บทที่ 416 การเผชิญหน้าของถังหลี่และเซี่ยฟางเฟย
วันรุ่งขึ้น
ถังหลี่ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ นางมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลกู้ ตลอดทางมีรถม้าสัญจรไปมาขวักไขว่ หญิงชราคนหนึ่งเดินโซเซอยู่กลางถนน นางไม่รู้ตัวว่ามีรถม้าแล่นมาข้างหลัง ในขณะที่รถม้ากำลังจะพุ่งชนหญิงชราผู้นั้น หญิงสาวคนหนึ่งกระโดดออกมาจากข้างทางผลักหญิงชราออกไป คนขับรถม้ารีบคว้าบังเหียนหยุดม้าได้ทัน หลังจากเสียงโครมครามอึกทึก รถม้าก็หยุดลง
ม่านรถม้าถูกเปิดออกเผยให้เห็นให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของหญิงสาวผู้หนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น!” เซี่ยฟางเฟยถามอย่างเกรี้ยวกราด
“มีผู้หญิงสองคนมาขวางทางรถม้าขอรับคุณหนู” คนขับรถม้ารีบโยนความรับผิดชอบทันที เซี่ยฟางเฟยโมโหมาก นางแทบจะสำลักความโกรธตาย
หญิงสองคนที่ล้มลงกลางถนนผู้หนึ่งเป็นหญิงชราอายุมาก นางดูหวาดกลัวตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเซียวตัวสั่นเทิ้ม หญิงสาวคนหนึ่งที่ล้มลงพร้อมกันลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็นเดินไปช่วยพยุงหญิงชราประคองให้นางขึ้นมา
“ท่านยาย ท่านบาดเจ็บหรือไม่?”
เซี่ยฟางเฟยมองหญิงผู้นั้น ขมวดคิ้ว
ฝางเหมี่ยว?
นางรู้จักหญิงสาวผู้นี้ เดิมทีมารดาของฝางเหมี่ยวเป็นทาสรับใช้ของสกุลเซี่ย เซี่ยฟางเฟยไม่ชอบจึงไล่นางออกไป ลูกสาวของทาสรับใช้อย่างไรเสียก็เป็นแค่คนชั้นต่ำ วันนี้ทาสสุนัขผู้นี้ทำนางเกือบหัวแตก!
“ฝางเหมี่ยวเจ้าทำบ้าอะไร เหตุใดต้องมาขวางรถม้าข้า!” เซี่ยฟางเฟยถามอย่างโกรธเคือง
“รถม้าของเจ้าขับเร็วเกินไปจนเกือบจะชนท่านยายอยู่แล้ว!” ฝางเหมี่ยวอดโมโหไม่ได้ ตัวนางเองก็แทบจะโดนรถม้าชนกระเด็นไปด้วย เซี่ยฟางเฟยยังจะมาโทษว่าเป็นความผิดของนางอีกหรือ?
เซี่ยฟางเฟยเลิกคิ้ว นังขี้ข้ากล้าโต้เถียงข้าหรือ?!
“หากรถม้าของข้าวิ่งเร็ว เหตุใดจึงไม่ชนคนอื่นนอกจากเจ้า!”
“ขาของท่านยายไม่ค่อยดี นางจึงเดินช้า” ฝางเหมี่ยวโต้กลับ
“ถ้าขาไม่ดีก็อย่าออกมาเดินเพ่นพ่านเกะกะขวางทางผู้อื่นสิ!” เซี่ยฟางเฟยกล่าวอย่างหยิ่งยโส
ไม่ต้องออกมาเดินหรือ?
