บทที่ 463 เถ้าแก่จินผู้ไร้ยางอาย
ฟ่านเยว่ซีมองถังหลี่อย่างกระวนกระวาย
“ตามข้ามา”
นางจับมือถังหลี่เดินไปที่โกดัง มีคนมากมายยืนรวมตัวอยู่ที่นั่น พวกเขาขมวดคิ้วปรึกษาหารือกันด้วยท่าทางเป็นกังวล
“คุณหนู!”
“คุณหนู!”
เมื่อเห็นฟ่านเยว่ซี ต่างทักทายและหลีกทางให้นางเดินเข้าไปด้านใน ตรงหน้ามีกองข้าวสารและกระสอบข้าวถูกเปิดออก
“คุณหนู ดูข้าวสิขอรับ”
ชายผู้หนึ่งหยิบข้าวสารขึ้นมาหนึ่งกำมือ สีของข้าวดูผิดปกติ มีกลิ่นอับโชยออกมาจนขึ้นจมูก
นี่เป็นข้าวที่ขึ้นราแล้ว!
“พวกเจ้าเปิดกระสอบอื่นหรือยัง?” ฟ่านเยว่ซีถาม
“เหมือนกันทั้งสองกระสอบขอรับ ”
“เปิดตรวจดูทั้งหมด” ฟ่านเยว่ซีออกคำสั่ง
“ขอรับ”
พวกเขาเริ่มเปิดถุงข้าวดูกระสอบข้าวทีละใบ พบว่าทั้งหมดล้วนขึ้นราและส่งกลิ่นเหม็นเหมือนกันหมด
คิ้วของฟ่านเยว่ซีขมวดแน่น
ถังหลี่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงดูร้อนรนเช่นนั้น
ข้าวสารเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประสบภัยอยู่รอดต่อไปได้ แต่กลับมาเกิดปัญหาใหญ่เช่นนี้…
“คุณหนู ข้าวสารห้าร้อยกระสอบขึ้นราหมดเลยเจ้าค่ะ”
“คุณหนู หากมีปัญหาเช่นนี้ พรุ่งนี้เราจะทำอย่างไรดี?”
“ใช่! พรุ่งนี้จะเอาอะไรกินกัน”
สีหน้าฟ่านเยว่ซีเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้าหากมีข้าวขึ้นราไม่กี่กระสอบ คงมองได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่นี่กลับขึ้นราทุกกระสอบเช่นนี้แสดงว่าเป็นการจงใจ มีผู้ประสบภัยรออาหารอยู่ หากไม่มีข้าวสารแล้ว พวกเขาจะกินอะไรกัน!
“ใครเป็นพ่อค้าขายข้าวสารให้เจ้า?” ถังหลี่ถาม
“เถ้าแก่จิน” ฟ่านเยว่ซีกัดฟันพูด
“ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องไปหาเขา”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
ถังหลี่และฟ่านเยว่ซีนั่งรถม้าไปถึงประตูบ้านของตระกูลจิน
คฤหาสน์ของตระกูลจินถูกสร้างขึ้นอย่างงดงาม ประตูด้านหน้าเคลือบสีทอง มีสิงโตสีทองสองตัวประดับที่ข้างประตูดูหรูหราโอ่อ่า
ฟ่านเยว่ซีเดินไปหาบ่าวรับใช้
“ข้าฟ่านเยว่ซีมาขอพบกับเจ้านายของเจ้า”
“นายท่านไม่ได้อยู่ที่นี่” เขามองเยว่ซีหัวจรดเท้า
นางกระวนกระวายรีบถามต่อว่า
“เจ้านายของเจ้าไปไหน?”
“เราเป็นแค่บ่าว ไม่อาจรับรู้เรื่องส่วนตัวของนายท่านได้” บ่าวรับใช้กล่าว
“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องการพบกับพ่อบ้านสกุลจิน”
“เขาไม่อยู่เช่นกัน”
“แล้วฮูหยินจินล่ะ?”
“ฮูหยินไม่รับแขก” บ่าวรับใช้พูดอย่างขอไปที
ฟ่านเยว่ซีเดินวนไปมาที่ประตูอย่างร้อนใจ เมื่อเผชิญสถานการณ์เช่นนี้นางไม่รู้ต้องทำอย่างไรดี ตอนนี้พี่ชายของนางก็ไม่อยู่…
ถังหลี่ยืนมองจากข้างหลังเห็นได้ชัดว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้กำลังโกหก นายท่านจินอยู่ที่คฤหาสน์แต่ไม่ต้องการเจอพวกเขา เถ้าแก่จินมีพิรุธ!
