จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 496-500

ตอนที่ 496-500

บทที่ 496 : รนหาเรื่องเองชัด ๆ
  ”ตอนนี้หยานหยานกำลังพักผ่อนอยู่ผู้ใดก็ไม่อาจรบกวนนาง”
  เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นเสียงของโม่หลี่ชางน้ำเสียงของเขาที่ผ่านประตูเข้ามาฟังเหมือนจะโกรธเล็กน้อย ไป๋หยานได้ยินแล้วรู้สึกสะดุดหู
  นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ออกไปข้างนอกกัน ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
  กล่าวจบนางก็ค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ประตู
  *****
  ยามเที่ยงแสงตะวันแรงกล้าสาดส่องไปทั่วทั้งลานหน้าบ้าน
  ไป๋หยานเปิดประตูออกมาก็เห็นเด็กหนุ่มยืนขวางอยู่ด้านหน้าประตูเขาพยายามขวางคนหลายคนที่อยู่ต่อหน้าเขา
  ในบรรดาคนเหล่านั้นมีชายในอาภรณ์สีฟ้าเป็นผู้นำชายผู้นั้นสูงและหล่อเหลา นัยน์ตาแหลมคมของเขามองผ่านไปที่หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังหนุ่มน้อย
  อาจเป็นเพราะหญิงผู้นี้เพิ่งตื่นนอนนางจึงแลดูเกียจคร้าน ชุดผ้าโปร่งสีแดงของนางร้อนแรงดั่งเปลวไฟอันชั่วร้าย ทั้งยังครอบงำจิตวิญญาณของทุกผู้คน
  ”ชางชาง คนเหล่านี้มาหาข้างั้นหรือ ?” ไป๋หยานกอดอกเอนร่างพิงกรอบประตู ริมฝีปากสีแดงอ่อนยกโค้งเยาะ ๆ อันเป็นเอกลักษณ์
  นัยน์ตามักมากของชายผู้นั้นจับจ้องไป๋หยานไม่วางตาเขากวาดสายตามองนางจากหัวจรดเท้า
  เขาคิดว่าน้องสาวของเขานั้นสวยมากแล้วไม่คิดเลยว่าจะมีสตรีที่งดงามเช่นนี้อยู่ในโลก
  หญิงผู้นี้หากจะเปรียบเป็นแจกัน ก็คงมีชายจำนวนมากยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อนำนางกลับบ้าน
  ต่อให้ทำได้แค่มองอย่างชื่นชมก็ยังยินดี
  ชายผู้นั้นกลืนน้ำลายอย่างแรงก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าคือผู้ที่เข้ามาครอบครองเรือนของน้องสาวข้างั้นหรือ ?”
  ไป๋หยานสังเกตเห็นความลามกในแววตาของชายคนนั้นพลันรอยยิ้มบนริมฝีปากของนางก็เย็นชาลง “แล้วไง ?”
  ”ฮ่าฮ่าฮ่า”เย่หมิงหัวเราะอย่างชั่วช้า “เจ้าทำให้น้องสาวของข้าขุ่นเคือง เจ้าคิดว่าเจ้าจะอยู่ในสำนักเวชโอสถของเราได้งั้นหรือ ? ทว่า … หากเจ้าเต็มใจที่จะรับใช้ข้า บางทีข้าอาจจะยอมยื่นมือช่วยเจ้า”
  เหวินหรู่ที่เพิ่งได้ยินเสียงวุ่นวายพลันลืมตาขึ้นทันที ใบหน้าขาวซีดของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
  บ้าจริง!
  คนในสำนักเวชโอสถนี้คงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ !
  เย่หยิงก็บ้าอาวุโสซูฮงนั่นก็บ้า
  ส่วนเย่หมิงนี่ก็บ้าชักจะทำเกินไปแล้ว !
  คนพวกนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางอยู่ระดับใด นางเป็นหมอปรุงยาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสทั้งสามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ !
  เขากล้าเรียกนางไปรับใช้เขาได้ยังไง?
  สวรรค์ขนาดองค์หญิงน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่กล้าให้ไป๋หยานไปรับใช้นางเลย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าฐานะญาติของสำนักเวชโอสถยิ่งใหญ่เพียงใด ถึงได้ยโสโอหังเพียงนี้ ?