หญิงชราเห็นเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลาย นางรีบพูดประนีประนอมออกมาทันทีเพราะไม่อยากให้มีปัญหา
“สาวน้อย ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก เราไปกันเถอะ” ฝางเหมี่ยวรู้ว่านางไม่สามารถทำให้เซี่ยฟางเฟยหายขุ่นเคืองได้ จึงพยายามระงับความโทสะพร้อมกับประคองหญิงชราทำท่าจะเดินจากไป
“หยุดนะ! เจ้าจะไปทั้งอย่างนี้หรือ?!” เซี่ยฟางเฟยหยุดพวกนางไว้
“เจ้าต้องการอะไรอีก?” ฝางเหมี่ยวพูด
“เป็นเพราะเจ้า หัวข้าจึงโขกกับรถม้า ตอนนี้ยังเวียนหัวอยู่เลย เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า!” เซี่ยฟางเฟยยังไม่หายโมโห นางจ้องไปที่ฝางเหมี่ยว
“สิบตำลึงเป็นอย่างไร? ข้ารู้ว่าอู่จั้วที่ทำงานในศาลต้าหลี่อย่างเจ้าคงหาเงินไม่ได้มากนัก ข้าจึงไม่ได้เรียกค่าเสียหายมากมายอะไร” เซี่ยฟางเฟยขู่กรรโชก
อู่จั้ว?
อู่จั้วเป็นคนชันสูตรศพทำงานกับคนตาย ผู้คนที่ได้ยินต่างขยับถอยห่างออกไปอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่หญิงขราที่ฝางเหมี่ยวได้ช่วยชีวิตเอาไว้ด้วยซ้ำ ฝางเหมี่ยวหลุบตาลง แววตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ช่างเถิด
หลังจากที่นางได้งานทำแล้ว แม้แต่พี่สาวและน้องสาวนางก็ตัดขาด เพื่อนบ้านเองก็ไม่พูดคุยกับด้วย หลายปีมานี้นางได้รับแต่สายตาแปลกๆ ไฉนยังไม่ชินอีก หากเลือกทำงานเช่นนี้ก็ควรเตรียมใจเอาไว้สำหรับการดูถูกเหยียดหยามจากผู้คน
ฝางเหมี่ยวอดทนและเพิกเฉยกับอารมณ์เศร้าหมองของตนเอง แต่กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับความไร้ยางอายของเซี่ยฟางเฟย นางเป็นคุณหนูมีชาติตระกูลนั่งรถม้าที่เกือบจะชนคนเดินถนนแล้วยังจะมีหน้ามาเรียกร้องเช่นนี้ ..น่าไม่อายจริงๆ
ฝางเหมี่ยวไม่อยากสนใจนางอีก หญิงสาวหันหลัง ทำท่าจะเดินจากไป
“หยุดนางไว้!”
บ่าวรับใช้สองคนจากสกุลเซี่ยเดินไปขวางหน้าฝางเหมี่ยว
“ฝางเหมี่ยว หากเจ้าไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าสมควรก้มหัวขอขมาข้า หากข้าพอใจข้าจะยกโทษให้เจ้า” เซี่ยฟางเฟยพูดขึ้น
ฝางเหมี่ยวหน้าแดงด้วยความโกรธ ให้คุกเข่าขอขมาหรือ? ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น!
“เซี่ยฟางเฟยเจ้ากำลังรังแกคนหรือ? แม้ว่าสมองของเจ้าจะย่ำแย่เพียงใด แต่ก็ไม่คุ้มกับเงินสิบตำลึงหรอกนะ”
ทุกคนหันไปมองหาว่าใครเป็นคนพูดช่วยอู่จั้วผู้นี้ แต่แล้วก็ได้เห็นหญิงสาวท่าทางน่าเกรงขาม นางคือถังหลี่นั่นเอง
ถังหลี่นั่งอยู่ในรถม้า นางเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตัวเอง
เมื่อเซี่ยฟางเฟยได้ยินคำว่ารังแกผู้อื่น นางหันไปจ้องถังหลี่ พร้อมที่จะระบายโทสะทั้งหมดไปลงกับหญิงสาวผู้นี้แทน
“ถังหลี่เจ้าหมายความอย่างไร?”
