บทที่ 466 ถังหลี่หาทางออก
นายท่านสกุลลู่วิ่งมาหาถังหลี่เห็นหญิงสาวหน้าตาดี ท่าทางสง่างามไม่ธรรมดา นางเป็นน้องสาวของกู้หวนเนี่ยน คุณหนูแห่งจวนแม่ทัพกู้
“คุณหนูกู้”
ถังหลี่หันไปมองเห็นชายผู้หนึ่งอายุประมาณสามสิบห้าปีใบหน้าผ่องใส สวมเสื้อผ้าหรูหราดูภูมิฐาน
“นายท่านลู่”
“เป็นข้าเอง คุณหนูกู้เข้ามาก่อนเถิด” เขารีบต้อนรับทักทายถังหลี่ทันที
“คุณหนูกู้กินมื้อเย็นมาหรือยัง?” เขาถาม
“ยังเลยเจ้าค่ะ” เพราะถังหลี่รีบเร่งเดินทางจึงไม่มีเวลาได้กินข้าว
“เข้ามาก่อนเถอะ จัดโต๊ะเลย” นายท่านลู่สั่ง บ่าวรับใช้
“นายท่านลู่ ไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก” ถังหลี่กล่าว
“ไม่ได้หรอกคุณหนู ข้าต้องดูแลท่านให้ดี ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีหน้าไปเอ่ยปากกับพี่กู้ได้”
“นายท่านลู่รู้จักกับพี่ชายข้าได้อย่างไรหรือ?” ถังหลี่สงสัย
“ย้อนกลับไปตอนที่ข้าต้องโทษ พี่กู้พยายามทำคดีให้ข้าจนในที่สุดก็ช่วยชีวิตของข้าไว้ได้ ข้ากับเขาจึงได้กลายเป็นสหายกัน” นายท่านลู่กล่าว เมื่อนึกถึงอดีตเขายังรู้สึกเศร้าไม่หาย
นายท่านลู่พาถังหลี่ไปกินอาหารเย็น ระหว่างกินอาหารเขาก็ถามนางว่าเหตุใดถึงได้มาหาเขา?
“นายท่านลู่ ท่านช่วยข้าหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?” ถังหลี่ถาม
“แม่นางกู้ ขอเพียงท่านเอ่ยปากออกมา ข้าจะทุ่มเททำให้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว” นายท่านลู่รับปากแข็งขัน
ถังหลี่พูดถึงการขาดแคลนอาหารของผู้ประสบภัยและสถานการณ์ของเมืองเหอกู่ รวมถึงพ่อค้าที่กำลังฉวยโอกาสขึ้นราคาข้าวสาวและธัญพืชในเมืองเหอกู่
“ข้าไม่ใช่พ่อค้าข้าวก็จริง…แต่พอจะรู้จักผู้คนอยู่บ้าง ท่านปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของข้าเอง!” นายท่านลู่ตอบตกลงทันที เขาตบที่หน้าอกของตนเองอย่างให้ความมั่นอกมั่นใจ
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก นายท่านลู่เป็นคนดีจริงๆ สหายของพี่ชายนางคงไว้ใจได้!
“คุณหนูกู้ไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะให้คำตอบที่พอใจแก่เจ้าอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณนายท่านลู่เจ้าค่ะ” ถังหลี่โค้งคารวะให้กับเขา
หากนายท่านลู่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่เขาจะช่วยนางเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยผู้ประสบภัยอีกนับไม่ถ้วนได้ด้วย นายท่านลู่ให้บ่าวรับใช้นำทางถังหลี่ไปที่เรือนพักของแขกและเตรียมน้ำร้อนให้นางอาบ
หญิงสาวอาบน้ำชำระกายเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดทำให้นางรู้สึกสดชื่นขึ้น
ตอนนี้ความกังวลใจของถังหลี่หายไปแล้วจึงได้หลับตาลงผล็อยหลับไป
ทางด้านนายท่านลู่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปข้างนอก
“นายท่าน ดึกมากแล้วท่านจะไปไหนหรือ?”
“ไปหาพี่โจว”
“นายท่านโจว?”
