บทที่ 451 เจ้าคณะมณฑลหลู่ผู้เสแสร้ง
ครึ่งเดือนต่อมา รถม้าก็แล่นเข้าสู่เมืองอี้โจว ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทามีฝนโปรยปรายลงมา
“นายท่านขออะไรให้ข้ากินหน่อยได้ไหม”
“ข้าจะอดตายอยู่แล้ว ได้โปรดเถิด”
มีผู้คนสองสามคนนั่งอยู่ที่ริมถนน พวกเขามีใบหน้าเหลือง ผอมซูบซีด เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั้งสองคนเป็นหญิงสาวที่กำลังอุ้มลูกอย่างสิ้นหวัง เมื่อพวกเขาเห็นรถม้าแล่นผ่านก็รีบคุกเข่าและร้องขอทันที หวังเพียงว่าจะได้อาหารสักคำสองคำเท่านั้น
อย่างไรก็ตามรถม้าส่วนใหญ่ต่างหลีกเลี่ยงพวกเขาราวกับเห็นโรคระบาด
“หยุดก่อน” ถังหลี่ร้องบอกคนขับรถม้า
นางหยิบหมั่นโถวแล้วกระโดดลงจากรถม้า เว่ยฉิงตามลงไปด้วย เขากางร่มให้นาง คนเหล่านั้นมองถังหลี่ด้วยดวงตาคาดหวัง เมื่อหญิงสาวยื่นหมั่นโถวให้พวกนางจึงเกิดความปีติยินดีขึ้นมา
“ขอบคุณ ขอบคุณเจ้าค่ะนายหญิง”
พวกเขารับไปแล้วรีบกินทันที หากใครที่มีเด็กๆ อยู่ด้วย จะให้เด็กเล็กกินก่อน ทุกคนต่างหิวโซ
“พวกเจ้ามาจากไหนหรือ?” ถังหลี่ถาม
“เมืองเหอกู่เจ้าค่ะ หมู่บ้านเหอกู่ จากเมืองเหอกู่”
หมู่บ้านเหอกู่…
ถังหลี่มองไปที่เว่ยฉิง เมืองเหอกู่เป็นที่บรรจบกันของแม่น้ำอี้และแม่น้ำลั่ว เป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด
“ตอนนี้สถานการณ์ที่เมืองเหอกู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“น้ำท่วมหมดแล้วเจ้าค่ะ ทั้งนาข้าว บ้านเรือน ถูกน้ำท่วมจนหมด พวกเราไม่มีเวลาแม้แต่จะเก็บของ ต้องหนีอย่างเดียว” สตรีผู้หนึ่งพูดพลางน้ำตาไหล
พวกเขาทั้งไร้ที่อยู่อาศัยและหิวโซ ช่างเป็นผู้ประสบภัยที่น่าเวทนายิ่งนัก ถังหลี่ถามถึงสถานการณ์น้ำท่วมอีกครั้ง พวกเขาพากันอพยพหนีมาเมื่อห้าวันก่อน
ห้าวันที่แล้วหมู่บ้านเหอกู่ถูกน้ำท่วมทั้งหมู่บ้าน และอีกสองหมู่บ้านใกล้เคียงก็ประสบพบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกัน ฝนตกหนักเมื่อสองสามวันก่อนทำให้ทุกอย่างแย่ลง
“สวรรค์ได้โปรดช่วยพวกข้าด้วย”
“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?” พวกเขาร้องไห้มากขึ้น
“ทางการไม่สนใจหรือ?” ถังหลี่ถาม
“คนพวกนั้นมัวแต่เสวยสุขจะมาสนใจอะไรพวกเรา”
ผู้อพยพร้องตะโกนด่าทอโวยวายขึ้น
ถังหลี่จึงได้มอบเงินและหมั่นโถวให้แก่พวกเขา บอกให้ทุกคนหาที่พัก จากนั้นจึงขึ้นรถม้าเดินทางต่อไป
นางเคยได้ยินมาว่าน้ำท่วมนั้นร้ายแรงและคร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาของตนเองแล้วจึงได้รู้ว่าผู้อพยพลี้ภัยเหล่านี้ต้องเดือดร้อน ตกระกำลำบากมากเพียงไหน
นี่เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่มาให้เห็นเท่านั้น
มีผู้คนที่ยังต้องทนทุกข์อยู่อีกมากมาย ถังหลี่รู้สึกไม่สบายใจ เว่ยฉิงกอดนางไว้ให้อ้อมแขน
“ฮูหยิน ทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อเราไปถึงที่นั่น” เว่ยฉิงพูด หญิงสาวหันไปมองหน้าสามีก่อนจะพยักหน้า
