บทที่ 403 ขอทานกำลังไปหาซานเป่า
ภายในห้องทำงานที่จวนรุ่ยอ๋อง มีคนสองคนอยู่ในนั้น องค์ชายสามจ้าวชูนั่งอยู่ และหวังหมิ่นไฉ่ ผู้เป็นลุงยืนอยู่ข้างจ้าวชู จ้าวชูถือกระดาษรายชื่อของคนที่มาสมัครสอบไว้ในมือ หลังจากอ่านรายชื่อแล้วเขายื่นให้กับท่านลุงของเขา
“ท่านลุงนั่งก่อนเถอะ” จ้าวชูกล่าว
“พะย่ะค่ะ” หวังหมินไฉ่หยิบม้วนกระดาษแล้วนั่งลง
“ท่านคิดอย่างไรกับรายชื่อเหล่านี้” จ้าวชูถาม
ในตอนนี้สามคนที่มีอำนาจในกองทัพคือแม่ทัพกู้ อีกคนคือแม่ทัพเฉา และคนที่สามคืออาขององค์ชายหก อำนาจทางการทหารล้วนตกอยู่ในมือของบุคคลทั้งสาม ดังนั้นการคัดคนเข้าสำนักในครั้งนี้จึงมีความสำคัญมากสำหรับจ้าวชู หากเขาสามารถสร้างแม่ทัพที่แข็งแกร่งได้ก็จะทำให้เขามีอำนาจแข็งแกร่งมากขึ้น
การที่ครั้งนี้ฮ่องเต้ให้โอกาสเขาจ้าวชูต้องรีบคว้ามันไว้
“เด็กสองคนนี้มาจากตระกูลซุนในเล่ออัน บรรพบุรุษของตระกูลซุนนั้นได้ผลิตยอดฝีมือมาหลายคน แม้แต่ตำราเรียนของสำนักวรยุทธ์ในตอนนี้ยังเขียนถึงตระกูลซุนอีกด้วย ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเด็กสองคนนี้เป็นตัวเลือกที่ดี” หวังหมินไฉ่กล่าว จ้าวชูหลับตาครุ่นคิด
เขาจะหาเวลาลงไปตรวจสอบเอง และหวังว่าทั้งสองคนจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
…..
ตอนเย็น ณ จวนอู่โหว
ซานเป่ากำลังงีบอยู่ในห้อง นายท่านอู่นำกรงนกไปแขวนไว้ที่ประตูห้องนอนซานเป่า แล้วเฝ้าดูพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน เมื่อเห็นว่าหลานสาวยังไม่ตื่นเขามีความสุขมาก ดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะสนใจขอทานผู้นั้นเหมือนพบเห็นแมวหมาจรข้างถนน ไม่นานก็จะลืมไปเอง ในขณะที่อู่โหวเยว่กำลังถอนหายใจอย่างโล่งอกประตูก็เปิดออก ศีรษะกลมๆ ของซานเป่าโผล่ออกมา นางขยี้ตามองท่านปู่
“ท่านปู่รอข้าหรือ” น้ำเสียงของเด็กน้อยยังงัวเงียอยู่
“ท่านปู่ไม่ต้องห่วง เราจะรีบไป ไม่ให้ขอทานคนนั้นต้องอดข้าว”
“…..”
อู่โหวเยว่ คิดว่า เขาดูเหมือนห่วงใยขอทานผู้นั้นอยู่หรือ?
ซานเป่าให้บ่าวรับใช้เตรียมอาหารและสุรา ก่อนจะเดินไปยังสถานที่คุ้นเคยพร้อมกับนายท่านอู่ ขอทานคนนั้นยังนั่งอยู่ที่นั่นแต่สภาพของเขาดูน่าสมเพชมากกว่าเดิม
“เกิดอะไรขึ้น ขอทานพวกนั้นทุบตีท่านอีกแล้วหรือ?” ซานเป่ารีบเข้าใป ขอทานลืมตาขึ้นและเหลือบมองนาง
“ยุ่งเรื่องของเจ้าเถอะ”
“เจ็บไหม?” ซานเป่าถาม ดวงตาของขอทานเป็นประกาย
“ไม่เจ็บ”
“พรุ่งนี้ข้าจะเอายามาให้ ท่านกินข้าวก่อนนะ” ซานเป่าพูดก่อนจะยื่นกล่องข้าวให้เขา ขอทานไม่เกรงใจ เขารีบกินทันที ยิ่งไปกว่านั้นยังวิจารณ์รสชาติของอาหารอย่างมากมาย ซานเป่าไม่รอช้า นางจดจำที่เขาพูดเอาไว้อย่างถี่ถ้วน
นายท่านอู่พ่นลมออกมาอย่างโกรธเคืองแต่เขาก็ยังคงอดทนอยู่
“มือของท่านไปโดนอะไรมาหรือ?” ซานเป่าถามในขณะที่ตามองไปยังแขนของเขา
“มันหัก” เขาพูดสบายๆ ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เด็กหญิงขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านกลับบ้านกับข้าไหม ข้ามีหมอที่เก่งมากอยู่ในครอบครัวของข้า ข้าจะช่วยท่านเอง” ซานเป่ามองเขาพูดอย่างหนักแน่น
“เด็กน้อย เจ้าน่ารักกับทุกคนไหม? เจ้ารู้หรือว่าข้าเป็นใคร กลับบ้านไปเถอะ” นายท่านอู่พยักหน้าแรงๆ ในที่สุดขอทานผู้นี้ก็พูดจาน่าเชื่อถือเป็นครั้งแรก
“ข้าทำดีต่อท่านถึงไม่รู้ว่าท่านเป็นใครแต่ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนดี” ใบหน้าของซานเป่าเต็มไปด้วยความจริงใจ
‘กลัวอะไร? เจ้าไม่ใช่คนเลวที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจใช่ไหม?’ มีคนเคยพูดแบบนี้ในความทรงจำของเขา เขาเป็นนักฆ่ามือเปื้อนเลือด แต่กลับมีคนบอกว่าเขาไม่ใช่คนเลว ขอทานหัวเราะเบาๆ
