บทที่ 436 ให้นางอยู่ข้างท่าน
ฝางเหมี่ยวจ้องหน้าเขา ใบหน้าหลี่คงแดงก่ำขึ้นมา เขาพูดตะกุกตะกักมากยิ่งขึ้น
“ข้า…เพิ่งเลิกงาน…ผ่านมา…ข้าคิดว่าเจ้ายัง…ทำงานอยู่…เอ่อ…” นางฝางเอาแต่พูดว่า หลี่คงเป็นคนดี ฝางเหมี่ยวรู้สึกว่าเขาสนใจนาง เมื่อได้บังเอิญเจอกันสองสามครั้งเขาจะมีอาการเขินอายทุกครั้ง แต่ฝางเหมี่ยวไม่ชอบเขา นางไม่อยากรั้งเขาไว้
“ช่างบังเอิญจริงๆ” ฝางเหมี่ยวพูดพลางเดินนำหน้าไป
“เอ่อ…ไปกันเถอะ” หลี่คงรีบไล่ตามนางไป
“เจ้าได้กินขนมที่ข้าฝากไปให้หรือไม่?” หลี่คงถามเขาไม่กล้ามองฝางเหมี่ยวมากนัก
“ข้ายังไม่ได้กิน ขนมนั่นราคาเท่าไหร่ ข้าจะเอาเงินให้เจ้า”
“ไม่ต้องๆ” หลี่คงโบกมืออย่างรวดเร็ว
“มันอร่อย เจ้าลองกินดูเถอะ”
กู้หวนเนี่ยนและผู้ติดตามของเขายืนอยู่ที่หน้าประตูศาลต้าหลี่ สายตาของเขามองไปยังฝางเหมี่ยวและหลี่คง แม้จะอยู่ห่างออกไปไกลจนไม่ได้ยินที่พวกเขาพูด เพียงแต่เห็นคนทั้งคู่เดินเคียงกัน กู้หวนเนี่ยนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก อารมณ์ที่แปลกประหลาดยากที่จะบอกเกิดขึ้นภายในใจของเขา เขาอิจฉาและไม่สบายใจ รู้แต่เพียงว่าอยากจะเข้าไปแยกคนทั้งคู่ออกจากกัน กู้หวนเนี่ยนกำมือ ร่างกายแข็งทื่อ
“ใต้เท้า เสี่ยวอู่จั๋วของท่านมีคนมาติดพันแล้ว” ผู้ติดตามเขาพูดขึ้น หลังจากพูดจบเขารู้สึกถึงความเย็นชาที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง
ทำไมเจ้านายของเขา ถึงต้องใช้สายตาทิ่มแทงเขาด้วยนะ เขาเป็นแค่บ่าวตัวน้อยๆ ที่เอาใจใส่เจ้านายเท่านั้น ทำไมถึงได้ดูราวกับใต้เท้าจะเข้ามาทุบตี เขาถอยหลังกรูดไปหลายก้าว
“ข้ามีบางอย่างต้องทำ”
“ท่านมีงานต้องสะสาง” ผู้ติดตามรีบประจบ
“ทำคนเดียวเห็นทีจะไม่เสร็จ”
“บ่าวจะช่วยท่านเอง” เขารีบแสดงความจงรักภักดี
“เจ้าอ่านบันทึกชันสูตรศพเป็นหรือ?” กู้หวนเนี่ยนถามเขา
ลูกตาของผู้ติดตามกลอกไปมานานร่วมวัน แต่แล้วเขาจึงเข้าใจ
“ข้าจะไปตามแม่นางฝางกลับมาทำงานขอรับ” คนรับใช้รีบวิ่งไปประหนึ่งมีน้ำมันทาไว้ที่เท้า เขาหายไปภายในพริบตา
ฝางเหมี่ยวและหลี่คงเดินไปได้ครึ่งทางแต่กลับมีคนเรียกเอาไว้
“แม่นางฝาง มีบันทึกอยู่อีกหลายเล่มในศาลต้าหลี่ข้าต้องการให้ท่านกลับไปดู”
บันทึกคดี? แม้ว่าฝางเหมี่ยวจะรู้สึกหิวมากก็ตาม แต่นางรู้สึกอึดอัดที่จะเดินไปกับหลี่คงเช่นกัน นางจึงได้ถือโอกาสนี้รีบเดินกลับไปกับไป
“ข้าขอตัวกลับไปศาลต้าหลี่ก่อน”
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง” หลี่คงพูด ผู้ติดตามที่ชื่อว่าอาฉี เดินอยู่ระหว่างคนทั้งคู่ เขาตัวสูงกว่าหลี่คงถึงครึ่งหัว อาฉีมองหลี่คงอย่างหยิ่งผยองทำให้หลี่คงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากสายตาเขา
“ไม่เป็นไร ข้าจะกลับไปกับอาฉีเอง” ในเมื่อฝางเหมี่ยวเอ่ยปาก หลี่คงย่อมปฏิเสธไม่ออก
ฝางเหมี่ยวกับอาฉีจึงได้เดินกลับไปยังศาลต้าหลี่ด้วยกัน ฝางเหมี่ยวรู้ว่าอาฉีเป็นบ่าวรับใช้ของใต้เท้ากู้ เขาทำตามคำสั่งของใต้เท้ากู้เท่านั้น
“พี่ฉี ใต้เท้าอยากให้ข้ากลับไปดูบันทึกหรือ?”