“ใช่ ข้าจะได้ยินมาว่าน้องเขยของเขาเป็นพ่อค้าขายข้าวในเมืองเหลียงโจว”
นายท่านลู่กล่าว ตอนนี้แม่นางกู้ได้เล่าว่าข้าวสารทั้งหมดในอี้โจวถูกกว้านซื้อไปหมด เขาจึงคิดหาข้าวสารและธัญพืชนอกมณฑลอี้โจว นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่เขาจะได้ติดต่อกับพ่อค้าข้าวสารมณฑลอื่นอีกด้วย
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านไม่ไปพรุ่งนี้แทนหรือ?”
“ไม่ได้หรอก เรื่องของคุณหนูกู้จะรอช้าไม่ได้” นายท่านลู่ไม่อยากเสียเวลาอีก
นายท่านลู่เดินทางไปที่บ้านสกุลโจวเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
“น้องลู่ข้าจะเขียนจดหมายถึงน้องเขยข้าทันที ข้าสัญญาว่าจะจัดหาอาหารให้ผู้ประสบภัยได้อย่างแน่นอน”
“แล้วราคาเล่า”
“ไม่ต้องห่วง สำหรับผู้ประสบภัยข้าขอรับประกันว่าจะเป็นราคาเดียวกับที่ขายในเหลียงโจว!” นายท่านโจวกล่าว
“ขอบคุณพี่โจวมากขอรับ”
“น้องลู่ เราเป็นสหายกันมาหลายปีแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก”
นายท่านโจวรีบเขียนจดหมายถึงน้องเขยของตนที่อาศัยอยู่ในเหลียงโจวทันที บ้านของน้องเขยเขาอยู่ระหว่างเหลียงโจวและอี้โจว หากส่งจดหมายได้เร็ว เพียงวันเดียวก็ถึงแล้ว
เช้าวันถัดมา
ถังหลี่ได้ยินข่าวดีในตอนที่ตื่นขึ้นมา
“คุณหนูกู้รอฟังข่าวดีที่บ้านข้าก่อนเถอะ” นายท่านลู่กล่าวชักชวน ถังหลี่จึงได้ตอบตกลง
นางหวังว่าพ่อค้าในเหลียงโจวจะสามารถจัดหาข้าวสารมาให้ได้ ถังหลี่ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีปราศจากอุปสรรคใดใด
หลังจากที่รออย่างใจจดจ่อสองวัน ข่าวดีก็เดินทางมาถึง ข่าวดีนี้ไม่ใช่แค่จดหมายที่ตอบกลับมาเท่านั้น แต่เป็นเถ้าแก่ที่เดินทางมาด้วยตัวเองพร้อมกับข้าวสารจำนวนมาก
ถังหลี่มองไปที่กองกระสอบข้าว ดวงตาของนางเบิกกว้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“คุณหนูกู้ มาดูนี่สิ เจ้าพอใจหรือไม่?”
เถ้าแก่ขายข้าวสารคนนี้เป็นน้องเขยของนายท่านโจว เขาแซ่โจวเช่นเดียวกัน เขาดูอายุน้อยเพียงสิบเจ็ดถึงยี่สิบปีเท่านั้น เขาสั่งให้บ่าวเปิดกระสอบข้าวให้นางดู
ถังหลี่รู้สึกยินดีมากเมื่อได้เห็นเมล็ดข้าวสีสวยและมีกลิ่นหอม ช่างดีเหลือเกิน ผู้ประสบภัยจะไม่หิวโหยอีกต่อไปแล้ว!
“คุณหนูกู้ นี่เป็นข้าวสารหนึ่งพันชั่ง เพื่อใช้แก้ปัญหาเร่งด่วนก่อน ข้าวสารที่เหลือจะตามมาในภายหลัง” นายท่านโจวอธิบาย
“ขอบคุณนายท่านโจวมาก” ถังหลี่คำนับขอบคุณเขา
คนเหล่านี้มอบถ่านให้กลางหิมะ นางจะจดจำในน้ำใจของพวกเขาเอาไว้ไม่มีวันลืม
“นายท่านโจว เราจะออกเดินทางกันต่อเลยไหม?” ถังหลี่ถาม
“ตกลงไปกันเลย!”