ใช่! ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
รถม้าแล่นต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึงจวนของเจ้าคณะมณฑลอี้โจว เมื่อรถม้าจอดที่หน้าจวน คนกลุ่มหนึ่งลงมาจากรถ ท้องฟ้ายังคงมีฝนโปรยปรายอยู่ทำให้เว่ยฉิงไม่รอช้าที่จะกางร่มให้ถังหลี่
“เจ้าไปรายงานท่านเจ้าคณะอำเภอว่าข้าแซ่อู่ เป็นทูตจากราชสำนักมีหน้าที่มาควบคุมดูแลสถานการณ์น้ำท่วม”
เว่ยฉิงกล่าว
บ่าวที่เฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานทันที ไม่นานนักพ่อบ้านชราก็เดินออกมา
“ใต้เท้าอู่…ท่านเดินทางมาลำบากนัก รีบเข้ามาพักก่อนเถอะขอรับ” เขาเอ่ยปากทักทาย แล้วจึงพาคณะของเว่ยฉิงเข้าไปในจวน
สาวใช้จัดที่พักให้แต่ผู้คนที่ตาม ในขณะที่เว่ยฉิงและถังหลี่มีเรือนส่วนตัวแยกต่างหาก
“ใต้เท้าเดินทางมาเหนื่อยๆ อาบน้ำพักผ่อนก่อนขอรับ ข้าจะนำอาหารมาให้พวกท่านทั้งสองรับประทาน”
ถังหลี่และเว่ยฉิงไม่ได้หยุดพักและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยระหว่างทาง พวกเขาวิตกกังวลกับสถานการณ์น้ำท่วมเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่ถังหลี่นำมาไม่ใช่เสื้อผ้าหรูหราแต่เป็นเสื้อผ้าที่สะอาดและรัดกุม เหมาะแก่การออกไปทำงาน ถังหลี่สวมเสื้อรวบผมของนางให้เรียบร้อย
ทั้งสองนั่งลงกินข้าวกัน
“เจ้าคณะมณทลอยู่ไหนหรือ?”
“ท่านเจ้าคณะกำลังเตรียมงานรับรองให้ท่านขอรับ” พ่อบ้านตอบ
“ข้าบอกแล้วไงว่าการดูแลสถานการณ์น้ำท่วมสำคัญกว่าการเลี้ยงรับรอง” เว่ยฉิงขมวดคิ้วพูดออกมาอย่างมีโทสะ
พ่อบ้านแสดงท่าทีหนักใจ เขาไม่คิดว่าทูตจากราชสำนักจะมีบุคลิกที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้
เว่ยฉิงใช้สายตาเย็นชากดดันเขา ทำให้พ่อบ้านหดคออย่างตกใจ
“บ่าวจะรีบไปบอกนายท่านขอรับ”
เว่ยฉิงและถังหลี่นั่งรอในห้อง
“เจ้าคณะมณฑลอี้โจวผู้นี้แซ่หลู่เขาอยู่ในตำแหน่งมาสิบปีแล้ว” เว่ยฉิงกล่าว
“เมื่อห้าปีก่อนเกิดหายนะเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากถูกตัดสินลงโทษแต่ใต้เท้าหลู่ยังคงอยู่สุขสบายดีอยู่ใช่ไหม?” เมื่อถังหลี่ถามจบเว่ยฉิงรีบพยักหน้าทันที
“คนแบบนี้ฉลาดแกมโกงดั่งสุนัขจิ้งจอกหรือจะเป็นเล่ห์เหลี่ยมของคนในราชสำนักกันแน่”
“ทั้งสองอย่าง” เว่ยฉิงพูด
ถังหลี่ขมวดคิ้ว คนประเภทนี้หากได้อยู่ในตำแหน่งใหญ่โต แต่กลับไม่ทำผลงานให้มีประโยชน์ จะจัดการลำบาก
“แล้วคนที่หนุนหลังเขา…”
“น่าจะเป็นจ้าวชู”
ถังหลี่และเว่ยฉิงรออยู่ในห้องพักใหญ่ พวกเขาเริ่มหมดความอดทน เว่ยฉิงใจร้อน เขาทำท่าลุกขึ้นยืนแต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนไอจากด้านนอก
“แค่กๆ แค่ก แค่ก” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับมีบ่าวรับใช้คอยพยุง
“ใต้เท้าอู่ แค่ก แค่ก” เขาพูดขึ้น
“ท่านเจ้าคณะหลู่?”
