บทที่ 464 ผู้มีมโนธรรม
ถังหลี่และฟ่านเยว่ซีเดินออกจากจวนสกุลจิน
ทันทีที่พวกเขาออกไป ประตูของจวนสกุลจินก็ถูกปิดลงอย่างแรง
ฟ่านเยว่ซีหันไปมองประตูที่ปิดสนิท หน้าอกของนางขยับขึ้นลงด้วยความโกรธ
ครอบครัวของนางและสกุลจินมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน นางไม่คิดเลยว่าสกุลจินจะทำกับนางเช่นนี้ เพื่อกำไรเขาไม่สนใจมโนธรรมทั้งสิ้น
ช่างไม่มีสามัญสำนึก!
ถังหลี่เหลือบมองบ้านสกุลจินอีกครั้งจากนั้นจึงเอ่ยถามว่า
“เยว่ซีที่เมืองเหอกู่มีพ่อค้าขายข้าวสารรายอื่นไหม?”
“มีอีกห้าราย”
“เราไปดูร้านอื่นกันเถอะ”
ตอนนี้เริ่มมืดค่ำแล้ว ถ้าปัญหาเรื่องข้าวยังไม่ได้รับการแก้ไข นางคงนอนไม่หลับ
“เอาสิ” ถังหลี่พูด
พวกนางไม่รอช้ารีบไปที่บ้านของเถ้าแก่ร้านข้าวสารรายอื่นทันที
“คุณหนูฟ่าน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี ข้าเองก็อยากมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้อี้โจวกำลังขาดแคลนธัญพืช การเก็บเกี่ยวก็ได้ผลผลิตต่ำ ข้าเองยังไม่มีของขายด้วยซ้ำ ข้าคงช่วยเจ้าเรื่องข้าวสารไม่ได้จริงๆ นี่เป็นเงินสิบตำลึงแม้เล็กน้อยก็ถือเสียว่าเป็นความปรารถนาจากใจข้า คุณหนูฟ่านช่วยรับไปเถอะ”
“คุณหนูฟ่านไม่ได้ซื้อกับเถ้าแก่จินหรือ? เขาเป็นพ่อค้าข้าวสารรายใหญ่ที่สุดในเหอกู่และอี้โจวตอนนี้”
“อะไรนะ? ถังละห้าร้อยหรือ? ราคานี้แพงเกินไปเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ตอนนี้ราคาสูงกว่าเดิมมาก”
“ร้านของข้าไม่มีข้าวสารขายเช่นกัน ถึงกับต้องปิดร้าน คงได้แต่กินลมตะวันตกเฉียงเหนือกันแล้วล่ะ”
ฟ่านเยว่ซีและถังหลี่ไปที่บ้านของผู้ค้าข้าวสาร พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ฟ่านเยว่ซีเริ่มกระวนกระวายมากขึ้น
ถังหลี่กุมมือนางเอาไว้
“ที่นี่คงไม่มีใครช่วยเราได้” ฟ่านเยว่ซีพยักหน้า
“มีผู้ค้าข้าวสารเหลืออยู่อีกรายหนึ่ง ข้าหวังว่าเขาจะมีข้าวสารให้พวกเราบ้าง”
ที่จริงแล้วคนพวกนี้ล้วนพูดแทนเถ้าแก่จินกันทุกคน นางคาดเดาได้ว่า เถ้าแก่ขายข้าวที่พวกนางจะไปหา คงไม่มีข้าวสารให้เช่นกัน
เมื่อพวกเขามาถึงประตูบ้านของเถ้าแก่ นางเคาะประตู
เถ้าแก่ร้านขายข้าวสารผู้นี้คือ สกุลเสิ่น หัวหน้าตระกูลเป็นสตรี
แต่เดิมสกุลเสิ่นเป็นร้านขายข้าวสารและธัญพืชที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเหอกู่ ต่อมากิจการของพวกเขามีปัญหา ทำให้นางเสิ่นเข้ามารับช่วงต่อของตระกูลแทน จากนั้นกิจการจึงค่อยๆ กระเตื้องขึ้น แม้ว่าจะไม่ใหญ่โตเช่นเดิมแต่ยังมีอิทธิพลอยู่ในเมืองเหอกู่
ฟ่านเยว่ซีและถังหลี่ถูกเชิญไปที่ห้องรับแขก เมื่อเทียบกับความหรูหราของคฤหาสน์สองสามหลังก่อนหน้านี้แล้ว เรือนสกุลเสิ่นดูเรียบง่ายกว่ามากนัก ที่ลานแห่งนี้มีทางเข้าสองทาง ทางออกสองทาง ไม่มีบ่าวรับใช้มากนัก
เมื่อทั้งสองเข้าไปยังห้องโถงจึงได้พบกับสตรีวัยยี่สิบห้ายี่สิบหกปีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
หญิงสาวมีหน้าตาเรียบเฉย ท่าทีเย็นชาไว้ตัว
“เถ้าแก่เนี้ยเสิ่น”
ฟ่านเยว่ซีและถังหลี่ทักทายนาง
เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นเหลือบมองหญิงสาวทั้งคู่
“นั่งลงก่อนเถอะ” ฟ่านเยว่ซีและถังหลี่นั่งลง
“เถ้าแก่เนี้ยเสิ่น ข้ามาที่นี่เพื่อซื้อข้าวสาร อยากจะถามว่าท่านพอจะมี..”
