บทที่ 506 : งานชุมนุมเริ่มแล้ว (5)
หากมิใช่เพราะเย่หยิงนางจะไม่ยอมมาเว้าวอนพิรี้พิไรกับเขาเช่นนี้อีก
”พี่เขยหยิงเอ๋อโดนทุบตี พรุ่งนี้หมิงเอ๋อก็จะโดนลากไปทิ้ง ท่านจะปล่อยให้พวกเขาโดนกระทำเช่นนี้หรือ ?” เย่ฮูหยินกัดฟัน “นางแพศยานั่น กล้าลบหลู่สำนักเวชโอสถของเรา หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ท่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
นัยน์ตาของไป๋ฉางเฟิ่งเปล่งประกายแวววาว”โอ้…มีคนทำร้ายเย่หยิง กับ เย่หมิง ด้วยงั้นหรือ ? ผู้ใดกันที่กล้ากระทำเช่นนั้น ข้าอยากจะไปขอบใจเสียจริง ๆ”
”พี่เขย!”
เย่ฮูหยินหน้าซีดพี่เขยหมายความเยี่ยงไร ? ท่านจะช่วยเหลือผู้อื่นกลั่นแกล้งครอบครัวของตนกระนั้นหรือ ท่านทำได้อย่างไร ?
“แท้จริงมีบางอย่างที่ข้าต้องการเก็บไว้ให้หมิงเอ๋อ”นางกล่าวเยาะเย้ยพลางดึงจี้หยกออกมาจากสาบเสื้อ “นี่คือสิ่งที่พี่สาวของข้ามอบให้แก่ข้าก่อนนางจะสิ้นใจ”
ไป๋ฉางเฟิ่งหรี่ตาลงประกายในแววตาเปลี่ยนไป ครั้นเห็นจี้หยกบนมือของเย่ฮูหยิน ม่านตาของเขาพลันบีบรัด
”ก่อนที่พี่สาวของข้าจะเสียชีวิตข้าบอกนางว่าเมื่อนางจากไปแล้ว ท่านอาจจะไม่ปฏิบัติต่อข้าเช่นคนในครอบครัวเดียวกัน ด้วยเหตุนี้นางจึงให้จี้หยกนี้แก่ข้า และวันใดที่ข้ามอบจี้หยกนี้ให้ท่าน ท่านสัญญาว่าจะทำทุกอย่างตามแต่ข้าจะร้องขอ !” เย่ฮูหยินเชิดคางขึ้น “เดิมที ข้าเพียงต้องการใช้จี้หยกนี้ขอร้องให้ท่านหาลูกสะใภ้ที่ดีให้แก่หมิงเอ๋อ ทว่าบัดนี้ข้าจำต้องตัดใจนำมันออกมาใช้ก่อน ”
ในวันหน้าหลานสาวของนางจะต้องได้เป็นธิดาบุญธรรมของไป๋จั่นเผิงแน่ ๆ นางจะต้องกลัวไปไยว่าหลานชายของนางจะไม่ได้แต่งงานกับภรรยาผู้สูงศักดิ์ ?
เมื่อถึงวันนั้นสตรีทุกคนในโลกก็มีแต่จะยอมมาเป็นตัวเลือกให้หมิงเอ๋อสาว ๆ ทุกคนย่อมอยากจะแต่งงานกับเขา !
