บทที่ 448 เว่ยฉิงพบฮ่องเต้
เว่ยฉิงยืนก้มหน้าทำท่าแสดงความเคารพ ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในท้องพระโรงคือบิดาผู้ให้กำเนิดของเว่ยฉิง
เมื่อยามที่เขายังเป็นเด็กเล็ก เขาไม่สนิทกับเสด็จพ่อ และท่านก็ไม่ทรงโปรดเขาเช่นกัน ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไม่ดีนัก หลังจากที่หลบหนีออกไปจากวังหลวงได้ จากเด็กน้อยในหมู่บ้านลี่เจียซึ่งอยู่ห่างไกลไปหลายพันลี้เว่ยฉิงก็ได้เติบใหญ่ขึ้น ทั้งรูปร่างและลักษณะนิสัยเขาเปลี่ยนไปมาก แตกต่างจากยามที่เขายังเป็นเด็ก
ด้วยเหตุนี้บิดาและบุตรชายจึงไม่รู้จักกัน นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เซียวซานหลางรับรองให้เว่ยฉิงเข้าเป็นขุนนาง เว่ยฉิงไม่มีความรู้สึกใดๆ กับบิดาผู้ให้กำเนิด เมื่อเขาต้องเข้าสภาขุนนางในครั้งแรก เขามองบิดาเสมือนคนแปลกหน้า
การประชุมในช่วงเช้ากินเวลานานมาก
ขุนนางทั้งหลายต่างพูดคุยกันอย่างเป็นอิสระ แต่แล้วกลับมีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นมา ทุกคนในท้องพระโรงพากันเงียบ
“กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้สองมณฑลในอี้โจวถูกน้ำท่วม ระดับน้ำในปีนี้สูงมากกว่าปีที่แล้ว คะเนแล้วอาจจะเท่ากับเมื่อห้าปีที่แล้วที่มีน้ำท่วมครั้งใหญ่ กระหม่อมมีความเห็นว่าฝ่าบาทสมควรจะส่งทูตจากราชสำนักลงไปดูแลจัดการเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” โส่วฝู่เป็นคนพูดขึ้นมา
“เจ้าคิดว่ามีใครเหมาะสมหรือไม่?” ฮ่องเต้แห่งต้าโจวตรัสถามขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะส่งใครก็ได้ไปเป็นทูตจากราชสำนักเพื่อควบคุมดูแลการบริหารจัดการน้ำ
อี้โจวเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายในต้าโจว จะเกิดน้ำท่วมทุกปีในฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะท่วมมากหรือท่วมน้อยก็จำเป็นต้องแก้ไข ไม่เช่นนั้นแล้วราษฎรจะเดือดร้อน เกิดการพลัดถิ่นโยกย้าย และเกิดโศกนาฏกรรมไปทุกหัวระแหง
เหมือนเช่นเมื่อห้าปีก่อนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ การแก้ปัญหาเป็นไปด้วยความยากลำบาก จากราชสำนักส่งทูตไปถึงสามคน สองคนจมน้ำตาย ส่วนอีกคนหนีกลับมายังเมืองหลวง แม้ว่าจะเก็บชีวิตของตนเอาไว้ได้ แต่อนาคตของเขากลับดับวูบไป
ด้วยเพราะมีความเดือดร้อนเกิดขึ้นกับราษฎรเป็นส่วนมาก ผู้เกี่ยวข้องหลายคนจึงถูกลงโทษอย่างรุนแรง จึงไม่มีใครอยากจับต้องงานนี้ด้วยกันทั้งนั้นเพราะเกรงว่าตนจะกลายเป็นมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดไปด้วย
“ฝ่าบาท ในใจของกระหม่อมมีผู้ที่เหมาะสมกับงานนี้พ่ะยะค่ะ” รุ่ยอ๋องกล่าวขึ้น
ฮ่องเต้มองจ้าวชู
“ใครหรือ?” จ้าวชูเหลือบมองเว่ยฉิง กู้หวนเนี่ยนแปลกใจการมองของจ้าวชู เว่ยฉิงก้มหน้าราวกับไม่รับรู้การมองของจ้าวชู
