บทที่ 480 ใครเป็นคนใส่ร้ายตระกูลเซียว
ร่างสูงของเว่ยฉิงปราดมายืนตรงหน้าถังหลี่ ทำให้นายท่านเป่ยไม่มีทางเลือกนอกจากจะมองไปที่เขา รอยยิ้มบนใบหน้าของนายท่านเป่ยจางลงไปเล็กน้อย
“ขออภัย…ตอนนี้ท่านทั้งสองคงจะตกใจ ข้าแซ่เป่ยขอเชิญท่านไปดื่มชาได้หรือไม่” เขาเอ่ยชวน
เว่ยฉิงมองไปนายท่านเป่ยเขาตอบรับอย่างมึนตึง
“อืม”
“เชิญ” เขานำทางทั้งสองคนไป
เว่ยฉิงจูงมือถังหลี่เดินตามไปหลังเขาไป ที่ชั้นสองมีห้องหลายห้อง นายท่านเป่ยผลักประตูห้องหนึ่งเข้าไป
เว่ยฉิงพาถังหลี่เดินตาม เมื่อประตูห้องปิดลง จึงได้พบว่า ห้องนี้มีผนังกันเสียงได้อย่างดีเยี่ยม กำจัดเสียงวุ่นวายอึกทึกด้านนอกได้เป็นอย่างดี นายท่านเป่ยนั่งลง เขามองมาถังหลี่ชี้ไปที่นั่งข้างๆ ของเขา
“นั่งสิ”
เว่ยฉิงนั่งลงแทนที่ เขาดึงถังหลี่มานั่งข้างๆ ตนเอง ร่างสูงของเว่ยฉิงบังนางไว้จนมิด นายท่านเป่ยเห็นแบบนั้นก็ส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะอกมาเบาๆ เขารินน้ำชาส่งให้ถังหลี่ เว่ยฉิงฉวยไปก่อนอีกครั้ง
“พี่ชาย ท่านมีปัญหาอะไรกับข้าหรือ?” นายท่านเป่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเพิ่งสังเกตหรือ?” เว่ยฉิงชำเลืองมองไปที่เขา
“ข้าแซ่เป่ยทำอะไรให้ท่านเคืองหรือ? เมื่อครู่ข้าเป็นคนช่วยพวกท่านเอาไว้”
“หากเจ้าไม่เข้ามาขวาง คนแซ่หยางผู้นั้นได้ลงนรกไปแล้ว!”
“บิดาของเขาเป็นเจ้าเมืองเหลียงโจว หากเขาตายขึ้นมา…พี่ชาย ท่านจะอยู่ในเหลียงโจวยังไง?
“เป็นเจ้าเมืองเหลียงโจวแล้วอย่างไรหรือ?”
น้ำเสียงที่พูดดูวางอำนาจ ดวงตาของนายท่านเป่ยเรียบเฉย
เขามองถังหลี่
“ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นคนงามถูกทำร้าย”
“หากมองอีกที ลูกตาเจ้าได้หายแน่”
“พี่ชายจะโหดร้ายไปแล้ว” เขากระพริบตาถี่ๆ อย่างหยอกเย้า
“ดวงตาที่สวยงามของข้า…พี่ชาย ท่านทำได้ลงคอหรือ?”
จู่ๆ เว่ยฉิงก็โจมตีนายท่านเป่ยทันที แต่นายท่านเป่ยยื่นมือออกมาสกัดไว้ ทั้งสองไม่ได้ลุกจากเก้าอี้ พวกเขาใช้เพียงฝ่ามือเคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรงเท่านั้น
หลังจากที่ให้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยเว่ยฉิงก็พลิกมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ นายท่านเป่ยตระหนักถึงความแข็งแกร่งของเว่ยฉิงก็ยอมรับความพ่ายแพ้
“ข้าไม่มองก็ได้”
เว่ยฉิงชักมือกลับทันที
ถังหลี่ไม่พูดอะไรนางได้แต่นั่งดูพวกเขา สามีของนางพามาที่บ่อน ขึ้นมาดื่มชากับนายท่านเป่ย เขาน่าจะมีจุดประสงค์อยู่ในใจ
นางได้แต่รอดู
“พวกท่านไม่ใช่คนเมืองหลันซีใช่ไหม หน้าตาโดดเด่นเช่นนี้ ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร?”