หลังจากถังหลี่บอกบอกลานายท่านลู่แล้ว พวกนางก็รีบกลับไปที่เมืองเหอกู่ทันที
…..
ที่เมืองเหอกู่
ฟ่านเยว่ซีขมวดคิ้วแน่นเมื่อมองไปข้าวสารที่เหลืออยู่ ตอนนี้ข้าวสารของร้านเถ้าแก่เนี้ยเสิ่นใกล้จะหมดแล้ว ทำให้อาหารเหลือไม่เพียงพอ
จะทำอย่างไรดี?
ผู้คนเหล่านี้จะต้องหิวโหย?
ตอนนี้ไม่มีข่าวคราวจากถังหลี่ ทำให้อาหารบรรเทาทุกข์ของผู้ประสบภัยเริ่มล่าช้า จะมีวิธีไหนที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้
ฟ่านเยว่ซีเดินไปมาในสนามอย่างใจลอย จนบังเอิญชนเข้ากับผู้ประสบภัยคนหนึ่ง
“คุณหนูฟ่านท่านสบายดีไหม?” ฟ่านเยว่ซีมองคนผู้นั้น เห็นว่าเป็นผู้ประสบภัยคนหนึ่ง นางกำลังแบกสัมภาระอยู่ ฟ่านเยว่ซีจึงถามขึ้นว่า
“พี่สะใภ้เฉิน จะไปไหนหรือ?”
“การควบคุมอุทกภัยต้องใช้กำลังคน หากใครสามารถทำงานได้ แม้แต่ผู้หญิงเขาก็รับเช่นกัน” พี่สะใภ้เฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ราชสำนักจ่ายค่าแรงให้ด้วย”
เมื่อผู้ประสบภัยรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงเลือกที่จะออกไปทำงาน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาก็มีผู้หญิงทยอยออกไปเช่นกัน
“แล้วลูกของพี่เล่า?” ฟ่านเยว่ซีจำได้ว่านางมีลูกวัยทารกอยู่คนหนึ่ง พี่สะใภ้เฉินรู้สึกเศร้าเมื่อคิดถึงลูกของนาง
“พี่สะใภ้อู๋จะช่วยข้าเลี้ยงลูก”
“พี่สะใภ้เพิ่งคลอดลูก ควรจะพักอีกสองสามวันนะ”
“คุณหนูฟ่านไม่ต้องห่วง ตอนที่ข้าคลอดลูกสาวคนโต วันรุ่งขึ้นข้าก็ไปทำงานที่นาแล้ว ที่จริงพวกเราทุกคนรู้เรื่องอาหารแล้ว คุณหนูฟ่านเป็นคนดีท่านเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเรา จนข้าคิดละอายแก่ใจ หากยังมีมือมีเท้า จะอยู่เฉยๆ รออดตายได้อย่างไร?”
หลังจากที่พี่สะใภ้เฉินพูดจบ นางก็ออกไปกับผู้หญิงอีกสองสามคน ฟ่านเยว่ซีไปหาผู้ประสบภัย พวกที่เหลือส่วนใหญ่อายุมากแล้วเป็นผู้หญิงและเด็กเป็นส่วนมาก ผู้ที่ยังแข็งแรงและทำงานได้ถูกเกณฑ์ออกไปทำงานจนหมด
“แม่นางฟ่าน!” ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างนอก ชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามายื่นถุงใส่ของให้ฟ่านเยว่ซี นางเปิดออกดูก็พบว่าข้างในเต็มไปด้วยเงิน
“นี่เป็นเงินค่าจ้างของพวกเรา แม่นางนำไปซื้ออาหารเถอะ” ชายคนนั้นพูดขึ้น ตอนนี้พวกเขาไปทำงานตามที่ราชสำนักจ้างงาน ภรรยาและลูกๆ ของเขาอยู่ที่นี่ เงินที่พวกเขาได้รับมาจากการสร้างเขื่อนจะถูกใช้ไปซื้ออาหารให้ภรรยาและลูกๆของพวกเขา
………………