“เจ้าสมองทึบมากเลยหรือ? เจ้าคงไม่เข้าใจที่ข้าพูดว่าเจ้าสมองทึบใช่ไหม อืม…ไม่แปลก เพราะว่าเจ้าสมองทึบเช่นนี้ถึงได้ไม่รู้ความหมาย” ถังหลี่พูดอย่างจริงจัง
ในคำพูดล้วนไม่หยาบคาย หากแต่ทุกคำช่างเสียดแทงหัวใจ
“เจ้า!” เซี่ยฟางเฟยเกลียดคนที่บอกว่านางโง่มากที่สุด นางแทบกระอักเลือด หันไปตะโกนใส่บ่าวเสียงดัง
“พวกเจ้าไปจับตัวนางมาให้ข้า!” บ่าวรับใช้หลายคนรีบไปล้อมถังหลี่ไว้ ทว่านางกลับยืนนิ่งเฉยอย่างไม่กลัวเกรง
“เซี่ยฟางเฟย! นี่เจ้ากล้ารังแกข้ากลางวันแสกๆ หรือ? ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอเช่นนี้ ข้าฟ้องร้องเจ้าได้นะ”
“จะฟ้องข้าหรือ? บิดาของข้าคือขุนนางที่คุมการขนส่งเกลือ!” เซี่ยฟางเฟยกล่าว
ถังหลี่รู้สึกสนุก นางไม่เคยเจอคนโง่เขลาเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังทะลุมิติมาเสียด้วย!
“โอ้ เช่นนั้นข้าจะฟ้องอีกเรื่องว่าเจ้าข่มขู่ข้า หากเจ้าจะแก้ตัวก็ไปแก้ตัวกับผู้พิพากษาศาลต้าหลี่อย่างใต้เท้ากู้เองเถอะ เขาเป็นคนเที่ยงธรรมและเข้มงวดมาก ใต้เท้ากู้ย่อมให้ความเป็นธรรมแก่ข้าได้” ถังหลี่พูดฉะฉาน
เซี่ยฟางเฟยโกรธจนแทบจะอกแตก
ชื่อของบิดานางคงยังไม่เพียงพอที่จะข่มกดหัวผู้อื่นได้ หากวันใดนางได้แต่งงานกับใต้เท้ากู้ ประกาศว่านางเป็นฮูหยินของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ล่ะก็ ถังหลี่จะหยิ่งยโสกับนางเช่นนี้ได้อีกหรือ?
แค่คิดก็สนุกแล้ว!
เซี่ยฟางเฟยยิ่งมุ่งมั่นที่จะต้องการแต่งงานกับกู้หวนเนี่ยนมากยิ่งขึ้น
“ช่างมัน ฝากไว้ก่อนเถอะ!” เซี่ยฟางเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทิ้งวาจาข่มขู่เอาไว้ หันหลังเดินเข้ารถม้าไปทันที
“ไปใช้เส้นอื่น ถนนเส้นนี้อัปมงคล!” นางกระชากเสียงใส่คนขับรถม้า หลังจากนั้นรถม้าจึงได้เคลื่อนที่ออกไป
ถังหลี่เห็นคราบเลือดบนฝ่ามือของฝางเหมี่ยวจึงพูดขึ้นมาว่า
“มือเจ้า..” ฝางเหมี่ยวเบนตัวหลบทันที
“ขอบคุณแม่นางมาก” นางถอยหลังไปหลายก้าว
“ขอข้าดูมือเจ้าหน่อย”
“แม่นาง ข้าเป็นอู่จั้ว” ฝางเหมี่ยวพูด
“ทำไมหรือ? เป็นอู่จั้วแล้วข้าดูอาการไม่ได้หรือ?” ถังหลี่ถามกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
ฝางเหมี่ยวมองอย่างมึนงง ระหว่างที่กำลังสับสนอยู่นั้น ถังหลี่คว้ามือของนางเอาไว้
“แค่ถลอกไม่ได้เป็นอะไรมาก ใส่ยาหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว” ถังหลี่กล่าว
ฝางเหมี่ยวได้สติ นางรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณ…ขอบคุณมาก..”
เมื่อคนอื่นได้ยินว่านางเป็นอู่จั้วผู้คนต่างกล่าวหาว่านางเป็นตัวอัปมงคล พร้อมใจกันถอยห่าง แต่หญิงสาวผู้นี้นั้นกลับดูแลเอาจใส่อย่างไม่นึกรังเกียจ
“ไม่เป็นไร”
หลังจากพูดจบ นางก็โบกมือให้ฝางเหมี่ยวแล้วจากไป โดยที่ฝางเหมี่ยวไม่มีโอกาสแม้แต่จะถามชื่อ