  ทว่าเย่หมิงก็ยังไม่รู้เรื่องเขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
  ”เย่หยิงอย่างไรเสียก็เป็นเพียงหลานสาว แน่นอนว่าท่านย่าของข้าต้องรักข้ามากที่สุด ตราบใดที่เจ้าเป็นอนุของข้า ข้าสัญญาว่านางจะไม่กล้าแตะต้องเจ้าแน่ !”
  นัยน์ตาของไป๋หยานหรี่ลงเล็กน้อยนางปล่อยมือไป๋เสี่ยวเฉิน ก่อนจะเอ่ยปากว่า “เสี่ยวมี่…ช่วยข้าดูแลเฉินเอ๋อหน่อย” นางกล่าว
  ”เหมียว”
  เสี่ยวมี่ร้องราวกับเข้าใจในคำพูดของไป๋หยาน
  ไป๋หยานก้าวไปข้างหน้าสองก้าวนางยิ้ม ขณะชี้นิ้วไปที่เย่หมิง “เจ้ามานี่”
  ”ฮ่าฮ่าฮ่าแม่นางไป๋เป็นคนฉลาดจริง ๆ เจ้ารู้ดีว่าควรเลือกสิ่งไหน สิ่งไหนดีที่สุดสำหรับเจ้า”
  เย่หมิงหัวเราะร่าเขาไม่คิดระแวงแต่อย่างใด จึงก้าวเข้าไปหาไป๋หยานพร้อมกับรอยยิ้ม
  ”ไป๋หยานคืนนี้ … ”
  ปัง
  ทันใดนั้นเองความเย็นชาก็แผ่ครอบคลุมนัยน์ตาของนาง นางยกขาขึ้นเตะไปที่หว่างขาทั้งสองของเย่หมิง
  ”อ๊าค!”
  เสียงร้องปานจะขาดใจดังก้องไปทั่วท้องฟ้าส่งผลให้นก และสัตว์ตัวอื่น ๆ พากันแตกฮือ
  เย่หมิงไม่สามารถแม้แต่จะยืนทรงตัวอยู่ได้มือของเขาเกาะกุมส่วนล่างของร่างกายแน่น เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผาก ใบหน้าของเขาซีดไร้สีเลือด นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทั้งยังแลดูโหดร้าย เขากัดฟันอย่างแรง ขณะเปล่งเสียงออกมา
  ***จบบทรนหาเรื่องเองชัด ๆ***

บทที่ 497 : ตบมือข้างเดียว
  ”ใครก็ได้จับหญิงผู้นี้ให้ข้าที!”
  นังชั่ว! กล้าทำร้ายข้า ข้าจะต้องทำให้นังสารเลวนี่เสียใจที่ทำเช่นนี้กับข้า !
  ในใจของเย่หมิงโกรธมากกว่าเจ็บปวดหากเขาไม่ฉีกหญิงผู้นี้ออกเป็นชิ้น ๆ สาบานได้ว่า เขาจะไม่ขอเป็นลูกผู้ชาย !
  คนของเขาทั้งหมดต่างก็กรูกันเข้าหาไป๋หยานพวกเขาตรงเข้าโอบล้อมนางพร้อมด้วยดาบยาว ๆ
  ยามนี้ไป๋หยานยืนอยู่กลางวงล้อม อาภรณ์สีแดงยิ่งส่งให้นางแลดูงดงาม นางจิกปากยิ้มน้อย ๆ นัยน์ตาดำขลับมองผู้คนที่รายล้อมรอบกาย
  ครั้นคนพวกนั้นเห็นท่าทางของนางพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น มือของพวกเขาก็สั่น กระทั่งแทบจะไม่สามารถถือดาบไว้ได้
  ”พวกเจ้ายังมัวทำอะไรอยู่รีบจับหญิงผู้นี้ให้ข้าสิ !”
  เย่หมิงโกรธจนแทบกระโดดเขาไม่สนใจว่านางเป็นหมอปรุงยา ! เขารู้เพียงว่าหญิงผู้นี้ทำร้ายเขา และเขาจะไม่ยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ !
  “เสี่ยวมี่เอาม้านั่งมาให้ข้า ข้าจะนั่งดูหม่ามี้จัดการคนเลวพวกนี้”
  ไป๋เสี่ยวเฉินนั่งลงบนพื้นพลางหยิบขวดเคลือบออกมาจากถุงเก็บของ พลางมองคนใกล้ตายเหล่านั้น พร้อมกับเคี้ยวขนมหวานในมือ
  เหวินหรู่กวาดตามองไป๋เสี่ยวเฉินเขาถึงกับชะงักงัน
  เจ้าแกะดำคนนี้! กล้ากินยาอายุวัฒนะเป็นขนม ! นี่ไม่กลัวว่าจะกินยาเกินขนาดบ้างเลยหรือ ?
  ครั้นเห็นว่าไป๋เสี่ยวเฉินป้อนเม็ดยาเข้าปากตนทีละเม็ดๆ เหวินหรู่ก็กระทืบเท้ารัว ๆ ท่าทางเช่นนี้ หากผู้ใดได้เห็นก็คงต้องคิดว่าเมียของเขาหนีตามชู้ไปเป็นแน่
  แน่นอนว่าหากเขามีเมียน่ะนะ
  ”พี่สาว!”
  ทันใดนั้นเองไป๋เสี่ยวเฉินก็เอี้ยวคอเขาเห็นตี้เสี่ยวอวิ๋น และสาวอีกสองคน เดินเข้ามาจากอีกฟากหนึ่งของลานบ้าน นัยน์ตากลมโตของเขาเปล่งประกายแวววาว
  ณเวลานี้
  การเคลื่อนไหวของไป๋หยานพลันหยุดลงนางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นร่างของเด็กสาวทั้งสามก็ปรากฏเต็มตาเบื้องหน้านาง
  ตี้เสี่ยวอวิ๋นฉู่อีอี้ หลานเสี่ยวหยุน…
  เกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวทั้งสาม?
  หนึ่งในคนของเย่หมิงครั้นเห็นไป๋หยานวอกแวก แววตาของเขาพลันเปล่งประกาย เขารวบรวมความกล้าหาญ พุ่งเข้าหานางพร้อมด้วยดาบในมือ
  แววตาของเขาส่องประกายรุนแรงเขาฟาดดาบลงมา หมายฟันศีรษะของไป๋หยาน
  ทว่า…
  ราวกับสตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขามีตาด้านหลังทันทีที่เขาพุ่งดาบเข้าหา นางก็ยกมือขึ้น จากนั้นก็ปล่อยพลังเข้าใส่ผู้จู่โจมทันที
  การเคลื่อนไหวของนางนั้นแผ่วพริ้วพอๆ กับการตบแมลงวัน
  อย่างไรก็ตาม…
  ภายใต้การตบเบาๆ นั้นเกิดเสียงดังเปรี้ยง ชายหนุ่มผู้ถูกโจมตีร่างลอยละลิ่ว เขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
  เพียงอึดใจชายผู้นั้นก็ตกลงบนพื้น ก่อให้เกิดหลุมลึกราวสกัดเป็นร่องรอยรูปร่างมนุษย์
  คนของเย่หมิงต่างกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบากพวกเขามองหญิงสาวที่ยังคงยืนยิ้ม ชั่วครู่หนึ่งความตื่นตระหนกก็แพร่กระจายในหัวใจของพวกเขา
  นางปีศาจ!
  หญิงผู้นี้เป็นปีศาจชัดๆ นางน่ากลัวมาก !