“ไม่มี” ก่อนที่ฟ่านเยว่ซีจะพูดจบ เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นก็ขัดจังหวะขึ้นมา
“ที่มณฑลเหอกู่และหลายมณฑลใกล้เคียงถูกจินอั่นกว้านซื้อไปหมดแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นกล่าว
“จินอั่นให้ราคาตอนเก็บเกี่ยวไว้สูงถึงถังละสองร้อยอีแปะ ทำให้พ่อค้ารายย่อยไปขายกับเขาทุกคน จินอั่นกอบโกยข้าวสารของผู้ค้ารายย่อยไปจนหมด”
ใบหน้าของฟ่านเยว่ซีซีดลง นางไม่คิดว่าเรื่องราวจะร้ายแรงถึงเพียงนี้
“คงไม่ใช่แค่จินอั่นรายเดียวใช่หรือไม่? แม้แต่มณฑลแถวนี้ก็ถูกกว้านซื้อไปจนหมดหรือ!” ถังหลี่เอ่ยถาม
เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นชำเลืองมองถังหลี่
ตั้งแต่ได้ทักทายนางแล้ว ถังหลี่ก็ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดขึ้นเลย ประโยคที่ถังหลี่พูดออกมาแสดงว่านางเข้าใจเรื่องเบื้องหลังเป็นอย่างดี
“ใช่แล้ว พ่อค้าหลายคนร่วมมือกันทำให้ราคาข้าวสารในอี้โจวมีราคาสูงขึ้น”
ตอนนี้อี้โจวเกิดอุทกภัย แต่คนเหล่านี้กลับขึ้นราคาค่าธัญพืช เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่ามีเจ้าของกิจการมากมายที่ไร้ยางอายปราศจากมนุษยธรรม
“ต่อให้เจ้าเดินทางไปทั่วอี้โจว ก็ไม่มีทางซื้อข้าวสารในราคาปกติได้”
นั่นเป็นเหตุผลที่เถ้าแก่จินกล้าทำกับเช่นนี้กับพวกนาง เขารู้ว่าอย่างไรเสียพวกนางก็ต้องกลับไปซื้อข้าวสารกับเขาอย่างแน่นอน ฟ่านเยว่ซีเอามือจับหน้าผากตนเอง นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันใด
จะเกิดอะไรขึ้น? หากนางไม่สามารถหาซื้อข้าวสารได้ ต้องยอมซื้อราคาแพงขึ้นหรือ?
เรื่องนี้จะทำให้พ่อค้าไร้ศีลธรรมเหล่านั้นประสบความสำเร็จ เพื่อเห็นแก่ผู้ประสบภัยเหล่านั้น นางอาจจะต้องเลือกดื่มยาพิษเพื่อดับกระหาย แต่เงินในมือจะถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว อาจจะอยู่ได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น
“เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นท่านอยู่วงการค้าข้าว ท่านมีข้าวสารหรือไม่?” ถังหลี่ถาม
เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นมองไปที่ถังหลี่
“ทำไมถึงไม่คิดว่าข้าได้ขายข้าวสารให้จินอั่นในราคาสองร้อยอีแปะหรือ?”