“พวกเรามาจากเมืองหลวง”
“เมืองหลวง?” นายท่านเป่ยประหลาดใจ
เว่ยฉิงหยิบจี้หยกออกมาจากอกเสื้อ เขาส่งให้นายท่านเป่ยซึ่งรับมาดูด้วยสีหน้าปกติ แต่หลังจากพินิจดูสองสามครั้ง ราวกับจดจำบางอย่างได้ แววตาเขาเปลี่ยนไป เขาถือจี้หยกอย่างระมัดระวัง มองที่เว่ยฉิงอีกครั้ง ร่างกายผ่อนคลายท่าทีเจือไปด้วยความเคารพ
“ท่าน…”
“ข้าต้องการพบกับแม่ทัพเป่ย” เว่ยฉิงกล่าว เขายืนขึ้น
“โปรดรอสักครู่”
“จี้หยกนี่…”
“เจ้าเอาไปให้แม่ทัพเป่ยดู”
“ขอรับ”
เขาหยิบจี้หยกเดินออกไป ถังหลี่มองไปสามี
“สามี ที่เรามาเหลียงโจวนี่คือมาพบกับแม่ทัพเป่ยคนนี้ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว แม่ทัพเป่ยเป็นลูกน้องเก่าของท่านปู่ข้า” เว่ยฉิงพูด
ย้อนกลับไปตอนนั้นตระกูลเซียวและท่านผู้เฒ่าเซียได้เสียชีวิตหมดแล้ว ส่วนลุงของเขาหนีรอดมาจากการตามล่าของเจ้าหน้าที่และทหารมาได้ คนที่อาจจะมีชีวิตอยู่และมีประสบการณ์ในการสู้รบในเหลียงโจวคือแม่ทัพเป่ย
หลังจากตามสืบมาหลายปีในที่สุดเว่ยฉิงก็รู้ว่าแม่ทัพเป่ยอยู่ที่ไหน
เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะใช้ชีวิตสันโดษในภูเขา แต่เขาไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะกลายเป็นเจ้าของบ่อนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเหลียงโจว
…..
ในห้องที่ปิดสนิท
ชายวัยกลางคนผมสีขาวแซมอยู่เกินครึ่งกำลังดื่มสุราอย่างมึนเมา ดูเหมือนเขากำลังย้อนกลับไปในช่วงชีวิตในค่ายทหารซึ่งมีพี่น้องทุกคนนั่งร่ำสุราด้วยกัน
“พรุ่งนี้เป็นศึกครั้งสุดท้ายแล้ว มาดื่มกันเถอะ!”
“พี่น้องข้า พรุ่งนี้เรามาตีให้พวกต้าฉีมันแตกกระเจิงพ่ายกลับไปเลยเถอะ!”
“ฮ่าฮ่าๆ หลังศึกนี้ข้าจะกลับบ้าน ภรรยาข้าเพิ่งคลอดลูกชายตัวอ้วนให้ข้าเมื่อเดือนที่แล้วเอง”
“พอแล้วๆ เลิกดื่มกันได้แล้ว ข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าให้เต็มที่เมื่อชนะศึกกลับเมืองหลวง”
“แม่ทัพเซียว ท่านต้องรักษาคำพูดด้วยนะ พวกข้าจำใส่ไว้ในหัวกันทุกคนแล้ว”
แล้วภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
บนพื้นมีแต่ซากศพนอนเกลื่อน เลือดไหลนองราวกับสายน้ำ เต็มไปด้วยรอยแผล
พี่น้องที่กินดื่มด้วยกันล้วนล้มหายตายไปหมด ทั้งคนตาย คนเจ็บ และคนเป็น ใบหน้าของพวกล้วนสิ้นหวัง
แพ้ได้อย่างไร?