  “กะแค่ผู้หญิงคนเดียวพวกเจ้า ?” เย่หมิงลืมความเจ็บปวด เขามองกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินหลบออกมาต่อหน้าต่อตาเขาด้วยแววตาที่โง่งม ใบหน้าของเขาซีดจนขาว
  ที่สุดไป๋หยานก็ละสายตาจากฉู่อีอี้และบรรดาสาว ๆ หันมาเอ่ยกล่าวว่า “เจ้าส่งคนมาขุด น่าที่จะต้องขุดลงไปสักประมาณร้อยจ้าง ก็คงจะนำร่างของเขาขึ้นมาได้”
  ร้อย… ร้อยจ้าง
  เย่หมิงก้าวถอยหลังหลายก้าวโดยไม่รู้ตัวเขาพยายามเว้นระยะห่างจากไป๋หยาน แววตาของเขาราวกับกำลังมองปีศาจสาว ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
  ”เย่หยิงขอให้ข้ามาหาเจ้านี่มิใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย นางบอกว่าเจ้าช่วงชิงผู้ชายของนาง ซ้ำยังบอกอีกว่าเจ้าเป็นเพียงศิษย์ปลายแถวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าที่นี่คือสำนักเวชโอสถ”
  ***จบบทตบมือข้างเดียว***

บทที่ 498 : กลัวจนก้าวขาไม่ออก (1)
  ตี้เสี่ยวอวิ๋นและคนอื่นในที่นั้นต่างก็ได้ยินคำกล่าวของเย่หมิง พลันใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างพร้อมเพรียง
  ”แม่นางไป๋”เย่หมิงกล่าวต่อด้วยใบหน้าซีดและเจ็บปวด “ไป๋จั่นเผิงไม่มีบุตร ไม่ช้าก็เร็วญาติสนิทอย่างข้าย่อมต้องได้รับช่วงเป็นผู้สืบทอดสำนักเวชโอสถอย่างแน่นอน นอกจากนี้ข้าเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้ากล้าขัดใจข้า ข้าจะทำให้เจ้าไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ! ”
  ไป๋หยานเลิกคิ้วขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางหันไปมองฉู่อีอี้ นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยประกายล้อเลียน
  “โอ๊ะ! เจ้ามีสายสัมพันธ์อันดีกับคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย”
  ”ใช่”เย่หมิงกล่าวตามความจริง “ท่านย่าของข้าบอกว่า วันหน้าองค์หญิงน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมาเป็นภรรยาของข้า ข้ามิได้เป็นเพียงผู้สืบทอดสำนักเวชโอสถเท่านั้น ทว่ายังเป็นลูกเขยของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย หากเจ้าทำให้ข้าขุ่นเคือง เจ้าย่อมจะไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข”
  ผู้ใดใช้ให้ไม่มีคนของสำนักเวชโอสถในลานนี้เลยล่ะ เมื่อไม่มีก็ย่อมไม่มีผู้ใดไปฟ้องบรรดาผู้อาวุโสว่าเขาพูดอะไรออกไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เขาคุยโม้ไร้สาระเช่นนี้กับไป๋หยาน !
  แน่นอนว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไป๋หยานไม่ยอมให้คนของสำนักเวชโอสถเข้ามาใกล้ลานบ้าน ส่วนผู้ที่ติดตามเย่หมิงมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้คุ้มกันของตระกูลเย่ เช่นนั้นเขาจึงกล้าที่จะคุยโวเช่นนี้
  ท้ายที่สุดเขาก็รู้ตัวว่าเขาโง่มากเมื่อได้รู้ว่าผลที่ตามมาคืออะไร
  ขณะที่ความมั่นใจในตนเองของเย่หมิงพุ่งกระฉูดร่างหนึ่งพลันวิ่งพรวดมาจากด้านหลังราวสายลมพัด จากนั้นก็ถีบเข้าที่กลางหลังของเย่หมิงอย่างแรง
  เย่หมิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นร่างของเขาปลิวทันที นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อมองย้อนกลับมาดู ใบหน้าที่งดงามทว่าแดงก่ำพลันปรากฏแก่สายตา
  ปัง!
  ร่างของเย่หมิงกระแทกเข้ากับผนังพร้อมเสียงดังสนั่น ก่อนจะรูดไถลลงมาช้าๆ เขาไม่สามารถขยับตัวได้ครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาพลันบิดเบี้ยวและดุดัน
  ”นายน้อย!”
  ผู้คุ้มกันของตระกูลเย่ตกตะลึงต่างก็รีบเข้ามาช่วยเย่หมิง
  เย่หมิงไอออกมาสองครั้งก่อนจะกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ เขาใช้มือเช็ดเลือดที่มุมปาก เขาไม่พอใจอย่างรุนแรง แววตาของเขาราวมีดสั้นอาบยาพิษ เขาจ้องมองหญิงสาวในชุดสีเหลืองเขม็ง
  ”นังแพศยาเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโจมตีข้า ?”
