำได้ไม่ง่ายนัก” ผู้เฒ่าอู๋พูดขึ้นมา
“ตราบใดที่คดีได้เกิดขึ้น ย่อมมีหลักฐานหลงเหลืออยู่ ข้าจะสืบหาความจริงนั้นเอง” เว่ยฉิงกล่าว
ชายหนุ่มหันไปถามเหล่าอู๋เพิ่มเติมก่อนจะจดบันทึกทุกอย่างและจากไป เมื่อทั้งสองจากไปภรรยาของเขาเข้ามาพยุงให้ชายชราลุกขึ้น
“ตาแก่ เจ้าสร้างปัญหาอีกแล้วนะ” นางอู๋กล่าว
“ฮูหยิน ข้าขอโทษ ข้าทำเจ้าลำบากใจอีกแล้ว” เขามองหน้าภรรยาอย่างสำนึกผิด
“ช่างมันเถอะ ข้าเองก็แก่แล้วใช้ชีวิตมามากเกินพอ หากเรื่องนี้ทำให้เจ้าคลายความกังวลไปได้ก็ทำเถอะ เจ้าจะได้ไม่มีอะไรติดค้างยามที่จากโลกนี้ไป” นางหันไปมองที่ด้านหลังของเว่ยฉิงและถังหลี่ นางหวังว่าคนผู้นี้จะสามารถท้าทายอำนาจและค้นหาความจริงได้ เพื่อที่จะแก้ปมที่มีในใจของสามีของนาง
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเดินออกจากบ้านสกุลอู๋ มีชายชุดดำปรากฏขึ้นที่ด้านนอกจ้องมองไปยังทิศทางที่คนทั้งสองเดินจากไป
…
เว่ยฉิงเริ่มลงมือสืบสวนทันที
เขาไปยังที่จวนสกุลไป๋ก่อน เมื่อนายท่านไป๋ได้ยินว่ามีคนจากกรมอาญามาเขาก็รีบไปต้อนรับทันที
“ใต้เท้า มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามจวนสกุลไป๋ของเราจะให้ความร่วมมือแก่พวกท่านแน่นอน” นายท่านไป๋ถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ข้ากำลังตรวจสอบคดีที่นางกัวถูกผลักตกบ่อน้ำเมื่อสิบสองปีก่อนอีกครั้ง” เว่ยฉิงกล่าว
“ถูกผลัก? ไม่ใช่การฆ่าตัวตายหรือ?” นายท่านไป๋พูดด้วยความประหลาดใจ
“ใต้เท้า นางกัวเป็นบ้าแล้วเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาจึงได้ฆ่าตัวตาย จะมีใครทำร้ายนางได้เล่า?”
เว่ยฉิงมองเขาอย่างเย็นชา จนนายท่านไป๋หุบปากไม่กล้าพูดอะไร
“ข้าจะไปยังเรือนของนางกัว” เว่ยฉิงพูด
นายท่านไป๋ไม่อยากพาชายหนุ่มไป เขาไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นมานานกว่าสิบปีแล้ว แย่จริง! เขาเรียกคนรับใช้ให้มานำทางไปแทน เมื่อเว่ยฉิงคล้อยหลังไปแล้ว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ฮูหยินติงถามด้วยใบหน้าซีดเซียว
“เขาพูดเรื่องไร้สาระ เขาว่ามีคนผลักนางกัวตกบ่อน้ำ” นายท่านไป๋พูดอย่างกระวนกระวายใจ
“น่ารำคาญเสียจริง คนตายไปแล้วก็ปล่อยให้จากไปอย่างสงบไม่ได้”
รื้อคดีของนางกัว? ใบหน้าของนางติงเปลี่ยนสีทันที นายท่านไป๋มองภรรยา เขาพูดเสียงอ่อนโยนลง
“ทำไมหน้าเจ้าซีดเช่นนี้ หนาวหรือ? ลมข้างนอกมันแรงเข้าไปด้านในเถอะ”
ว่าแล้วเขาก็จูงมือนางติงเข้าไปในเรือนทันที เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนเพื่อให้ความอบอุ่น เขาไม่อยากคิดถึงนางกัวเลยแม้แต่น้อย เสี่ยวเหลียนของเขาดีกว่านางมาก ทั้งอ่อนโยน มีน้ำใจ รักและเคารพเขา จะหาภรรยาที่ดีเช่นนี้ได้จากไหนอีก