บทที่ 486 ซานเป่ากลับมาแล้ว
ซานเป่าและตู้เย่อยู่ในค่ายทหารเป็นเวลานานหลายเดือน ที่จริงนางคิดถึงท่านแม่และท่านพ่อไม่น้อยเลยทีเดียว ตื่นขึ้นมาก็เห็นแต่ใบหน้าบึ้งตึงของอาจารย์
ไม่ได้เจอท่านแม่มานานมากแล้ว
เมื่อรู้ว่าท่านแม่กลับมาเมืองหลวงแล้วซานเป่าจึงได้ขอร้องให้อาจารย์พานางกลับมา เด็กน้อยกลับมาถึงจวนก็ดึกโขแล้ว นางได้แต่กลับไปนอนที่ห้องของตนเอง ตอนเช้าจึงได้รีบวิ่งไปที่เรือนของบิดามารดา
เมื่อเห็นท่านพ่อ นางวิ่งเข้าไปกอดเขาอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงได้ย่องเข้าไปในห้องนอน มารดายังนอนหลับอยู่ ซานเป่าหยิกตัวเองเพื่อให้รู้นางไม่ได้ฝันไป นางค่อยๆ เลื่อนเก้าอี้เข้ามาวางไว้ที่ข้างเตียง จากนั้นจึงนั่งเท้าคาง จ้องมองมารดาด้วยดวงตากลมโตทั้งสองข้าง
เมื่อถังหลี่ตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ได้เห็นคือซานเป่าตัวน้อยที่น่ารัก ถังหลี่คิดถึงนางเป็นอย่างมาก ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปหานางที่ค่ายทหาร คาดไม่ถึงเลยว่าวันนี้พอลืมตาตื่นขึ้นมากลับเห็นใบหน้าของบุตรสาวคนนี้
ถังหลี่ลุกขึ้นนั่งอ้าแขนออก เด็กตัวน้อยโผเข้ามากอดมารดา
เจ้าตัวน้อยของแม่…
ถังหลี่พินิจดูบุตรสาว นางผิวคล้ำลง ใบหน้าที่เคยอิ่มกลมเรียวซูบลงเล็กน้อย ทำให้ดวงตาดูกลมโต น่ารักมากขึ้น
ซานเป่าพิงร่างถังหลี่ถูไถออดอ้อนนาง
“ท่านแม่ ซานเป่าคิดถึงท่านแม่… ตอนที่ซานเป่าฝึกวรยุทธ์ก็คิดถึง ตอนกินก็คิด ตอนนอนก็คิด ท่านแม่…ซานเป่าเข้าไปในความฝันของท่านแม่เหมือนที่ท่านแม่เข้ามาในความฝันของซานเป่าไหม?”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นถามอย่างคาดหวัง
ถังหลี่แตะจมูกของบุตรสาว ยิ้มน้อยๆ ถามว่า
“ใช่แล้ว ซานเป่าเข้ามากระโดดโลดเต้นในความฝันของแม่เช่นกัน”
ซานเป่ามีความสุข ท่านแม่คิดถึงนาง
ถังหลี่ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว นางบิดผ้าขนหนูเช็ดใบหน้าน้อยๆ ให้บุตรสาวจนสะอาดหมดจด จากนั้นจึงได้จูงมือนางไปรับประทานอาหารเช้า
ระหว่างที่กินอาหารอยู่นั้น ถังหลี่พบว่าซานเป่ากินจุมากขึ้นกว่าเดิม นางแทบจะกินเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิมด้วยซ้ำ ช่างยากที่จะจินตนาการได้ว่าตัวเล็กๆ และปากน้อยๆ นั่นจะกินอาหารได้มากมายถึงเพียงนี้
พอเห็นมารดามองมา ซานเป่าก็เกิดอาการอายขึ้นมา
“ท่านแม่ ข้ากินเก่งมากไหมเจ้าคะ?” ร่างกายของซานเป่าเผาผลาญได้ดี จึงทำให้นางกินอาหารได้เยอะขึ้น
“เจ้าเจริญอาหารขนาดนี้ ย่อมเป็นเรื่องดี แม่จ่ายไหว” ถังหลี่พูด ซานเป่าหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