“ใช่แล้ว ข้าเอง แค่ก แค่ก แค่ก…” เขาพูดพลางไออย่างหนัก
บ่าวรับใช้รีบช่วยให้เจ้าคณะหลู่นั่งลง หลู่จวิ้นโฉ่วไอไม่หยุดใบหน้าของเขาดูซีดเซียวและอ่อนแอ
“เป็นที่อับอายแก่ใต้เท้าอู่แล้ว” ลู่จวิ้นโฉ่วกล่าว
“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาใต้เท้าของข้าวิ่งไปมาในเมืองที่ประสบภัยท่ามกลางฝนตกหนัก เขาจึงได้ล้มป่วยลงขอรับ”
“นายท่าน ท่านควรดูแลตัวเองก่อน ชาวบ้านอีกมากมายยังหวังพึ่งพาท่านอยู่นะขอรับ” พ่อบ้านกล่าว ดวงตาของบ่าวรับใช้หลายคนเป็นสีแดงด้วยความสะเทือนใจ
“ข้าไม่เป็นอะไร แค่ป่วยเล็กน้อยเท่านั้นไม่สามารถเทียบได้กับชาวบ้านที่ตกระกำลำบากพวกนั้นได้หรอก” เจ้าคณะมณฑลกล่าว
“พรุ่งนี้ข้าจะไปเมืองเหอกู่เพื่อดูว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
ถังหลี่มองดูฉากนั้น หากไม่มีข้อมูลที่ได้รับมาแต่แรก หลู่จวิ้นโฉ่วดูเหมือนขุนนางที่ดีรักราษฎรประหนึ่งลูกหลาน
“หลู่จวิ้นโฉ่วท่านไปเมืองเหอกู่มากี่วันแล้ว” เว่ยฉิงถาม
“ข้าเพิ่งกลับมาจากเมืองเหอกู่เมื่อสามวันก่อนขอรับ แค่กๆ ร่างกายของข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ แค่กแค่ก” หลู่จวิ้นโฉ่วไอพร้อมกับตอบคำถามของเว่ยฉิง
“ข้าอยู่ที่เมืองเหอกู่มาตลอด ใต้เท้าจะไปที่เหอกู่หรือ?”
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“น้ำท่วมบ้านที่อยู่ติดแม่น้ำหลายหลัง ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก ข้าไม่สบายใจมาก”
หลู่จวิ้นโฉ่วพูดดวงตาของเขาเป็นสีแดงทันที
วันนี้เป็นเวลาห้าวันแล้วที่เหอกู่ถูกน้ำท่วม แต่หลู่จวิ้นโฉ่วบอกว่าเขาอยู่ที่นั่นเมื่อสามวันก่อน มุมปากของเว่ยฉิงยกยิ้มเย้ยหยัน
“ใต้เท้าหลู่รักราษฎรเหมือนลูกหลานจริงๆ ในเมื่อเจ้าห่วงพวกเขามาก เช่นนั้นพรุ่งนี้ไปที่เหอกู่กับข้าก็แล้วกัน”