“ข้าวสารที่เถ้าแก่จินขายให้มีปัญหา พวกเราจึงมาเจรจาหากเจ้านายของเจ้ายืนกรานจะไม่คุย เห็นทีจะต้องไปร้องเรียนที่ศาลาว่าการ ท่านเจ้าเมืองคนใหม่รักราษฎร เขาคงทนดูข้าวขึ้นราพวกนั้นไม่ได้หรอก”
ถังหลี่พูดอย่างเย็นชา สีหน้าของบ่าวรับใช้เปลี่ยนไป
“หากจงใจจะไม่เข้าไปรายงานเพราะความเกียจคร้าน นายของเจ้าเกิดได้รับโทษขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ?” ถังหลี่ขู่
บ่าวรับใช้คนนั้นไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีก
“ข้าจะไปดูว่านายท่านอยู่หรือไม่?” เขาวิ่งเข้าไปด้านใน ฟ่านเยว่ซีถอนหายใจอย่างโล่งอก นางคว้าแขนของถังหลี่ไว้ ถังหลี่เอื้อมมาจับมือนางไว้เช่นกัน
“ไม่ต้องกังวล ยังพอมีหนทางแก้ไขได้” ถังหลี่พูด
ฟ่านเยว่ซีพยักหน้า นางคิดว่าตัวเองกล้าหาญและฉลาดมากแล้ว แต่ถังหลี่ใจเย็นและกล้าหาญกว่านางมาก นางเป็นถึงฮูหยินของท่านทูต ฟ่านเยว่ซีจึงอดไม่ได้ที่จะพึ่งพานางอย่างไม่รู้ตัว
สักพักบ่าวรับใช้จึงวิ่งกลับมา
“คุณหนูทั้งสอง นายท่านเชิญเข้าไปข้างในขอรับ”
ถังหลี่และฟ่านเยว่ซีเดินเข้าไป โดยมีบ่าวรับใช้นำทางไปยังห้องโถง และยกน้ำชามาให้
ฟ่านเยว่ซีร้อนใจจนไม่มีอารมณ์แม้แต่จะดื่มชา ส่วนถังหลี่กลับมีท่าทีสงบนิ่งและจิบน้ำชาตามสบาย
นางรู้ดีว่าหากเรื่องร้ายแรงรีบด่วนมากแค่ไหน จำต้องสงบอารมณ์และจิตใจเอาไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นได้ง่าย มีเพียงความใจเย็นและสติเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้
“โอ้ เยว่ซีหลานสาวของข้า เจ้ามีเวลามาเยี่ยมลุงแล้วหรือ?”
น้ำเสียงทักทายอย่างสนิทสนมเป็นกันเองดังขึ้น เถ้าแก่จินมีใบหน้าอ้วนและหูใหญ่เหมือนกับพระสังกัจจายน์ ดวงตาเรียวเล็กดูฉลาดแหลมคม ฟ่านเยว่ซีลุกขึ้นรีบคารวะเขาทันที
“ท่านลุงจิน”
เมื่อพูดถึงครอบครัวสกุลฟ่านแล้ว พวกเขาทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่ช่วยเหลือเกื้อหนุนกัน ในยามที่สกุลจินประสบปัญหา สกุลฟ่านได้ช่วยเหลือจนสกุลจินผ่านพ้นวิกฤตมาได้
ในตอนที่ฟ่านเยว่ซียังเล็กทั้งสองตระกูลไปมาหาสู่กันตลอด ต่อมาเมื่อสกุลจินกลายเป็นตระกูลที่ค้าขายข้าวสารและธัญพืชรายใหญ่ของอี้โจว พวกเขาก็ขาดการติดต่อกันไป
“หลานเยว่ซี เจ้ามีธุระอะไรหรือ?” เถ้าแก่จินถาม
“ท่านลุงจินข้าวสารที่ส่งไปให้ข้าในครั้งนี้ขึ้นราทุกกระสอบเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ? ข้าวขึ้นราหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? สกุลจินของเราให้ความซื่อสัตย์กับลูกค้าเสมอ จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
เถ้าแก่จินพูดอย่างไม่เชื่อ
“นี่คือข้าวที่มาจากกระสอบเหล่านั้นเจ้าค่ะ” ฟ่านเยว่ซียื่นถุงข้าวให้กับเถ้าแก่จิน เขารับไปเปิดดู
“ไม่มีเหตุผลเลย เป็นไปไม่ได้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้ารอก่อน ลุงจะไปไต่ถามให้กระจ่างเอง!”