“อืม” อาฉีตอบ นิสัยของอาฉีเหมือนกับนายของเขา เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันราวกับน้ำแข็งสองก้อน หลังจากไปดูบันทึกเสร็จแล้วค่อยกลับไปกินข้าวเถอะ ฝางเหมี่ยวคิดเช่นนั้น
เมื่อมาถึงศาลต้าหลี่ ฝางเหมี่ยวทำท่าจะเดินแยกไปที่ห้องทำงาน แต่อาฉีเรียกนางเอาไว้
“บันทึกคดีอยู่ในห้องหนังสือของใต้เท้า”
“ห้องหนังสือ?” ฝางเหมี่ยวถามอย่างไม่แน่ใจ ที่จริงแล้ว นางไม่อยากเข้าไปอยู่ในห้องหนังสือของใต้เท้ากู้เลย นางอยากอยู่ห่างจากเขาเพื่อความรู้สึกลึกซึ้งที่นางมีต่อเขาจะได้ค่อยๆ จางหายไป แต่ในเมื่อบันทึกอยู่ในห้องหนังสือ นางไม่มีทางเลือกมากนัก แต่อย่างน้อยก็มีอาฉีอยู่ด้วย นางไม่ได้อยู่กันสองต่อสองกับใต้เท้ากู้อย่างน้อยก็ไม่น่าที่จะกระอักกระอ่วนใจมากสักเท่าไหร่ ต่อเมื่อเดินเข้ามาในห้องจึงเห็นว่าอาฉีหายตัวไปเสียแล้ว
ฝางเหมี่ยว “………….”
ฝางเหมี่ยวจึงได้แต่กัดฟันเดินไปเคาะประตู
“เข้ามา” นางผลักประตูเข้าไปในห้อง กู้หวนเนี่ยนนั่งตัวตรงอยู่ด้านหลังโต๊ะ สันกรามและใบหน้าดูคมสันราวกับรูปปั้น ฝางเหมี่ยวเดินเข้ามาใกล้
“ใต้เท้า ท่านต้องการดูบันทึกคดีไหนหรือ?” นางถาม กู้หวนเนี่ยนยื่นมือไปแตะที่กองบันทึกข้างมือเขา ฝางเหมี่ยวยืนอยู่ไกลออกไปนางจึงเอื้อมไปไม่ถึง
กู้หวนเนี่ยนไม่ยอมส่งให้นาง หญิงสาวจึงได้แค่เดินเข้าไปหาเขาที่ด้านข้างเพื่อหยิบบันทึกเหล่านั้นขึ้นมาเอง ในขณะที่เดินเข้าไปใกล้เขา ฝางเหมี่ยวได้กลิ่นหอมของไม้จันทน์ลอยเข้าจมูก ครั้งสุดท้ายที่นางได้เจอเขานางก็ได้กลิ่นนี้เช่นกัน หัวใจของฝางเหมี่ยวเต้นแรงมากขึ้น ยากแก่การควบคุม ช่างไม่เอาไหน!
หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆ หยิบบันทึกคดีที่อยู่ข้างกายเขาแล้วหันหลังเดินไป
“ไปนั่งตรงนั้น” กู้หวนเนี่ยนชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ในตอนแรกฝางเหมี่ยวตั้งใจที่จะเดินออกไปข้างนอก แต่แล้วก็ต้องทรุดตัวลงนั่งอย่างเชื่อฟัง
ฝางเหมี่ยวแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้เกิดเหตุการณ์น่าอายที่ร้านอาหารในวันนั้น ความสัมพันธ์ของนางกับเขายังเป็นเช่นเดิม เขาเป็นขุนนางของศาลต้าหลี่และนางเป็นแค่ผู้ช่วยของเขาเท่านั้น
ฝางเหมี่ยวเปิดบันทึกคดี พยายามที่จะตั้งสมาธิอ่านบันทึกคดี ทำเป็นว่าใต้เท้ากู้ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น ยิ่งนางทำงานเสร็จเร็วเท่าไหร่ก็จะได้กลับบ้านเร็วขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้นเสียงท้องของนางก็ร้องออกมา เสียงไม่ได้ดังมากนักแต่ให้ห้องที่เงียบเช่นนี้กลับได้ยินอย่างถนัด ฝางเหมี่ยวอายมากจนอยากเอาหน้าของตนฝังไว้ในบันทึกคดีเสียเลย นางแอบหันไปมองกู้หวนเนี่ยนเห็นเขายังทำท่าอ่านหนังสืออยู่ไม่มีทีท่าผิดสังเกต นางจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกหวังว่าเขาจะไม่ได้ยินนะ! ฟางเหมียวหันไปตั้งใจอ่านบันทึกที่ตรงหน้าอีกครั้ง
ไม่นานประตูก็เปิดออกอีกครั้ง กลิ่นหอมโชยเข้ามาในจมูกของฝางเหมี่ยว นางเงยหน้าขึ้นมอง เห็นอาฉีเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องใส่อาหาร
อาฉีนำชามบะหมี่สองชามวางไว้ที่โต๊ะของกู้หวนเนี่ยน แน่นอนว่าอาฉีต้องให้โอกาสเจ้านายได้แสดงความรักใคร่ของเขาต่อแม่นางน้อยผู้นี้สิ…
อาฉีแอบยกนิ้วให้ตัวเอง
หลังจากที่เขาวางชามบะหมี่ เขาก็ถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ
ฝางเหมี่ยวแอบมองชามบะหมี่บนโต๊ะของใต้เท้ากู้อย่างผิดหวัง นางคิดว่าน่าจะมีของตนเองบ้าง แต่กลับเป็นของใต้เท้ากู้ทั้งสองชาม
เขารูปร่างสูงใหญ่ออกอย่างนี้ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะกินได้ถึงสองชามเลยทีเดียว
ฝางเหมียวอดทนต่อความตะกละของตนเองนั่งอ่านบันทึกต่อไป แต่แล้วกลับมีชามบะหมี่มาวางลงบนโต๊ะของตน นางชะงักไป เงยหน้าขึ้นมอง กู้หวนเนี่ยนกะพริบตา เขาไม่ได้มองนางด้วยซ้ำตอนที่พูดออกมาว่า
“กินเถอะ”
บะหมี่ชามใหญ่ใส่ไข่และมีต้นหอมลอยอยู่ ดูน่าอร่อยมาก ฝางเหมี่ยวน้ำลายแทบไหลออกมา
“ของข้าหรือ?”
“ใช่” กู้หวนเนี่ยนตอบรับ เมื่อเห็นฝางเหมี่ยวยังคงจ้องมองเขา เขาจึงพูดว่า
“ข้ากินคนเดียวไม่หมดนะ เจ้าอย่าได้คิดมากเลย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ฝางเหมี่ยวหยิบตะเกียบขึ้นมา เริ่มกินบะหมี่ ทั้งหอมทั้งอร่อย นางมีความสุขมาก
เมื่อเห็นความสนใจของฝางเหมี่ยวอยู่แต่ชามบะหมี่ กู้หวนเนี่ยนจึงได้แอบชำเลืองมอง
……………………..