”พี่เขยหากท่านยังคิดถึงความผูกพันที่มีต่อพี่สาวข้า ท่านต้องยอมรับคำขอของข้า”
ครั้นเย่ฮูหยินเห็นไป๋ฉางเฟิ่งเงียบไปนางก็รู้ว่า หลี่จิ้ง น่าที่จะบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นนั้นใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ นางเชื่อว่าด้วยความรักที่ไป๋ฉางเฟิ่งมีต่อหลี่จิ้ง เขาจะต้องทำตามคำขอของนางอย่างแน่นอน
“ได้”
ไป๋ฉางเฟิ่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งในลำคอ
จี้หยกนี้มีความหมายกับเขามากมันคือสัญลักษณ์แทนความรักระหว่างเขากับจิ้งเอ๋อ
“พี่เขยท่านเห็นด้วยใช่หรือไม่ ?” เย่ฮูหยินกล่าวอย่างตื่นเต้น นางเต็มไปด้วยความดีใจ
ริมฝีปากของไป๋ฉางเฟิ่งเหยียดออกเขายิ้มหยัน “เอาเป็นว่า หากสำนักเวชโอสถของเราไม่มีผู้สืบทอดรุ่นที่สาม ข้าก็จะทำตามคำขอของเจ้า”
ความสุขบนใบหน้าของเย่ฮูหยินที่เคยมีมลายหายไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของไป๋ฉางเฟิ่งใบหน้าเหี่ยว ๆ ของนางแลดูหดหู่ “พี่เขย ท่านล้อข้าเล่นงั้นหรือ ? หากถึงเวลานั้น ท่านให้จั่นเผิงแต่งงานกับสตรีอื่น เรื่องทั้งหมดก็จบกันงั้นสิ”
”อ่า”ไป๋ฉางเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าไป๋ฉางเฟิ่งจะไม่บังคับบุตรชายของข้าให้แต่งงานกับสตรีที่เขาไม่ได้พึงใจ ข้าไม่มีวันบังคับเขา แม้ว่าเขาจะไม่แต่งงานตลอดชีวิตก็ตามที ส่วนคำขอของเจ้า เหตุใดข้าจะไม่เห็นด้วยเล่า ? ไยเจ้าต้องคิดอะไรโง่ ๆ เช่นนั้น ? เจ้าจะบังคับข้าไป๋ฉางเฟิ่งให้ทำในสิ่งที่ข้าไม่ต้องการงั้นรึ ?”
เย่ฮูหยินมองไป๋ฉางเฟิ่งที่ยามนี้กำลังมองมาที่นางด้วยแววตาเย็นยะเยือกร่างของนางสั่นสะท้าน นางยิ้มแห้ง ๆ “พี่เขยข้าหวังว่าท่านจะจดจำคำสัญญาที่ท่านให้ไว้กับข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ”
”ทิ้งจี้หยกไว้แล้วไปได้”
ไป๋ฉางเฟิ่งยิ้มรอยยิ้มของเขาเย็นชา เขาหลับตาลง ไม่ให้ความสนใจเย่ฮูหยินอีกต่อไป
เย่ฮูหยินย่อมเข้าใจดีว่าไป๋ฉางเฟิ่งไม่สนใจนางแล้ว นางจึงวางจี้หยกลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินออกจากลานบ้านไปพร้อมรอยยิ้ม ที่แลดูตื่นเต้น
”เป็นองค์หญิงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วไงวันหน้าหลานสาวของข้าก็จะได้เป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักเวชโอสถเช่นกัน ดูซิว่า เจ้าจะรังแกหลานสาวของข้ายังไงได้อีก !”
มิใช่เป็นเพราะหลานสาวของนางไม่ได้เป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักเวชโอสถหรอกหรือ? หญิงสาวเหล่านั้นจึงกล้าทำร้ายหลานรักของนาง
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน!
***จบบทงานชุมนุมเริ่มแล้ว (5)***
บทที่ 507 : งานชุมนุมเริ่มแล้ว (6)
ในลานอันเงียบสงบ
ไป๋ฉางเฟิ่งลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เขามองตามทิศทางที่เย่ฮูหยินจากไปอย่างเย็นชา แววตาของเขาเย็นยะเยือก
”ท่านเจ้าสำนัก… ” ผู้คุ้มกันยืนนิ่งเงียบ เขาอยากจะกล่าวขึ้นตั้งหลายครั้งทว่าก็ฝืนอดกลั้นไว้
”ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพูดอะไรหากนางปรารถนาเป็นบุตรสาวของจั่นเผิง ข้าเกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางจะไม่มีวันสมหวัง !”