เห็นกันอยู่ว่าพวกเขากำลังได้เปรียบ
ภาพเปลี่ยนอีกครั้ง ใบหน้าของพี่น้องที่รอดชีวิตเต็มไปด้วยความโกรธ
“กองทัพตระกูลเซียวไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับศัตรูเพื่อทรยศแผ่นดิน! ไป กลับ เราต้องไปยืนยันความบริสุทธิ์!”
“ใช่แล้ว เป็นใครที่ใส่ร้าย ถึงพวกเราจะแพ้ศึก แต่ก็ไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับศัตรู ทรยศต่อแคว้น
“ไปเถอะ เราจะไม่แบกความอัปยศนี้ไว้!”
แทนที่เขาจะกลับไปกับบรรดาพี่น้อง แต่เขากลับแอบหนีมาอย่างลับๆ
“เหล่าเป่ย เหตุใดเจ้าถึงหนีมา เหตุใดไม่กลับเมืองหลวงกับพวกข้า”
เสียงพวกนั้นตะโกนก้องอยู่ในหูของเขา เป่ยหยินลืมตาขึ้นกระทันหัน เขาสร่างเมาจากสุราทันที
“ข้าไม่ได้หนี…” เขาคราง
เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่เขาฝัน ฝันถึงพี่น้องทุกคนที่มาชี้และเรียกเขาว่า “คนทรยศ” ฝันว่าคนเหล่านั้นนอนจมกองเลือด…
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เป่ยหยินลุกขึ้นไปเปิดประตู
“ท่านพ่อ…ท่านฝันร้ายอีกแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา นายท่านเป่ยก็ขมวดคิ้วอย่างกังวล
เป่ยหยินเงียบขรึมท่าทีของเขาเย็นชาและสง่างาม
นายท่านเป่ย ถูกพ่อบุญธรรมของเขารับเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเล็ก พอเริ่มจำความได้ก็ว่าพ่อบุญธรรมของเขามีความกังวลและหดหู่อยู่ในใจ
เขารู้ปมในใจของบิดาดี…
นายท่านเป่ยมองไปที่จี้หยกในมือของตัวเอง สงสัยว่า หยกชิ้นนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนได้หรือไม่?
“ท่านพ่อ ดูหยกชิ้นนี้สิขอรับ” เขาส่งจี้หยกให้แก่เป่ยหยิน บิดาบุญธรรมเห็นคำที่สลักบนจี้หยกสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“ตระกูลเซียว…นี่เป็นหยกของตระกูลเซียว! ใครมอบมันให้เจ้า?”
“เจ้าของจี้หยกชิ้นนี้อยู่ในห้องรับแขก”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เป่ยหยินก็รีบเดินไปที่ห้องรับแขกอย่างร้อนใจ เขาผลักประตูเข้าไปทันที มองไปยังคนที่นั่งอยู่ด้านในห้อง
ในที่สุดสายตาของเขาก็ไปสบเข้ากับเว่ยฉิง หากดูลักษณะภายนอกแล้ว ชายผู้นี้ไม่เหมือนแม่ทัพเซียวเลย
อย่างไรก็ตามเป่ยหยินกำจี้หยกไว้ในมือ เขารู้สึกว่าคนผู้นี้ต้องเกี่ยวข้องกับสกุลเซียวอย่างแน่นอน แววตาของเขานั้นเหมือนกับแม่ทัพเซียวมาก
“ท่าน…” หัวใจของเป่ยหยินเต้นแรง
“ข้าเว่ยฉิงเป็นหลานชายของแม่ทัพเซียว” เว่ยฉิงแนะนำตัว ในตอนที่เว่ยฉิงได้สืบเรื่องราวของแม่ทัพเป่ย เขาก็ได้พูดคุยกับท่านลุงของตัวเองอย่างละเอียดแล้ว เขาจึงมั่นใจที่จะเปิดเผยตัวตน