“เพราะท่านกับจินอั่นไม่ใช่คนชนิดเดียวกัน”
ถังหลี่รู้สึกได้ถึงอารมณ์ดูถูกเยียดหยามถึงจินอั่นจากคำพูดของนาง เถ้าแก่ร้านขายข้าวสารสองสามร้านก่อนหน้าล้วนเป็นพวกฉวยโอกาส
แต่เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นแตกต่างออกไป
“ข้ามีข้าวสารอยู่ในโกดัง แต่ถึงข้าจะให้เจ้าทั้งหมดมันก็คงอยู่ได้แค่สองสามวันเท่านั้น เจ้าจะทำอย่างไรหากผ่านสองสามวันไปแล้ว”
“เถ้าแก่เนี้ยเสิ่น เหตุใดเราไม่มาพนันกันดูว่าห้าวันต่อจากนี้ข้าจะหาข้าวสารราคาถูกได้หรือไม่? ถ้าข้าหาได้ท่านต้องขายข้าวสารในราคาปกติให้ข้า หากข้าหาไม่ได้ ข้าจะยอมซื้อข้าวสารในราคาห้าร้อยอีแปะ”
เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นมองท่าทางมั่นใจของนางดูแล้วช่างน่าสนใจ…
เป็นความมั่นใจจริงๆ หรือแค่เรื่องโกหกเหลวไหล?
“เจ้าเป็นใครหรือ?”
“ข้าชื่อถังหลี่มาจากเมืองหลวง สามีของข้าเป็นทูตราชสำนักที่ถูกส่งมาดูแลสถานการณ์น้ำท่วม ท่านเชื่อถือในวาจาของข้าได้” ถังหลี่กล่าว
“ตกลง ห้าวันหลังจากนี้หากเจ้าสามารถหาซื้อข้าวสารในราคาถูกได้ ข้าจะไม่ขอรับเงินจากพวกเจ้า”
เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นกล่าว แม้ว่านางจะเป็นคนค้าขาย แต่นางก็มีหัวใจเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอให้เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นส่งข้าวให้เราก่อนได้ไหม?” ถังหลี่ถาม
“เอาล่ะ ฟู่กุ้ย! เจ้าไปเอาข้าวสารแล้วช่วยส่งไปให้พวกนาง”
เถ้าแก่เนี้ยเสิ่นพูดอย่างใจกว้าง
ถังหลี่และฟ่านเยว่ซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตอนนี้ข้าวสารห้าร้อยกระสอบได้ถูกส่งไปยังชุนเหมียนเป่ยหยวนให้เพียงพอต่อผู้ประสบภัยเป็นเวลาห้าวัน
ปัญหาได้ถูกแก้ไขลงอย่างชั่วคราว
ถังหลี่กลับไปยังศาลาว่าการ ฟ่านเยว่ซีกลับไปที่จวนสกุลฟ่าน เมื่อนางเข้าไปในจวนก็ได้ยินเสียงไอดังขึ้นมา
“ท่านพ่อ เหตุใดยังไม่นอนอีกเจ้าคะ?” ฟ่านเยว่ซีเอ่ยถาม นางประคองบิดาเข้าไปด้านใน ปิดประตูกันลมไว้
“เหตุใดกลับมาช้านัก เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
นายท่านฟ่านมีสุขภาพไม่ดี ผมของเขาขาวไปครึ่งศีรษะแล้ว ทั้งๆ ที่เขามีอายุเพียงแค่สี่สิบปีเท่านั้น
“พี่ชายของเจ้าออกไปหาเงินไม่ได้หรือ? ถ้าเช่นนั้นพวกเราขายบ้านหลังนี้ดีไหม?” นายท่านฟ่านกล่าว
“ท่านพ่อ ยังไม่ต้องขายบ้านเจ้าค่ะ” ฟ่านเยว่ซีตอบ
“ไม่ใช่เรื่องเงิน”
“แล้วมีอะไรอีกหรือ?”
“จินอั่นปั่นราคาข้าวสารให้สูงขึ้นเจ้าค่ะ”