“ท่านลุงหัวเราะ” ซานเป่าเท้าคางมองเขา นางอยากรู้มากว่าหน้าตาภายหนวดเคราของเขานั้นเป็นอย่างไร? ถึงแม้ว่านางจะคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้น แต่ขอทานรีบตีหน้านิ่งไร้อารมณ์เช่นเดิมทันที
“ไปด้วยกันเถอะ”
“ไม่” ขอทานรีบหันหลังให้กับเด็กน้อยทันที
ซานเป่าไม่สนใจเขา นางทิ้งขวดสุราไว้ด้านหลังพร้อมกับกล่องอาหาร
วันถัดมา
ซานเป่ามาที่นี่อีกครั้งอย่างตรงเวลาพร้อมกับอาหาร สุรา และยา ขอทานไม่ได้สนใจยา เขาเปิดกล่องอาหารพบว่ามีเนื้ออยู่ข้างในกล่อง
นี่เป็นคำพูดของเขาเมื่อวานนี้ เด็กหญิงคนนี้จำมันได้ทั้งหมด ขอทานกินข้าวจนอิ่มอย่างมีความสุข
“เจ้ารู้จักศิลปะการต่อสู้ด้วยหรือ?” คราวนี้เป็นขอทานที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ซานเป่ารู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษ นางยืดหลังตรงและตบหน้าอกเล็กๆ ของนาง
“แน่นอน ข้าเก่งมากนะ”
“แสดงให้ข้าดูสักสองกระบวนท่าได้หรือไม่?” เมื่อขอทานพูดจบซานเป่ายืนขึ้นทันที นางตั้งท่าก่อนจะต่อยออกไปและพลิกกระโดดเป็นกระบวนท่ามวยที่ทรงพลังมาก ขอทานถือหินก้อนเล็กๆ ไว้ในมือก่อนจะดีดมันไปโดนใต้เข่าของซานเป่า อึดใจต่อมานางก็ล้มไปที่ถนนอย่างงุนงง
“ยัยหนูเจ้ายังฝึกฝนไม่มากพอ” ขอทานพูดด้วยรอยยิ้ม ซานเป่าลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ท่านแกล้งข้า!”
“แกล้งหรือ? เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับศัตรู หากเคลื่อนไหวเช่นนั้นเจ้าจะถูกเขวี้ยงไปกองที่พื้น” ขอทานกล่าว เมื่อซานเป่าครุ่นคิดนางก็รู้สึกว่าเขาพูดอย่างสมเหตุสมผล
“แล้วข้าจะปรับปรุงได้อย่างไร?” ซานเป่าถามอย่างถ่อมตัว ขอทานจึงแนะนำนางไปเล็กน้อย ก่อนที่นางจะเริ่มฝึกตามที่เขาสอน เด็กหญิงพบว่ามันราบรื่นกว่าเดิมมากและท่วงท่าก็ดูแข็งแกร่งขึ้น
นายท่านอู่ที่ดูเหมือนกำลังหยอกล้อกับนก แต่จริงๆ แล้วเขากำลังเฝ้ามองทั้งสองคนอยู่ เขาหันไปมองขอทานด้วยสายตาที่ล้ำลึกเป็นเวลานาน เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลานสาวของเขาจะค้นพบอะไรบางอย่าง?
ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ หลานเขายังเล็ก อาจจะแค่เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า
หลังจากที่ได้รับคำแนะนำแล้ว ระยะห่างของซานเป่าและขอทานก็เริ่มขยับเข้าไปใกล้กันมากขึ้น
ซานเป่ามองยาที่ถูกโยนทิ้งไว้ที่เท้าอย่างไม่สนใจ นางมองเขาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสงสัย
“ท่านลุง ข้าอยากรู้ เหตุใดท่านจึงไม่ตอบโต้คนเหล่านั้นท่านไม่ยอมรักษาร่างกายด้วยซ้ำ เป็นเพราะอะไร?”
“เพราะชีวิตข้าไม่มีความหมาย” ขอทานกล่าว ซานเป่าได้ยินดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างตกใจ
“เหตุใดถึงไม่มีความหมายเล่า? ข้าอยากมีชีวิตอยู่ ข้าอยากโตกว่านี้และปกป้องท่านแม่ของข้า ข้าจะทำให้ทุกคนยอมรับในตัวข้า!” ขณะที่พูดดวงตาของซานเป่าก็สว่างไสว
“นั่นเป็นเพราะเจ้ามีเป้าหมาย”
หากผู้คนมีความหวังในชีวิตก็ย่อมมีเป้าหมาย หากปราศจากเป้าหมายชีวิตก็ไร้ค่า
“แล้วไม่ดีหรือ ท่านค้นพบเป้าหมายที่จะมีชีวิตหรือไม่?” ซานเปล่ากล่าว ตอนนี้ขอทานไม่อยากคุยกับนางอีกต่อไป
“หนวกหู”
ซานเป่าไม่ถามต่อ นางเก็บกล่องอาหารแล้วบอกลาเขาสองสามคำ ก่อนจะคว้าชายเสื้อของปู่เพื่อเดินกลับไปที่จวน ขอทานเหม่อมองตามไปที่ด้านหลังของนาง
เหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่งั้นหรือ?
เขาส่ายหน้าก่อนจะหลับตานอนต่อ