ไป๋ฉางเฟิ่งกำหมัดแน่นใบหน้าชราของเขาเต็มไปด้วยอาการเยาะเย้ย
เช่นที่เขากล่าวก่อนหน้านี้เขาจะยอมรับเย่หยิงก็ต่อเมื่อสำนักเวชโอสถไร้ผู้สืบทอดรุ่นที่สาม
น่าเสียดายที่เขามีหลานสาวแล้วเช่นนั้นคำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครู่ย่อมจะเป็นไปไม่ได้
เพียงไม่นานหลังจากนั้น
เสียงหัวเราะก็ก้องดังฝ่าอากาศขึ้นไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้วสีขาวที่อยู่บนใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น เขาแหงนมองบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
”ฮ่าฮ่าฮ่าไป๋ฉางเฟิ่ง พวกเราทั้งสองมาเยี่ยมเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินดีต้อนรับพวกเราหรือไม่ ?”
บนอากาศว่างเปล่าร่างสองร่างค่อยๆ เผยปรากฏ
นั่นคือผู้อาวุโสสองคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์พวกเขามาพร้อมด้วยท่าทางเฉยเมย
หลังจากเห็นคนทั้งสองแล้วไป๋ฉางเฟิ่งก็แปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงมากันแค่สองคนล่ะ ? ฉิวชู่หรงอยู่ที่ใด ?”
”…”
เจิ้งฉีและเหรินอี้เงียบ
พวกเขาจะกล้าตอบหรือ?
จะให้บอกไป๋ฉางเฟิ่งว่าเนื่องจากเหรินอี้เผลอบอกที่อยู่ของไป๋หยานให้ตี้คังรับรู้ จากนั้นก็โบ้ยให้ฉิวชู่หรงกลายเป็นแพะรับบาป เช่นนั้นเขาเลยไม่กล้าให้ฉิวชู่หรงมาเผชิญหน้านางกระนั้นรึ ?
เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ผู้ใดจะกล้าพูด !
“เจ้าสามไม่ว่างเช่นนั้นจึงมีเรามาเพียงสองคน” เจิ้งฉีกล่าวใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ “ไป๋ฉางเฟิ่ง ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน ข้าสงสัยเหลือเกินว่า พวกเรามาสายเกินไปหรือไม่ ?”
“ยังไม่สายหรอกพวกเจ้ามาได้เวลาพอดี หากแต่พวกเจ้าไม่สนใจที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมหมอปรุงยาหรอกหรือ ? เหตุใดจึงส่งศิษย์จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาเข้าร่วมแทนล่ะปีนี้ ?”
”โอ้!” เจิ้งฉีเอ่ยตอบอย่างสบาย ๆ “เพราะศิษย์ที่ส่งมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในปีนี้คือศิษย์รักของข้าไง”
เพล้ง!
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเจิ้งฉีนิ้วมือที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบของไป๋ฉางเฟิ่งพลันอ่อนส่งผลให้ถ้วยชาลื่นหล่นหลุดมือ และตกลงสู่พื้น
”ศิษย์ของเจ้าอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจแววตาของเขาชัดเจนว่าตกตะลึง
หลายปีที่ผ่านมาตาเฒ่าพวกนี้แอบรับศิษย์มาฝึกฝน ข่าวว่าศิษย์คนนี้เป็นอัจฉริยะที่มีค่าเยี่ยงสมบัติล้ำค่า พวกเขายอมปล่อยศิษย์รักมาเข้าร่วมงานชุมนุมในครานี้ด้วยงั้นหรือ ?
เดี๋ยวนะ…
จู่ๆ ไป๋ฉางเฟิ่งก็นึกถึงรายงานเมื่อสองวันก่อนขึ้นมาได้ รายงานที่ว่าเย่หยิงมีข้อพิพาทกับศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซ้ำนางยังต้องการขับไล่ศิษย์รายนั้นไปอีกด้วย
หรือว่าศิษย์คนนั้นเป็นศิษย์รักของอาวุโสทั้งสาม?
”ลูกศิษย์ของเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรหรือ?” ไป๋ฉางเฟิ่งเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มสง่างาม
”ลูกศิษย์ของข้า… ”
เหรินอี้กำลังจะตอบคำทว่าเจิ้งฉีกลับปรามเขาไว้
“เจ้าสำนักไป๋เจ้าเป็นคนดีและมีน้ำใจเสมอมิใช่หรือ ?” เขาหันไปทางไป๋ฉางเฟิ่งพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ มุมปากของเขาขยับยกขึ้นอีกเล็กน้อย “เจ้ายังต้องการฉกตัวศิษย์รักข้าอีกงั้นหรือ ?”