“เป่ยหยินคารวะนายน้อยขอรับ” เป่ยหยินลงไปคุกเข่าต่อหน้าเว่ยฉิง
“แม่ทัพเป่ย ได้โปรดยืนขึ้นเถิด” เว่ยฉิงกล่าว
เขายืนขึ้นแล้วเดินมาหาเว่ยฉิงด้วยความเคารพและตื่นเต้น
เป่ยหยินไม่คาดคิดว่าจะมีลูกหลานของสกุลเซียวยังรอดและมีชีวิตอยู่
หลานชายของท่านแม่ทัพสบายดี เติบโตเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรง เป่ยหยินมองที่เว่ยฉิงอย่างโล่งใจ
“แม่ทัพเป่ยนั่งก่อนเถิด” เว่ยฉิงพูด
“ข้ายืนได้ขอรับ” เป่ยหยินรีบกล่าวอย่างร้อนรน
“แม่ทัพเป่ย ท่านเป็นผู้อาวุโสหากท่านยืนยันที่จะยืน ข้าก็จะยืนกับท่าน”
เว่ยฉิงพูดทำท่าลุกขึ้น เขาจึงรีบนั่งลงอย่างรวดเร็วทันที
“นายน้อย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ทำงานในกรมอาญา” เว่ยฉิงพูด
“แม่ทัพเป่ย…ท่านเล่าให้ข้าฟังได้ไหม ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น?
ในเวลานั้นลุงของเขาไม่ได้เข้าร่วมในสงครามที่เหลียงโจวแต่อยู่ที่เมืองหลวง สิ่งที่เขารับรู้มาจากการสืบข่าวทั้งหมด ไม่เหมือนกับแม่ทัพเป่ยที่มีประสบการณ์ตรง
“เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นน่ะหรือ…” เป่ยหยินหายใจเข้าลึก เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาครั้งใด เขายังใจสั่นและสลดใจอยู่ไม่หาย เขาได้แต่คิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจไม่อาจลืมเลือนได้เลย
“ในตอนนั้นกองทัพทั้งสองต่อสู้กันที่นอกเมืองเหลียงโจว กองทัพตระกูลเซียวได้รับชัยชนะติดต่อกันและต้าฉีก็พ่ายแพ้ไปทุกครั้ง ทุกคนคิดว่าเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว ในการต่อสู้ครั้งนั้นจะต้องทำให้กองทัพของต้าฉีแตกพ่ายไป แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้กลยุทธ์ศึกของเรา สถานการณ์พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเราฝ่าวงล้อมหลายครั้ง ในเวลาเดียวกันนั้นเองกองทัพของต้าฉีก็บุกมาโจมตีเมืองเหลียงโจว แม่ทัพที่เหลียงโจวเสียชีวิตอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ กองทัพของตระกูลเซียวที่เสียหัวและหางก็พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ”
ดวงตาของเป่ยหยินเป็นสีแดงก่ำ ทุกคำที่พูดออกมาเหมือนเขาร่ำไห้เป็นสายเลือด
“ในตอนนั้นเองก็มีคนกล่าวหาว่ากองทัพเซียวร่วมมือกับศัตรูเพื่อทรยศแคว้น เหล่าทหารกล้าที่แลกมาด้วยการหลั่งเลือดและน้ำตา กลับได้คำว่า “สมคบคิดกับศัตรูทรยศแผ่นดิน!” ฮ่าๆๆๆ ร่วมมือกับศัตรูหรือ? เหลวไหลสิ้นดี! ทหารทุกคนที่รอดชีวิตมารู้สึกไม่ดี จึงอยากกลับเมืองหลวงเพื่อทวงคืนความยุติธรรม!” เป่ยหยินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“แต่ข้าไม่กลับไป” เป่ยหยินพูด “พวกเขาคิดว่าข้าหนี”