“กระหม่อมคิดว่าอู่ชื่อหลางแห่งกรมอาญาน่าจะมีความเหมาะสม กระหม่อมรู้จักเขามานานแล้ว อู่ชื่อหลางเป็นผู้ที่มีความสามารถและมีความเฉลียวฉลาดปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ เขาน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวชูชมเชยเว่ยฉิงอย่างใหญ่โต
เรื่องเช่นนี้เมื่อคนหนึ่งพูดก็ย่อมมีคนออกมาสนับสนุนเพราะไม่มีใครอยากอาสาทำนั่นเอง
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สองสามคนรีบออกมาชื่นชมอย่างทันควันว่าเว่ยฉิงช่างเหมาะสมกับงานนี้มากแค่ไหน ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นไม่เคยพูดกับเขาเลยด้วยซ้ำ
“อู่อ้ายชิง?” ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจวตรัสออกมาอย่างหลากพระทัย ขุนนางมีมากมาย เขาย่อมจำไม่ได้ว่าอู่ชื่อหลางผู้นี้เป็นใคร
เว่ยฉิงเดินเข้าไปที่กลางท้องพระโรงก้มลงคำนับด้วยความเคารพ
“ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรดูชายผู้นั้น เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ทูตที่ต้องเข้าไปดูแลน้ำท่วมในครั้งนี้เขาย่อมต้องการขุนนางที่แข็งแรงเพื่อที่จะได้ไม่ล้มป่วยเสียก่อนที่จะถึงอี้โจว
“อู่อ้ายชิง ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นราชทูตประจำเมืองอี้โจวเพื่อแก้ไขปัญหาจากน้ำท่วม หากเจ้ามีความสามารถแก้ปัญหาได้ดี ข้าจะมีบำเหน็จรางวัลให้แก่เจ้ามากมาย”
เว่ยฉิงกุมมือรับคำอย่างสำรวม
“พะย่ะค่ะ” มุมปากของจ้าวชูโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
กู้หวนเนี่ยนยิ่งขมวดคิ้วแน่นมากขึ้น
ในที่สุดการประชุมก็สิ้นสุดลง
บรรดาขุนนางได้ทยอยพากันออกไป
เว่ยฉิงเดินไปที่ประตูไท่เหอ กู้หวนเนี่ยนเดินมายืนเคียงข้างเขาเอ่ยว่า
“ภารกิจนี้ยากที่จะทำสำเร็จ เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เว่ยฉิงดูสงบนิ่ง
“ในเมื่อได้รับมอบหมายมาก็ต้องจัดการให้ดี” กู้หวนเนี่ยนขมวดคิ้ว ในเมื่อเป็นโองการของฝ่าบาท เว่ยฉิงจึงได้รับพระราชโองการเท่านั้น แต่รุ่ยอ๋องนี่สิ! ไม่รู้เกิดผิดใจขุ่นเคืองอะไรกับน้องเขยของเขาถึงได้มอบภารกิจที่ไร้ค่าเช่นนี้ให้เว่ยฉิง!
…………
วังของรุ่ยอ๋อง
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงได้ส่งเรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วมไปให้อู่ชื่อหลางเล่า?” หวังหมิ่นไฉ่ถามขึ้นมา
แม้ว่าหวังหมิ่นไฉ่ผู้นี้จะเป็นท่านลุงของเขาก็ตามแต่จ้าวชูคิดว่าคนผู้นี้ไม่ค่อยฉลาดนัก แม้จะอยู่ในสภาขุนนางแต่ก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก ตัวเขาต้องดิ้นรนทำหลายอย่างด้วยตัวเองมากกว่าจะหวังพึ่งลุงของเขา
“ทำไมละ? ข้าไม่ชอบคนผู้นี้”
“แต่ถ้าครั้งนี้เขาทำงานได้ประสบความสำเร็จ โส่วฝู่จะชื่นชมเขา แม้แต่ฝ่าบาทก็จะจดจำเขาได้เช่นกัน เขามิทะยานขึ้นฟ้าไปเลยหรือ?”