ไอ้สารเลวนี่กล้าสอบถามเกี่ยวกับที่มาของลูกศิษย์เขา นี่คงวางแผนร้ายคิดจะแอบฉกศิษย์รักของเขางั้นล่ะสิ ฝันไปเถอะ !
ไป๋ฉางเฟิ่งหน้าตึงเขาเริ่มที่จะโกรธ “ผู้อาวุโสเจิ้งฉี นี่เจ้าหมายความเช่นไร ? ไยข้าจึงจะต้องฉกศิษย์ของเจ้าด้วย ? ข้าเป็นใครกัน ? ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่า ข้าไม่สนใจศิษย์ของเจ้า ข้าเองก็มีหลานสาวซึ่งก็เป็นหมอปรุงยาที่ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์ของเจ้าเช่นกัน ! ”
บทที่ 508 : งานชุมนุมเริ่มแล้ว (7)
”เอ๋…บุตรสาวของเจ้าหายตัวไปนานแล้วนี่เช่นนั้นเจ้าจะมีหลานสาวได้ยังไง ?”
เหรินอี้มองไป๋ฉางเฟิ่งพร้อมกับยิ้มเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ไป๋ฉางเฟิ่งกล่าว
ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าไป๋ฉางเฟิ่งจะไม่เคยฉกลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นของตน ทว่าศิษย์เหล่านั้นไม่มีค่าอะไรนัก เขาจึงไม่สนใจ หากแต่ถ้าตาแก่คนนี้ต้องการฉกลูกศิษย์ที่มีค่าคนนี้ไปล่ะก็ ต้องผ่านเขาไปก่อน !
ปัง!
ไป๋ฉางเฟิ่งฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืน “หลานของข้า บุตรชายของข้าก็ต้องเป็นคนค้นพบสิ ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ก่อนว่า ยาที่หลานสาวของข้าปรุงนั้นเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ก่อนหน้านี้บุตรชายของข้าเคยป่วยหนัก หมอปรุงยาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ หากแต่หลานสาวของข้าสามารถให้การรักษาบุตรชายของข้าได้ ! ”
ครั้นกล่าวถึงประโยคสุดท้ายใบหน้าของไป๋ฉางเฟิ่งก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและปลาบปลื้ม
”เจ้าพูดถึงเพียงนี้ข้าเองก็อยากเห็นหลานสาวของเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้าไม่เล่าประวัติของนางให้ข้าฟังบ้างเล่า ?”
เจิ้งฉียิ้มอย่างเฉยเมยขณะเอ่ยถาม
”อยากรู้เรื่องราวหลานสาวของข้างั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้ !” ไป๋ฉางเฟิ่งเชิดหน้าขึ้น “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าเคยฉกลูกศิษย์ของพวกเจ้ามาก็ตั้งมากมาย อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าพวกเจ้าเองก็ต้องการฉกหลานสาวของข้าเช่นกัน อย่าคิดว่าจะได้รู้เรื่องของหลานสาวข้าเลย”
ในวันนี้ตาเฒ่าทั้งสองต่างก็อวดลูกศิษย์ต่อหน้าเขา และเขาไม่ไม่มีวันยอมเสียหน้าแน่ ! เช่นนั้นเขาต้องโอ้อวดหลานสาวดักคอไว้ก่อน
และเมื่อหยานเอ๋อมาเขาจะต้องเอาคืนไอ้เฒ่าทั้งสองอย่างสาสม ! เอาให้คนพวกนี้ไม่กล้าแสดงท่าทางอวดดีต่อหน้าเขาอีกเลย !
”ไป๋ฉางเฟิ่งเจ้าคิดมากไปแล้ว ข้ามีลูกศิษย์ที่ทรงพลังที่สุดอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะฉกคนของเจ้า” เจิ้งฉียิ้ม “เราเพียงอยากรู้ว่าหลานสาวของเจ้านั้นยอดเยี่ยม หรือเป็นศิษย์รักของเราที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่ากันแน่”
”ได้ตกลง ! ข้ามั่นใจในตัวหลานสาวข้า นางจะไม่มีวันแพ้ลูกศิษย์ของเจ้า”
ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้นทว่าความจริงแล้วในใจของไป๋ฉางเฟิ่งก็ไม่ได้สงบนัก
เขาไม่ได้ไม่มั่นใจในตัวไป๋หยานหากแต่…เขาไม่ทราบหลานสาวของเขาจะมาถึงสำนักเวชโอสถเมื่อไหร่ ?