  ฉู่อีอี้เชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ”ข้าไม่เพียงจะทุบตีเจ้า ทว่าข้าจะทำให้เจ้าพิการเลยทีเดียว !”
  ”เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ยข้าเป็นถึงผู้สืบทอดสำนักเวชโอสถ เจ้ากล้าต่อสู้กับข้างั้นหรือ ? ผู้ใหญ่ของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือไรว่า ผู้ใดที่เจ้าไม่ควรทำให้ขุ่นเคือง ?”
  เย่หมิงกำหมัดแน่น
  กับไป๋หยานนั้นความแข็งแกร่งของนางทำให้เขาตกใจ กระทั่งไม่กล้าลงมือทำอะไร
  ทว่าเด็กสาวผู้นี้กล้าหยิ่งผยองเช่นเดียวกับไป๋หยานได้เยี่ยงไร?
  ในขณะที่ใจของเย่หมิงกำลังเดือดปุดๆ จู่ ๆ เสียง ๆ หนึ่งพลันดังขึ้นจากข้างหลัง “เดี๋ยว ขอข้าพูดอะไรบ้างจะได้หรือไม่ ?”
  เย่หมิงหันศีรษะกลับมามองด้วยความโกรธเขาอยากจ้องหน้าไป๋หยาน ทว่าเขาสัมผัสได้กับอายเย็นยะเยือกไม่รู้จบสิ้นในแววตาของนาง เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ทั้งไม่กล้าสบตานางอีกเลย
  “เอ่อ…”ไป๋หยานลูบคางพลางยิ้ม “ก็เจ้าเพิ่งบอกเองว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นของนางนี่ใช่หรือไม่ล่ะ ? ในเมื่อเจ้าเป็นคู่หมั้นของนาง เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่รู้จักคู่หมั้นของตนเองล่ะ ?”
  ”เจ้ากำลังพูดเรื่องใด? ข้าจะเป็นคู่หมั้นของเด็กสาวคนนี้ได้อย่างไร ? ข้าต้องแต่งงานกับ … ”
  เย่หมิงยิ้มเยาะที่มุมปากทว่ากล่าวยังไม่ทันจบ เขาก็รู้สึกตัว นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างแทบจะถลนออกมา
  ”เจ้า… เจ้าก็คือองค์หญิงน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ ? ไม่…ไม่มีทางเจ้าโกหก ! ข้าไม่เชื่อ !”
  ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นซีดขาวจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงนึกหลอกตนเอง
  ***จบบทกลัวจนก้าวขาไม่ออก (1)***

บทที่ 499 : กลัวจนก้าวขาไม่ออก (2)
  ตี้เสี่ยวอวิ๋นก้าวช้าๆ ไปยืนข้างกายไป๋หยาน นางเชิดคางขึ้นขณะกดสายตาลงมองเย่หมิงผู้ซึ่งอยู่เบื้องหน้านาง
  ”พี่สะใภ้ของข้ามีผู้ชายดีๆ อย่างพี่ชายของข้าอยู่แล้ว เหตุใดนางยังจะต้องช่วงชิงผู้ชายของคนอื่น ? อีกอย่างต้องเป็นอสูรร้ายที่ไร้ยางอายเท่านั้นจึงจะสามารถล่อลวงหัวใจพี่สะใภ้ของข้าได้ น้องสาวของเจ้าก็แค่อกหัก นางเพียงต้องการใส่ร้ายพี่สะใภ้ของข้าก็เท่านั้น ! ”
  ไป๋หยานชำเลืองมองตี้เสี่ยวอวิ๋นก่อนจะเอ่ยกล่าวว่า “เจ้าว่าพี่ชายของเจ้าเป็นอสูรร้ายที่ไร้ยางอายกระนั้นหรือ ? ”
  ทันใดนั้นคางของตี้เสี่ยวอวิ๋นที่เชิดอยู่ก็ลดลงใบหน้าที่ภาคภูมิใจของนางเปลี่ยนเป็นสีขาว ลำคอของนางแข็งเกร็ง ขณะหันไปมองไป๋หยาน พลางส่งยิ้มแหย ๆ แลดูไร้อำนาจ
  “พี่สะใภ้…เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะข้าไม่ได้ว่าพี่ชายของข้าว่าเป็นอสูรร้ายที่ไร้ยางอายแน่ ๆ ”
  นางไม่ได้พูดไม่ได้พูดอย่างแน่นอนเลย
  ไป๋หยานยิ้มพลางพยักหน้า”พี่ชายของเจ้าหาใช่อสูรร้ายไม่ หากแต่เป็นหมาจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ ทั้งแสนกลและร้ายกาจอีกต่างหาก”
  ตี้เสี่ยวอวิ๋นเกือบจะร้องไห้ด้วยความตกใจพี่สะใภ้รู้ได้อย่างไรว่าผู้ที่นางกำลังพูดถึงก็คือพี่ชายของนาง ?