หวังหมิ่นไฉ่อดที่จะแย้งขึ้นมาไม่ได้ ที่จริงแล้วอู่ชื่อหลางผู้นี้เป็นที่นิยมชมชอบของโส่วฝู่ไม่น้อย เนื่องจากท่านเจ้าคณะมณฑลเมืองชิงเหอ ใต้เท้าเหวินได้ยกย่องชมเชยเขามาทางจดหมายให้โส่วฟูผู้เป็นอาจารย์ของเขาอยู่บ่อยครั้ง
“ท่านคิดว่าเรื่องนี้เขาจะจัดการได้ดีหรือ?” ว่าแล้วจ้าวชูก็พูดต่อว่า
“ท่านลุงรู้หรือไม่ว่า น้ำท่วมน่ากลัวมากเพียงไหน มันเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจใช้กำลังคนต้านทานได้ เมื่อห้าปีที่แล้วใต้เท้าซ่งเป็นขุนนางที่มีประสบการณ์ในการควบคุมดูแลอุทกภัย เขายังเสียชีวิตในน้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้นเลย”
“ราชสำนักส่งทูตไปที่นั่นเพื่อต้องการจะให้คำอธิบายกับราษฎรว่าราชสำนักรับรู้ความเดือดร้อนของราษฎร แต่ทูตที่ราชสำนักส่งไปเปรียบเสมือนเป็นตัวหมากที่ถูกโยนออกไปเท่านั้น หากเขาตายไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ตาย เขาจะโดนข้อกล่าวหาว่าควบคุมดูแลไม่ได้ดี อนาคตคงจะพังพินาศไปนั่นแหละ”
การเคลื่อนไหวของจ้าวชูในครั้งนี้นับว่าโหดร้ายยิ่งนัก เท่ากับผลักให้อู่ชี่อหลางผู้นั้นอยู่ในสภาพที่จนตรอกสิ้นหวัง แต่ลุงของเขากลับไม่เห็นและกังวลในสิ่งที่ไม่สมควร
ในที่สุดหวังหมิ่นไฉ่ก็เข้าใจ เขารีบพูดว่า
“ท่านอ๋องช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก”
…….
จวนอู่โหว
เว่ยฉิงกลับไปที่จวน เขาเล่าให้ถังหลี่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในท้องพระโรงวันนี้
“น้ำท่วมในอี้โจวหรือ?” ถังหลี่ถาม
“ใช่ จ้าวชูเสนอข้าแก่ฮ่องเต้” ถังหลี่หลับตาพยายามคิดถึงข้อมูลน้ำท่วมในอี้โจว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นางย่อมคุ้นเคยกับอาณาเขตของต้าโจวเป็นอย่างดี
มณฑลอี้โจวตั้งอยู่ที่แยกระหว่างทิศเหนือกับทิศใต้ เป็นเขตที่เจริญรุ่งเรือง แต่เป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมบ่อยครั้งเพราะมีแม่น้ำใหญ่สองสายมาบรรจบกัน เมื่อฝนตกหนักจะเกิดน้ำท่วมขึ้นเสมอ
ในนวนิยายดั้งเดิม น้ำท่วมจะสร้างปัญหาให้กับแคว้นต้าโจวมานานหลายปี แต่สุดท้ายแล้วกู้อิ๋นและจ้าวชูตัวละครเอกของเรื่องนี้จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา หลังจากได้ทำงานหนักเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งสองคนได้สร้างชื่อเสียงและเป็นที่รักใคร่ต่อราษฎรทั่วไปเป็นอย่างมาก
แต่เรื่องน้ำท่วมกลับตกมาอยู่ในมือของเว่ยฉิงแล้ว ขนาดกู้อิ๋นและจ้าวชูซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง พวกเขายังใช้เวลาหลายปีกว่าจะแก้ปัญหาได้ จ้าวชูโยนเรื่องนี้ให้เว่ยฉิงด้วยเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด
“ข้ารู้” เว่ยฉิงยอมรับ
ถังหลี่มองใบหน้าที่หล่อเหลาของสามี สีหน้าเขาสงบนิ่ง
“สามี ท่านไม่ใช่แค่ไม่อาจฝืนรับพระบรมราชโองการได้ แต่ท่านยังมีแผนสำหรับตัวท่านเองด้วย?”
เว่ยฉิงอดยิ้มออกมาไม่ได้ คนที่เข้าใจเขาดีที่สุดคือภรรยาของเขานั่นเอง กู้หวนเนี่ยนคิดว่าเป็นเพราะฮ่องเต้เขาจึงต้องยอมรับงานนี้ แต่ที่จริงแล้วเขามีแผนของตนเองอยู่
“สามีท่านอยากใช้งานนี้เพื่อหาโอกาสให้กับตัวเองสินะ”
ที่ี่เรียกว่ายิ่งเสี่ยงผลตอบแทนยิ่งสูง สามีของนางอยากฉวยโอกาสนี้เพื่อคิดเลื่อนตำแหน่งให้ตนเอง
……………..