แม้ว่านางจะโตขึ้นมาก หากทว่าซานเป่ายังตามมารดาติดอยู่เช่นเดิม ไม่ว่าถังหลี่จะเดินไปไหน นางจะคอยเดินตามไม่เคยห่าง เมื่อทั้งสองเดินมาถึงสนามฝึก พวกเขาหยุดฝีเท้าลง ในสนามฝึก ร่างในชุดสีเทาถือดาบยาวกำลังฝึกดาบอยู่ ทักษะในการใช้ดาบของเขารุนแรงมาก แทบทุกท่วงท่าเป็นกระบวนสังหารอย่างที่ไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้รอดชีวิตไปได้
แสงที่สะท้อนจากใบมีดตกลงที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาทำให้ดูแปลกตาไป ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาจะเป็นคนไร้ความปรานี สังหารคนได้อย่างโหดเหี้ยม
เขาเดินออกมาจากสนามฝึกซ้อม เหงื่อไหลซึมออกมาทุกขุมขนตามใบหน้า ถังหลี่อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ตู้เย่ช่างดูดีจริงๆ
เขายังเคยชินกับการกวัดไกวดาบด้วยมือข้างเดียว แม้ว่ามืออีกข้างจะเกือบหายดีแล้วจากการรักษาของหมอซู
ตู้เย่ถือดาบในมือทั้งสองข้าง เขาทักทายถังหลี่ มองไปที่ซานเป่า
เด็กน้อยจับแขนมารดาเอาไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างของนาง
“เจ้ายังอ้อนมารดาเหมือนเด็กน้อยอยู่อีก ไม่อายคนอื่นบ้างหรือ?” ตู้เย่ดุเบาๆ
“ไม่ว่าข้าจะอายุเท่าไหร่ข้าย่อมเป็นเด็กน้อยของท่านแม่อยู่ดี”
ซานเป่าขบกรามแน่นเถียงตู้เย่กลับทันที
ตอนนี้มารดาอยู่ใกล้ๆ ให้ความสนับสนุนนางเช่นนี้ นางไม่กลัวอาจารย์หน้าเหม็นผู้นี้หรอก!
“วันนี้เจ้าฝึกซ้อมหรือยัง?” ตู้เย่ถาม ซานเป่ากลอกตา นางพยายามแอบข้างหลังของมารดา หาข้ออ้าง หากแต่ตู้เย่กลับคว้านางออกมาทันที เขาพานางเข้าไปในสนามฝึก จากนั้นจึงมอบดาบให้ซานเป่า
ซานเป่าขี้เกียจไม่ได้ นางจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม
“ท่านแม่ข้าเก่งมากขึ้นแล้ว” ซานเป่าพูด
“ถ้าเช่นนั้นฝึกให้แม่ดูสักสองสามกระบวนท่า”
ซานเป่าพยักหน้า นางเดินไปตรงกลางของลานฝึก
ซานเป่าถือดาบยาว ดึงดาบออกมาพร้อมกับแกว่งดาบ ทุกการเคลื่อนไหวดูสง่างามหมดจด นางเป็นลูกศิษย์ของตู้เย่ ท่วงท่าของนางจึงคล้ายคลึงกับเขา ทั้งโหดเหี้ยมและอันตรายถึงแก่ชีวิต
การฝึกดาบเช่นนี้ไม่ได้เอาไว้ใช้ร่ายรำให้สวยงามแต่อย่างใด หากเอาไว้ใช้เพื่อสังหารอย่างแท้จริง
ซานเป่าจะเป็นแม่ทัพหญิงในภายหน้า เป็นเรื่องดีที่นางจะได้เรียนรู้เอาไปใช้ได้ในสนามจริง
ทักษะของนางไม่ทรงพลังเท่ากับตู้เย่ นางยังเด็กและเรียนมาได้ไม่นาน แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นางจะมีความชำนาญไม่น้อยไปกว่าอาจารย์ของนางเอง
ทั้งสองคนต่างคุยกันระหว่างดูซานเป่าฝึก