เป่ยหยินมักจะฝันถึงพี่น้อง ทุกคนมองเขาด้วยสายตาที่เคียดแค้นของถามเขาว่า ทำไมเขาถึงได้หนี! เป่ยหยินมองเว่ยฉิง สีหน้ากังวล
“นายน้อย…ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“แม่ทัพเป่ยต้องมีเหตุผล”
เซียวซานหลางเล่ารื่องของเป่ยหยินให้เขาฟัง ในตอนที่เซียวซานหลางบาดเจ็บ เป่ยหยินได้พาเขาเดินทางข้ามทะเลทรายหลายสิบลี้ใช้เลือดเลี้ยงเขา เซียวซานหลางไม่เชื่อว่าคนเช่นนี้จะหลบหนีเพราะกลัวความตาย
เป่ยหยินกลัวมากว่านายน้อยจะกล่าวหาเขาเหมือนทุกคนในความฝัน แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เว่ยฉิงพูดภาระหนักอึ้งในใจของเขาก็เบาบางลง
“เพราะข้าไม่เชื่อว่าเราจะได้ความยุติธรรมคืนมา” เป่ยหยินพูดต่อ
“เหตุใดกองทัพของต้าฉีจึงรู้กลยุทธ์ของเราดี? เหตุใดแม่ทัพของเหลียงโจวถึงตายกระทันหัน ทุกอย่างมันบังเอิญเกินไป เหมือนกับตาข่ายขนาดใหญ่ที่รอให้พวกเราตกลงไปในกับดัก”
ใบหน้าของเว่ยฉิงตึงเครียด
สิ่งที่แม่ทัพเป่ยพูดออกมา ตรงกับที่เขาคิด มันคือกับดักที่สร้างความเสียหาย เมื่อกองทัพของสกุลเซียวกลับมายังเมืองหลวง พวกเขาก็ถูกจับเข้าห้องขังทันที
หลังจากการพิจารณาคดี พวกเขาก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานสมคบคิดกับพวกศัตรู ไม่มีใครรอดชีวิต เลือดไหลนองเป็นสายน้ำอย่างน่าสลด
“แม่ทัพเป่ย บ่อนของท่านตั้งอยู่ในหลันซีที่พลุกพล่าน ที่นี่เหมาะจะหาข่าวมากที่สุด…”
“ใช่ขอรับ บ่อนแห่งนี้เปิดมาเพื่อรวบรวมข้อมูลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้ากำลังสืบว่าใครกันที่วางกับดักจับตระกูลเซียว” เป่ยหยินกล่าว
“แม่ทัพเป่ยรู้แล้วหรือ?”
“การสืบสวนใกล้บรรลุเป้าหมายแล้ว” เป่ยหยินพูด
“เขาคือใคร?” หลังจากที่เว่ยฉิงพูดคำนี้มือของเขาก็กำแน่นอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาเกร็งแน่นขึ้น อีกไม่นานก็จะรู้แล้วว่าใครคือผู้ก่อความเกลียดชังนี้
“สกุลหวัง” เป่ยหยินพูด “องค์หญิงใหญ่ และสกุลหลู”
สกุลหวังไม่ต่างจากที่เขาคาดเดา แต่องค์หญิงใหญ่และสกุลหลู…
ไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงใหญ่ ตระกูลหลูเป็นตระกูลขุนนางที่ครองตำแหน่งรองเสนาบดี เขามีอำนาจแข่งขันกับกับต้วนโส่วฝู่ได้
“หากต้องต่อสู้กับยักษ์ ก็ไม่แปลกใจที่สกุลเซียวจะเสมือนแกะที่เดินเข้าปากเสือเช่นนี้”
เป่ยหยินยิ้มเยาะ รู้สึกไร้ซึ่งอำนาจ
ถึงเขารู้ ก็ไม่อาจล้างแค้นให้กับความอยุติธรรมที่ได้รับได้ ไม่อาจล้างแค้นให้พี่น้องของเขาได้!