และหากนางไม่ยอมรับเขาเป็นตาเล่านั่นจะมิเท่ากับเขาต้องอับอายพ่ายแพ้กระนั้นหรือ ?
ไป๋ฉางเฟิ่งคิดฟุ้งซ่านมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเลยเถิดไปถึงนึกด่าว่าไป๋จั่นเผิง
หากก่อนหน้านี้ไอ้ลูกเลวหาหลานสาวของเขาพบป่านนี้เขาคงได้กอดหลานสาวอย่างมีความสุขไปแล้ว ทั้งไม่ต้องทนเจ็บปวดกับความห่วงหาอาทรอยู่เช่นนี้
”ฮ่าฮ่าฮ่า!” เหรินอี้หัวเราะร่า “เช่นนั้นเราไปยังสถานที่จัดงานกันเลย ข้ามั่นใจว่า ยามนี้ผู้ที่ทำคะแนนนำในงานชุมนุมหมอปรุงยาครั้งนี้ต้องเป็นศิษย์ของข้า”
ไป๋ฉางเฟิ่งขึ้นเสียงอย่างเคร่งเครียด”นั่นเป็นเพราะหลานสาวของข้ามิได้เข้าร่วมด้วย หาไม่แล้วจะมีผู้ใดสามารถเทียบเทียมหลานสาวของข้าได้เล่า”
”โม้ยังไงก็ไร้ประโยชน์ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้เห็นพลังของลูกศิษย์ของข้าฮ่าฮ่าฮ่า !”
เหรินอี้หัวเราะซ้ำแล้วซ้ำอีกในบรรดาเด็กรุ่นใหม่ในดินแดนนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะนางได้เป็นแน่
ไป๋ฉางเฟิ่งมองอาวุโสเจิ้งฉีและน้องของเขาอย่างเย้ยหยันจากนั้นก็ไม่กล่าวคำใดอีก เอาไว้หยานเอ๋อจำปู่ของนางได้ซะก่อน วันหน้าเขาจะต้องทำให้ตาเฒ่าสองคนนี้เข้าใจว่าไม่มีผู้ใดเก่งไปกว่าหยานเอ๋อ
หมอปรุงยาจากสำนักเวชโอสถของเขาต้องเจ๋งที่สุด!
*****
ในห้องที่สวยงามเย่หยิงกำลังนอนอยู่บนเตียง นางลืมตาขึ้นมองขื่อด้านบนอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าของนางแดงก่ำ อีกทั้งบวมเป่งไม่ต่างกับหัวหมูแลดูน่ากลัว
”คุณหนู”
สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้าประตูมาพร้อมด้วยน้ำร้อนนางมองใบหน้าที่น่าเกลียดของเย่หยิง พลางกระพริบตาเล็กน้อย
”เกิดอะไรขึ้นข้างนอกกระนั้นรึ?”
น้ำเสียงของเย่หยิงแหบแห้งนางเอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์
“คุณหนู”สาวใช้กัดริมฝีปาก “เมื่อครู่มีคนพบจดหมายรักในห้องของนายน้อย … มันเป็นจดหมายรักจากท่าน”
***จบบทงานชุมนุมเริ่มแล้ว (7)***
บทที่ 509 : งานชุมนุมเริ่มแล้ว (8)
”จดหมายรักอะไรกัน?”
เย่หยิงเอี้ยวหน้าไปมองด้วยทีท่าแข็งกระด้างพลางขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม
การขมวดคิ้วทำให้บาดแผลของนางเขยื้อนนางเจ็บจนกระทั่งต้องอ้าปากสูดลมเย็น ๆ เข้าปาก เพื่อบรรเทา
”มันเป็นจดหมายรักที่ท่านมอบให้กับนายน้อยตอนนี้ทั่วทั้งสำนักเวชโอสถต่างร่ำลือกันว่า ท่านทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน”
สาวใช้ก้มหน้าลงน้ำเสียงของนางแผ่วลงมาก
ปัง!
เย่หยิงกระแทกศีรษะของนางลงบนเตียงใบหน้าบวม ๆ ของนางแลดูดุดันขึ้น
”ข้าไปเขียนจดหมายรักถึงเย่หมิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? บ้าที่สุด นี่ต้องเป็นฝีมือของนางแพศยาไป๋หยานที่วางแผนใส่ร้ายข้า !”
นางต้องการให้ร้ายไป๋หยานโดยใช้เรื่องมีความสัมพันธ์ลับกับเย่หมิง หากแต่นางไม่คาดคิดเลยว่า ไป๋หยานจะเดินแผนล่วงหน้านางหนึ่งก้าว ด้วยเหตุนี้แผนการของนางจึงไม่สามารถนำไปใช้ได้อีก
จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง พลันร่างอ้วน ๆ ก็วิ่งผ่านประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่กระวนกระวายของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้น
”หยิงเอ๋อข่าวดี ข่าวดี เจ้าสำนักให้สัญญาแล้วว่าจะส่งเสริมเจ้าเป็นธิดาบุญธรรมของไป๋จั่นเผิง !”
เย่หยิงตัวแข็งทื่อเหมือนนางยังไม่อยากจะเชื่อ “จริงหรือ ?”
”แน่นอนที่สุด!” เย่ฮูหยินพยักหน้ายืนยัน
ชั่วขณะนี้นั้นใบหน้าของเย่หยิงพลันแข็งค้าง บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องน่ายินดีนี้มาถึงโดยปัจจุบันทันด่วน ทำให้นางไม่อยากเชื่อไปครู่ใหญ่
เจ้าสำนักตกลงแล้ว?
เขายอมตกลงจริงๆ หรือ ?
นับแต่นี้นางก็จะไม่ต้องเป็นคนนอกของสำนักเวชโอสถอีกต่อไปหากแต่จะเป็นคุณหนูของที่นี่แทน ?
สีหน้าของเย่หยิงแลดูงงงันอยู่ชั่วครู่หลังจากนั้นนางก็หัวเราะเสียงดัง
นางหัวเราะหัวเราะทั้งน้ำตา น้ำตาของนางไหลรินลงมาจากปลายหางตา
ในวันหน้าฐานะของข้าก็จะเท่าเทียมกับเจ้า ! เจ้าจะใช้คุณสมบัติใดมาดูถูกข้า !
”เย่หยิงที่น่าสงสารของข้า”เย่ฮูหยินเดินไปยืนข้าง ๆ เย่หยิง พลางเอ่ยกล่าวด้วยความสงสาร “ในที่สุด ความพยายามในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของเจ้าก็ไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ ความพยายามของเจ้าเอาชนะใจของท่านเจ้าสำนักได้สำเร็จ เหตุที่เขาสัญญาว่าจะให้ไป๋จั่นเผิงยอมรับเจ้าในฐานะธิดาบุญธรรมนั่นก็เป็นเพราะความสามารถของเจ้า”
”จริงหรือ?”
เย่หยิงเบิกตาโตนัยน์ตาที่สวยงามของนางสดใสขึ้นมาก นางมองเย่ฮูหยินตาไม่กระพริบ
เจ้าสำนักยอมตกลงเพราะความพยายามตลอดเวลาที่ผ่านมาของนางงั้นรึ?
เย่ฮูหยินกระพริบตาด้วยรู้สึกผิดนางพยักหน้าเล็กน้อย “จริงสิ เย่หยิงของข้าดีถึงเพียงนี้ เด็กสาวป่าเถื่อนคนนั้นจะมาเทียบกับเจ้าได้ยังไง ? ความสำเร็จต่าง ๆ ย่อมมาจากความพยายามของเจ้าเอง”
เย่หยิงยิ้ม
รอยยิ้มนี้กวาดความหมองมัวที่เคยมีให้มลายหายไปนัยน์ตาของนางสดใส อีกทั้งสว่างไสวเป็นประกาย
”ปรากฏว่าความเก่งกาจของข้าเข้าตาของท่านเจ้าสำนักจริงๆ … ในวันหน้าสำนักเวชโอสถนี้จะต้องตกเป็นของตระกูลเย่ของเรา !”