หลังจากที่พูดจบเถ้าแก่จินก็จากไปอย่างโกรธเคือง ฟ่านเยว่ซีลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าเถ้าแก่จินจะไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยบ่าวรับใช้อาจจะทำผิดพลาดไป การเจรจาคงไม่ยากมากนัก
แต่ถังหลี่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเช่นนั้น นางมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถังหลี่รู้ว่าเถ้าแก่จินเป็นพวกหน้าซื่อใจคด นี่เป็นคือละครฉากหนึ่งที่เขากำลังแสดงอยู่ ไม่นานนักเถ้าแก่จินก็กลับมา
“ท่านลุงจินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ฟ่านเยว่ซีถามอย่างกระวนกระวาย
เขาถอนหายใจเบาๆ
“หลานเยว่ซี…ลุงต้องขอโทษด้วย ตอนนี้ข้าวสารมีราคาแพงมากเจ้าสามารถซื้อข้าวพวกนี้ได้ในราคาร้อยอีแปะ แต่ถ้าอยากได้ข้าวที่ดีกว่านี้ ลุงไม่สามารถหาให้ได้”
เถ้าแก่จินพูดอย่างหมดหนทาง
“ก่อนหน้านี้ราคาได้ข้าวสารสูงขึ้น การเก็บเกี่ยวก็ได้ผลผลิตน้อย”
“ข้าวขึ้นราจะมีราคาสูงถึงขนาดนั้นได้อย่างไร?” ฟ่านเยว่ซีพูดออกมาอย่างตกตะลึง
“เถ้าแก่จิน ท่านไม่สามารถขายข้าวสารดีๆ ให้พวกข้าได้หรือ?”
ถังหลี่ถาม เขาชำเลืองมองนาง
“ข้าไม่อยากค้ากำไรเกินควรกับหลานสาว ข้าจะขายข้าวสารแล้วบวกกำไรเพียงเล็กน้อยให้เจ้าก็แล้วกัน ตอนนี้ข้าวสารราคาถังล่ะห้าร้อยอีแปะ” เถ้าแก่จินไม่อ้อมค้อม
ดวงตาของฟ่านเยว่ซีเบิกกว้าง ถังละห้าร้อยอีแปะ?
ราคาเพิ่มถึงห้าเท่า!
นี่ไม่ใช่การปล้นกันหรอกหรือ?
“ท่านลุงจิน ข้าวสารพวกนี้สำหรับผู้ประสบภัยพิบัติ เป็นอาหารที่ช่วยเหลือพวกเขา ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้”
ฟ่านเยว่ซีขอความเห็นใจ
“หลานเยว่ซี…ข้ารู้ว่านี่เป็นข้าวสารสำหรับผู้ประสบภัย แต่ข้าไม่อาจจะบริจาคได้ ข้าไม่ได้ใจบุญเช่นสกุลฟ่านของเจ้า ข้าเป็นพ่อค้า การค้าการขายย่อมต้องการกำไร ไหนเลยจะให้ขาดทุนได้ หากหลานสาวคิดว่ามันแพงเกินไปก็สามารถไปซื้อที่อื่นได้”
เถ้าแก่จินพูดด้วยรอยยิ้ม
แม้เขาจะพูดอย่างสุภาพแต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ “ชอบก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไปที่อื่น” ฟ่านเยว่ซีโมโหแทบตาย
“เถ้าแก่จิน แล้วจะทำอย่างไรกับข้าวขึ้นราที่ท่านให้เรามา พวกข้าไม่ได้จ่ายเงินห้าร้อยตำลึงเพื่อซื้อข้าวขึ้นราห้าร้อยกระสอบหรอกนะ” ถังหลี่กล่าว
เถ้าแก่จินมองถังหลี่
ผู้หญิงคนนี้จิตใจหนักแน่นยากที่จะหลอกได้เช่นฟ่านเยว่ซี
“หากไม่ต้องการเจ้าก็คืนมาได้” เถ้าแก่จินพูด
เมื่อนางได้ยินคำพูดนั้นก็พยักหน้า
“งั้นพวกเราขอลาก่อน”
เมื่อพูดจบนางก็จับมือของฟ่านเยว่ซีเดินจากไปทันที เขามองไปที่แผ่นหลังของพวกนางเมื่อเห็นว่าลับสายตาไปแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ หุบลง เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เห็นเงินแล้วจะไม่คว้าไว้”
เขาไม่ใช่คนโง่เหมือนพวกคนสกุลฟ่าน เขาจะปล่อยให้โอกาสทำเงินดีๆ แบบนี้หายไปได้อย่างไร ดูสิตอนนี้สกุลจินของเขายิ่งใหญ่ แต่สกุลฟ่านเป็นเพียงพวกยากไร้ นี่คือช่องว่างของคนฉลาดและคนโง่