“ซานเป่าตามท่านไปที่ค่ายเป็นอย่างไรบ้าง?” ทั้งสองคนอาศัยอยู่ในค่าย และซานเป่าอยู่ในกระโจมเล็กๆ ข้างๆ เขา นางเป็นคุณหนูตัวน้อยๆ ของสกุลกู้ นางไม่เคยบ่นเลย ทั้งยังไม่มีอารมณ์ออดอ้อนเหมือนเด็กผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ นางตามติดเขาไม่เคยห่าง เป็นเด็กตัวน้อยๆ ที่เฉลียวฉลาดรู้เรื่องทุกอย่างจนไม่มีข้อบกพร่องเลย
“นางเชื่อฟังมาก” ตู้เย่เอ่ยชม
“แต่อย่าพูดให้นางได้ยินนะ ไม่เช่นนั้นหางของนางคงชี้ขึ้นฟ้า” ถังหลี่อดหัวเราะไม่ได้ เด็กๆ มีบุคลิกที่แตกต่างกันไป แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนบิดาของเขา นั่นคือหากได้รับคำชมแม้เพียงเล็กน้อยต่างก็หางชี้ฟ้ากันทุกคน
“การเขียนตำราพิชัยสงครามของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” ถังหลี่ถาม
“ข้าได้ประโยชน์ในการไปค่ายทหารมากทีเดียว” ตู้เย่เอ่ยขึ้นมาอย่างพึงพอใจ
“ข้าได้เขียนตำราบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร?”
เขาหวังว่าตำราพิชัยสงครามของเขาคงจะได้ใช้ในสนามรบได้บ้าง
ชีวิตของตู้เย่ในตอนนี้กล่าวได้ค่อนข้างเติมเต็มแล้ว เขามีซานเป่าเป็นลูกศิษย์ซึ่งจะได้ถ่ายทอดวิชาศิลปะการต่อสู้และการใช้ดาบของเขาต่อไปในข้างหน้า
ที่จริงแล้วการมีชีวิตอยู่ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ซานเป่าก็ฝึกดาบเสร็จแล้วเดินเข้ามา
“ท่านแม่ การฝึกของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซานเป่าเชิดหน้าขึ้น
ถังหลี่ยกนิ้วให้กับซานเป่า
“เก่งมาก”
เด็กน้อยกะพริบตาด้วยดวงตาที่กลมโตอย่างไร้เดียงสา ตามปกติแล้วนางต้องฝึกซ้อมทั้งวัน แต่เป็นเพราะไม่ได้เจอกับมารดามานานแล้ว นางจึงอยากอยู่ใกล้ชิดกับท่านแม่บ้าง
ถังหลี่ใจอ่อนยวบ อดไม่ได้ที่จะหันไปขอความช่วยเหลือจากตู้เย่
เมื่อตู้เย่เห็นดวงตาทั้งสี่ข้างสองคู่จ้องมองมาที่เขาอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าเขาเคร่งขรึม แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลง
“แค่เพียงครั้งนี้เท่านั้นนะ” ซานเป่ามีความสุขขึ้นมาทันที เด็กน้อยเอาดาบคืนให้กับอาจารย์ก่อนจะเอ่ยว่า
“อาจารย์ ท่านใจดีมากเลย” จากนั้นนางก็รีบจูงมือถังหลี่หนีไปทันที
ตู้เย่มองผู้ใหญ่และเด็กที่วิ่งหนีไป ก่อนจะส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงได้กระโดดเข้าไปในสนามฝึกดาบต่อไป
ถังหลี่พาซานเป่าไปตลาด เมื่อแรกที่ซานเป่าได้ไปค่ายทหารนางยังสดชื่นรื่นเริง แต่พออยู่นานไปก็เริ่มเบื่อหน่าย ค่ายทหารจะสนุกเหมือนเมืองหลวงได้อย่างไร ตลาดในเมืองหลวงคึกคักจอแจอยู่ตลอด มีของกินอร่อยๆ และสินค้าที่น่าสนใจมากมาย
ในค่ายทหารนางได้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกๆ วัน เรียนหนังสือ ฝนหมึกให้อาจารย์ พอวันนี้ได้มาเดินเที่ยวในตลาด ซานเป่าก็เหมือนม้าที่ถูกปล่อยเข้าป่าไปทันที