ต้องขอบใจไป๋จั่นเผิงที่ให้โอกาสนาง
หากมิใช่เพราะไป๋จั่นเผิงไม่ยอมแต่งงานมีภรรยามานานหลายปีบางที … นางอาจจะไม่มีโอกาสขึ้นมาถึงจุดนี้
”ท่านย่าวันนี้เป็นวันลงคะแนนในงานชุมนุมหมอปรุงยา ท่านช่วยพาข้าไปที่นั่นหน่อย ข้าอยากเห็น” เย่หยิงหรี่ตาลงเล็กน้อย “ข้าอยากเห็นความล้มเหลวของหญิงผู้นั้น ข้าต้องทำให้นางมาคุกเข่าขอความเมตตาจากข้าให้ได้ ข้าจะคืนความอัปยศกลับไปให้นางทีละขั้น ๆ เฉกเช่นเดียวกับที่นางทำกับข้าในวันนั้น ! ”
แล้วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?
ในเมื่อข้าได้เป็นบุตรสาวของไป๋จั่นเผิงแล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีก !
เอ่อ…
ยามนี้บนเตียงขนาดใหญ่ ไป๋หยานรับรู้ได้ถึงมือใหญ่ที่ไล้อยู่บนร่างของนาง นางยกมือขึ้นตบมือใหญ่ด้วยความรำคาญ “ออกไป อย่ามารบกวนข้า”
กล่าวจบริมฝีปากของนางก็ถูกกัดเบา ๆ พลันลมหายใจที่คุ้นเคยก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของนาง ทำให้นางต้องลืมตาขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
”ตี้คังนี่ท่านคิดจะทำอะไร ?”
รอยยิ้มของชายหนุ่มช่างน่าประทับใจโดยเฉพาะรอยยิ้มเล็ก ๆ ในดวงตาเรียวคม “แน่นอน ข้าต้องการ … เจ้า … ”
***จบบทงานชุมนุมเริ่มแล้ว (8)***
บทที่ 510 : งานชุมนุมเริ่มแล้ว (9)
ไป๋หยานขมวดคิ้วแน่น”วันนี้ท่านไม่มีอะไรทำงั้นหรือ ?”
บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดและอาการต่อต้านของนางจึงทำให้เขาหยุด เขายกมือขึ้นโอบกอดไป๋หยานไว้ในอ้อมแขนพลางกระซิบ “หยานเอ๋อ เจ้าโกรธข้าหรือ ? โกรธที่ข้าแอบทำอะไรลับหลังเจ้างั้นหรือ ? ”
ร่างของไป๋หยานแข็งทื่อนัยน์ตาของนางส่องประกายซับซ้อน “ตี้คัง ท่านให้เสี่ยวมี่สร้างพันธะสัญญากับข้าใช่หรือไม่ ?”
“ใช่”ตี้คังยกยิ้ม “นี่คือสิ่งที่ท่านราชครูบอกข้ามา”
“ท่านราชครูหรือ?”
ไป๋หยานเม้มปากสนามรบที่อาบไปด้วยเลือดปรากฏขึ้นในใจของนาง ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อย
หากสนามรบที่นางเห็นคือชีวิตในอดีตชาติของนางนั่นจะเป็นข้อพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า … นางเคยรู้จักตี้คังมาก่อน ?
”ตี้คังข้าต้องการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของท่าน”
นางรู้ว่าเขาเป็นราชาแห่งแดนอสูรจากปากของงูเขียวนางนั้นและยังคนอื่นอีก ทว่า…นอกเหนือจากนั้นนางก็ไม่รู้อะไรเลย
ตอนนี้นางอยากรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา และอยากรู้ว่า ระหว่างนางกับเขาเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ ?