  ทันใดนั้นนางก็หันไปจ้องเย่หมิง
  ”ไอ้สารเลวเอ๊ย! หากมิใช่เป็นเพราะเจ้า ข้าคงไม่เผลอว่าพี่ชายของข้า ! บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ ว่านังแพศยาที่ต้องการช่วงชิงพี่ชายของข้าคือใคร !”
  ร่างของเย่หมิงสั่นเทาเขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะกลับหลังหัน เขาต้องการที่จะวิ่งหนี ทว่าฉู่อีอี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นางคว้าเสื้อของเขาพร้อมกับยิ้ม
  ”จะหนีงั้นหรือ? แรกเริ่มเจ้ากลั่นแกล้งไป๋หยาน เมื่อครู่ก็ยังกล้าตู่ว่าเป็นคู่หมั้นของข้า หากข้าปล่อยเจ้าไป ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ?”
  ”พี่สาวฉู่”
  ไป๋เสี่ยวเฉินเช็ดปากก่อนจะโยนขวดยาทิ้ง เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เมื่อครู่นี้ ไอ้คนชั่วนี่บอกว่า เขาจะให้หม่ามี้ของข้าไปรับใช้เขา ในเมื่อหม่ามี้ของข้าเป็นเพียงศิษย์ปลายแถวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขารับนางเป็นอนุก็นับว่าดีแล้ว”
  ขวับ!
  หลังจากเสียงเบาๆ ของเจ้าซาลาเปาน้อยจบลง ดวงตาหลายคู่ที่วาบวับราวกับดาบคมพลันตกลงบนร่างของเย่หมิงเป็นจุดเดียว ราวกับว่าพวกเขาอยากจะฉีกชายผู้นี้ออกเป็นชิ้น ๆ
  “เสี่ยวอวิ๋นเราจะปล่อยไอ้สารเลวนี่ไปงั้นหรือ ?” ฉู่อีอี้เชิดคางขึ้น ทันใดนั้นเองดาบยาวพลันปรากฏขึ้นในมือของนาง นางวางดาบพาดลงบนคอของ เย่หมิงทันที
  ”ปล่อยเขา?” ตี้เสี่ยวอวิ๋นหันหลังให้ขณะกล่าว “หากพวกเราลงมือในตอนนี้มือของพวกเราก็จะสกปรกเสียเปล่า ๆ ไว้เราไปจากที่นี่เมื่อไหร่ เราค่อยจับตัวไอ้สารเลวนี่ไปพร้อมกับเรา จากนั้นก็โยนมันไว้ในป่าสัตว์อสูรให้พวกสัตว์อสูรจัดการ”
  ”ที่เสี่ยวอวิ๋นพูดมาก็มีเหตุผล”หลานเสี่ยวหยุนพยักหน้าอย่างจริงจัง “นอกจากนี้ เรายังต้องการให้มันนำทางไปหาคนที่ชื่อเย่หยิง ข้าต้องการพบผู้ที่กล้าใส่ร้ายพี่สาวข้า”
  ”ดี!”