”มีข่าวลือในแดนอสูรว่าชั่วชีวิตนี้ข้าสามารถมีภรรยาได้เพียงคนเดียว … ต้องรอเวลากว่านางจะปรากฏตัว และจากคำทำนายของแดนอสูร เจ้าก็คือภรรยาที่ถูกลิขิตของข้า”
ไป๋หยานเม้นปากแน่นนางไม่กล่าวคำใด นางรอฟังตี้คังพูดต่อ
ตี้คังกอดร่างของไป๋หยานกระชับแน่นขึ้น”นอกจากฐานะราชาแดนอสูรแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้อะไรเลย”
”ทำไมล่ะ?” ไป๋หยานลืมตามองชายหนุ่มหล่อเหลาไร้ที่ติผู้ซึ่งอยู่ชิดใกล้
”ข้าเองก็จำอะไรไม่ได้มากมายนัก”ตี้คังขมวดคิ้ว “ข้าจำได้เพียงว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนครั้งที่ข้าตื่นขึ้น ข้าก็อยู่ในวังของแดนอสูรแล้ว ท่านราชครูเรียกขานข้าว่าองค์ราชา นับแต่นั้นข้าก็รับตำแหน่งนี้มาโดยตลอด”
”เช่นนั้นเสี่ยวอวิ๋นล่ะ? นางเป็นน้องสาวของท่านมิใช่หรือ ?”
”เสี่ยวอวิ๋นเป็นน้องสาวของข้าการรับรู้ของสัตว์อสูรเกี่ยวกับสายเลือดนั้นชัดเจนมาก ข้าจึงจำเฉินเอ๋อได้ทันทีไง” เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ “หากแต่ … เมื่อข้าพบนาง นางเป็นเพียงลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่โดนผนึก ทั้ง … นางก็สูญเสียความทรงจำทั้งหมดด้วย”
ไป๋หยานหลับตาลงเล็กน้อยดูเหมือนว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้เรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับตี้คัง
นานพอควรกว่านางจะลืมตาขึ้น “ข้าอยากพบท่านราชครู”
บางทีท่านราชครูอาจจะรู้ทุกเรื่อง…
”ไยเจ้าจึงอยากพบเขา?” ใบหน้าของตี้คังเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ “เขาไม่มีสิ่งใดให้น่าพบ เพียงพบข้าทุกวันก็พอแล้ว”
นัยน์ตาของไป๋หยานหรี่ลงนางคว้าสาบเสื้อของเขา พลางข่มขู่พร้อมรอยยิ้ม “ท่านแน่ใจนะว่าจะไม่ให้ข้าพบเขา ?”
“เจ้าต้องการพบเขาเมื่อไหร่? ไว้ข้าจะจัดการให้”
นี่มัน…
เสี่ยวมี่วางแผนแสร้งหลับต่อแต่ครั้นได้ยินคำพูดที่โลเลไร้หลักการของตี้คัง มันก็อดไม่ได้ที่ลืมตาขึ้นมองพวกเขา
หลังจากเห็นแววตาเขียวปั้ดของตี้คังมันก็ตัวสั่น มันแสร้งลงนอนราบกับพื้นหลับตาต่อ
ข้าไม่ได้ยินอะไรเลยเชิญคุยกันต่อตามสบายเถอะ …
”หยานเอ๋อเจ้าจะติดตามข้ากลับแดนอสูรหรือไม่ ?”
ตี้คังกวาดตาผ่านเสี่ยวมี่ไปมองไป๋หยาน ริมฝีปากแดงของเขาพลันยกโค้ง
“อืม”ไป๋หยานลูบคาง “ข้าเองก็อยากขจัดข้อสงสัยบางอย่างในใจของข้าเช่นกัน”
นางต้องการที่จะรู้ว่าสิ่งที่นางเห็นในความฝันของนางนั้น… เป็นชีวิตในอดีตชาติของนางหรือไม่ ?
ทันทีที่คำพูดของไป๋หยานจบลงริมฝีปากของนางก็ถูกชายหนุ่มปิดกั้น จูบอันอบอุ่นพลันสะท้านทั่วริมฝีปากสีแดงชาดของนาง
เสียงของชายหนุ่มแหบพร่าทว่าก็เต็มไปด้วยเสน่ห์
”หยานเอ๋อข้ารอเวลานี้มานานมาก จากนี้ไปแดนอสูรจะมีเจ้าเป็นสตรีเพียงผู้เดียวของข้า”
***จบบทงานชุมนุมเริ่มแล้ว (9)***