  ฉู่อีอี้โยนเย่หมิงลงกับพื้นจากนั้นนางก็เหยียบข้อมือของเขา พร้อมกล่าววาจาข่มขู่ “ยังไม่รีบพาพวกเราไปพบเย่หยิงอีก ! กล้ารังแกแม้กระทั่งไป๋หยาน รนหาที่ตายชัด ๆ !”
  *****
  บริเวณลานบ้านซึ่งเต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกจู่ ๆ ก็เงียบสงบลง
  ไป๋เสี่ยวเฉินมองสามสาวที่กำลังสนใจแต่เย่หมิงท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจ
  ”พวกท่านไม่สนใจข้าบ้างเลยหม่ามี้… พวกนางจะไปหาหญิงสารเลวนั่นเพื่อชำระหนี้แค้น ทว่าพวกนางกลับลืมข้า”
  “อืม”ไป๋หยานกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าจะตามไปดูก็ได้ แม่อนุญาต อย่างไรเสียก็ยังมีเสี่ยวหยุนอยู่ด้วย”
  ในบรรดาสามสาวหลานเสี่ยวหยุนเรียกได้ว่าปกติที่สุด ส่วนอีกสองสาวคนหนึ่งก็เป็นแม่มดน้อย ส่วนอีกคนก็สวยแต่โง่ นางไม่มีวันวางใจหากจะปล่อยให้เฉินเอ๋อไปกับหญิงสาวทั้งสองตามลำพัง
  ”จริงหรือ?” นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินสดใส รอยยิ้มของเขาสว่างไสวราวกับแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ “เฉินเอ๋อรักหม่ามี้ที่สุดเลย เสี่ยวมี่เราไปกันเถอะ”
  ***จบบทกลัวจนก้าวขาไม่ออก (2)***

บทที่ 500 : กลัวจนก้าวขาไม่ออก (3)
  ไป๋เสี่ยวเฉินดึงหางของเสี่ยวมี่ขึ้นมาก่อนจะไล่ติดตามพวกสาว ๆ ไปอย่างรวดเร็ว
  โม่หลี่ชางเม้มปากขณะยืนอย่างเงียบ ๆ ข้างกายไป๋หยานโดยไม่กล่าวคำใด เขาหลุบตาลงเล็กน้อย เห็นชัดว่าแววตาของเขาเต็มไปด้วยข้อสงสัย ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดบางอย่าง
  เหวินหรู่รีบหันไปมองขวดยาที่ไป๋เสี่ยวเฉินทิ้งไว้บนพื้นอย่างเจ็บปวดแววตาของเขาไม่ต่างกับลูกสะใภ้ที่ถูกแม่สามีรังแก กระทั่งต้องนอนร่ำไห้อยู่กับพื้น ยามนี้ท่าทางของเขาก็ดูเหมือนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
  เด็กเหลือขอเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้นี่ !
  นี่มันยาอายุวัฒนะระดับหก! ระดับหกเชียวนะ เด็กนั่นกินมันหมดขวดราวกับกินขนม !
  ยาเม็ดพวกนี้สำหรับเหวินหรู่แล้วเรียกได้ว่าเลอเลิศมาก
  ”มีอะไรหรือ?”
  ครั้นไป๋หยานหันกลับมามองนางก็เห็นเหวินหรู่บรรจงหยิบขวดยาขึ้นมาจากพื้นอย่างระมัดระวัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า
  ทว่าเขาก็ไม่ได้ตอบคำถามของไป๋หยานเขาเดินกระทืบเท้าเข้าไปในห้องด้านข้างจากนั้นก็ปิดประตูอย่างแรง
  ไป๋หยานรู้สึกงงงวยไม่รู้ว่ายามนี้เขาอยู่ในอารมณ์ใด ทว่านางก็ไม่ได้สนใจนางก้าวช้า ๆ กลับไปที่ห้อง
  *****
  วิหารผู้อาวุโสเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในสำนักเวชโอสถ
  ที่นี่กลุ่มผู้อาวุโสจะใช้เป็นที่รวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือในเรื่องต่าง ๆ
  ”ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายน้อยจู่ ๆ นายน้อยก็เรียกผู้อาวุโสครึ่งหนึ่งเข้าหารือ แม้แต่งานชุมนุมหมอปรุงยาของสำนักเวชโอสถเรา นายน้อยก็ยังเพิกเฉย”
  “ใช่! โดยปกติแล้วนายน้อยจะเป็นผู้รับผิดชอบงานชุมนุม ทว่าตอนนี้เขากลับมอบหมายหน้าที่นี้ให้ซูฮง หากแต่ซูฮงก็สร้างปัญหาดันไปเชื่อถ้อยคำของเย่หยิง กระทั่งขับไล่ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ !
  ครั้นบรรดาผู้เฒ่าคิดถึงสิ่งที่เกิดภายในสองวันนี้ขึ้นมาพวกเขาต่างก็รู้สึกปวดหัวจี๊ด พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไร เนื่องจากท่านเจ้าสำนักก็ไม่ต้องการพบผู้ใด พวกเขาจึงไม่สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ในสำนักเวชโอสถโดยพลการ
  “พวกท่านทุกคนนี่นับเป็นความผิดพลาดของสำนักเวชโอสถของเรา เพราะเมื่อคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึง พวกเราก็ต้องต้อนรับเขา”
  ”หากแต่…ข้าได้ยินมาว่าศิษย์จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนนั้นไม่ได้มีสถานะสูงส่งนัก เช่นนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงไม่มาวุ่นวายกับสำนักเวชโอสถ เพราะคนผู้นั้นหรอก ยามนี้หากเราทั้งสองฝ่ายไม่ร่วมมือกัน พวกเราก็อาจเพลี่ยงพล้ำให้ตำหนักเซียนพยับหมอกได้นะ ! ”
  ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายกำลังสนทนากันถึงวิธีจัดการเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ชายในชุดเกราะก็พรวดพราดเข้ามา
  ชายผู้นี้แลดูตื่นเต้นและกระวนกระวาย นัยน์ตาของเขาแลดูว้าวุ่น ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวคำใด ผู้เฒ่าผู้ซึ่งสวมชุดสีเหลืองก็พลันทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ
  ”ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามา?”
  ผู้คุ้มกันแข้งขาอ่อนแรงกระทั่งแทบจะทรุดลงกับพื้น เขากล่าวอย่างรีบร้อนว่า “เรียนผู้อาวุโสเกิดเรื่องใหญ่แล้ว แม่มดน้อยจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงสำนักเราแล้ว”
  หา…ว่าไงนะ?
  ผู้อาวุโสต่างหันมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัวต่างก็เห็นสายตาที่หวาดกลัวของกันและกัน
  ”แม่มดน้อยมาที่นี่เกิดอะไรขึ้นกับนาง ? หรือนางจะรู้เรื่องที่ซูฮงรังแกศิษย์แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ? ปกติแล้วแม่มดน้อยไม่เคยมาเหยียบเยือนที่นี่เลยนี่ ?”
  ”ข้าไม่คิดเช่นนั้นนะข่าวยังไม่ได้แพร่ออกไป แต่หากให้นางรู้เรื่องนี้จะต้องเกิดความปั่นป่วนอย่างแน่นอน !”
  ”ต้องประณามเย่หยิง! หากเรื่องนี้เกิดเพราะนางจริง ๆ ข้าไม่มีวันปล่อยนางไว้แน่ !” ใบหน้าของผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีเหลืองแดงก่ำด้วยความโกรธ
  อาจเป็นเพราะชื่อเสียงของแม่มดน้อยทำให้ผู้อาวุโสทุกคนหวาดกลัวเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วชายชราในชุดแดงที่นั่งอยู่ตรงกลางยังคงดูสงบนิ่ง
  เขานั่งเงียบๆ มือเหี่ยว ๆ ของเขากดขาตนเองอย่างแรง เพื่อบังคับให้แข้งขาหยุดสั่น ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉยเฉกเช่นปกติ
  ”อย่าเพิ่งตกใจในเมื่อแม่มดน้อยมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็จงจัดหาเวรยามไปคอยเฝ้าคุ้มกันสถานที่สำคัญของสำนักเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลังยา เราต้องส่งคนไปเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด !”
  ***จบบทกลัวจนก้าวขาไม่ออก (3)***

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท