บทที่ 489 หนังสือต้องห้าม
เมื่อเว่ยจื่ออี้คิดเช่นนั้นเขาจึงถามอย่างตรงไปตรงมา
“จื่ออี้ เจ้าอย่าคิดเช่นนั้น ข้าไม่มีความคิดสกปรกอะไร มีหญิงสาวชื่อเหลียนเซียงอยู่ในหอนี้ เจ้ารู้ไหมว่านางมาจากไหน นางมาจากเมืองชุนโจว แคว้นฉี ทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำแยงซีที่อุดมไปด้วยทรัพยากรมากมาย ผู้คนล้วนโดดเด่นงดงามมากมายราวกับหมู่ดาว เจ้าไม่อยากรู้ขนบธรรมเนียมของแคว้นฉีหรือ แล้วไหนยังจะเมืองชุนโจวอีกเล่า เจ้าไม่สนใจหรือ?”
เจียงผิงพูดหว่านล้อมเก่ง ดวงตาเขาเป็นประกายเมื่อพูดถึงชุนโจว
หัวใจของเว่ยจื่ออี้คันยุบยิบ เขาจะไม่อยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร ทิวทัศน์ของเมืองชุนโจวนั้น หาอ่านได้แต่ในหนังสือเท่านั้น
เขาไม่เคยพบกับคนชุนโจวมาก่อน เขาจึงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเมืองชุนโจวเป็นอย่างมาก
แต่…
“จื่ออี้! เหตุใดเจ้าจึงลังเล หรือคิดว่าเหลียนเซียงเป็นหญิงคณิกา เจ้าคิดดูถูกนาง แต่คนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้ แม้ว่าเหลียนเซียงจะอยู่ในซ่องแต่หัวใจของนางกลับสูงเสียดฟ้า”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเจอนางได้อย่างไร ตอนนั้นข้าพบว่านางเป็นลมอยู่ข้างถนน ข้าจึงช่วยพาไปโรงหมอ ทิ้งเงินไว้ให้แล้วจากไป ข้าไม่ได้จดจำใส่ใจเรื่องนี้ แต่เหลียนเซียงกลับตามหาข้าเพื่อที่จะขอบคุณแล้วคืนเงินให้ข้าอีกด้วย”
“เหลียนเซียงเป็นคนแข็งแกร่ง นางจะเลวร้ายไปกว่าพวกบัณฑิตได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของเจียงผิงตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“จื่ออี้ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่แตกต่างจากผู้อื่น แต่ข้าคงคาดผิดไป ที่แท้เจ้าก็เหมือนคนทั่วๆ ที่คิดว่าซ่องคณิกาเป็นสถานที่ที่สกปรก”
“พี่เจียว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าข้าจะดูถูกว่านางเป็นหญิงคณิกาแต่อย่างใด” เว่ยจื่ออี้อธิบายอย่างร้อนรน
“ถ้าเช่นนั้นเราก็เข้าไปข้างในกันเถอะ ตอนนี้เหลียนเซียงเพิ่งว่าง นางจะได้เล่าเรื่องเมืองชุนโจวให้พวกเราได้ฟัง”
เจียงผิงดึงมือเว่ยจื่ออี้หากเขาไม่ขยับ
“พี่เจียง อย่างไรข้าก็เข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นไม่ได้ หากข้าเป็นคนตัวคนเดียว ข้าย่อมไม่ใส่ใจคำพูดของผู้ใด แต่ข้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว บิดาของข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ไหนยังจะมีพี่ชายสองคนกำลังจะเข้าสอบเตี่ยนซื่อ หากเขาสอบได้เป็นขุนนางอย่างเต็มตัว ผู้คนจะคอยจับจ้องให้ความสนใจกับเขา เช่นนั้นแล้ว ตัวข้าเองจะทำอะไรลงไปก็ต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนดีเพื่อไม่ให้พวกเขาเดือดร้อน”
ครอบครัวของเขาให้อิสระเขาทำในสิ่งที่ต้องการอยากจะทำ เขาจึงไม่อาจที่จะทำให้ครอบครัวเดือดร้อนได้รับผลกระทบจากเขาได้
นี่คือบรรทัดล่างสุดที่เขาวางเอาไว้ ดวงตาของเจียงผิงสั่นไหว เขาไม่เต็มใจ
“ถ้าเช่นนั้นเราก็แอบเข้าไปกันเถอะ จะได้ไม่มีใครรู้ “
“ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ก็จงอย่าได้ทำ พี่เจียงถ้าหากเราทำสิ่งที่ดีเราจะไม่ต้องกังวลต่อคำพูดของผู้อื่น” เว่ยจื่ออี้ยืนตัวตรงพูดกับเขาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
เจียงผิงไม่ได้คิดเลยว่าเว่ยจื่ออี้ที่มีอายุเพียงแค่สิบสองปีจะทำตัวเด็ดเดี่ยว และยึดมั่นในบรรทัดฐานของตนเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถชักจูงเขาได้ เจียงผิงจึงได้แต่ยอมแพ้
“จื่ออี้ เป็นที่ข้าไม่ได้คิดอะไรให้รอบคอบเอง ข้าเพียงแต่อยากแบ่งปันกันเจ้าเท่านั้น ข้าไม่ได้คิดถึงความกังวลของเจ้าเลย เอาเถอะ เราไม่ต้องไปเจอกับเหลียนเซียงก็ได้ ข้าจะรวบรวมหนังสือเกี่ยวกับแคว้นฉีให้เจ้าเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมต่างๆของแคว้นส่งมอบให้เจ้าภายหลัง”
เจียงผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เว่ยจื่ออี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คำนับเจียงผิง
“ขอบคุณพี่เจียงขอรับ”
เจียงผิงประคองเขา พูดว่า “เจ้ากลับบ้านเถอะ”
จากนั้นทั้งสองจึงได้หันหลังเดินกลับบ้านไป
ในชั่วหนึ่งเค่อ[1]ต่อมา เจียงผิงกลับไปที่ประตูของหอโคมเขียว เขาเปิดประตูก้าวเข้าไปขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ข้างในห้องมีสาวงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ในนั้น นางถือตำราไว้ในมืออ่านด้วยเสียงเบาเหมือนกับกำลังท่องจำอยู่
เมื่อได้ยินเสียงนางจึงหันมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังเมื่อเห็นเขาเข้ามาแต่ผู้เดียว
“เขาไม่มากับเจ้าด้วยหรือ?” นางถาม
เจียงผิงส่ายหน้า
“เขาไม่ยอมเข้ามา”
“หากเขาไม่มาแล้วข้าจะทำงานสำเร็จได้อย่างไร ข้าท่องจำหนังสือได้เกือบหมดแล้ว เจ้าช่างเจรจาถึงเพียงนี้ ยังหว่านล้อมเขาไม่ได้อีกหรือ?” หญิงสาวพูดอย่างเย็นชา
“ยังมีวิธีอื่นอยู่อีก” เจียงผิงนั่งลงหลับตา
“ข้าจะหาวิธีเกลี้ยกล่อมเขาใหม่ในอีกสองสามวัน” เจียงผิงครุ่นคิดแล้วพูดออกมา
เขานั่งอยู่ในห้องสักครู่ จากนั้นจึงได้หันหลังเดินจากไป เมื่อกลับไปยังที่พักเขาจึงได้เห็นว่ามีคนยืนรอเขาอยู่ที่ประตูบ้านเช่า
“เจียงผิงกลับมาแล้วหรือ? หากเจ้ายังไม่กลับข้าคงคิดว่าหนีไปเสียแล้ว” ชายผู้นี้คือเจ้าของบ้านเช่าของเขานั่นเอง
“ข้าเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาจะหนีไปได้อย่างไรเล่า?” เจียงผิงตอบ
“ก็คงเป็นเช่นนั้นแหละ” เจ้าของบ้านมองเขาด้วยสายตาดูถูก “หากเจ้าไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่า ทำไมไม่หนีไปเสียล่ะ?”
สายตาที่ดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นทำให้เขาไม่สบายใจ
“ก็แค่เงินหนึ่งตำลึงเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ใช่ว่าข้าจะไม่มี” เจียงผิงว่าแล้วก็หยิบแท่งเงินออกมาจากกระเป๋า โยนให้เจ้าของบ้าน
“นี่สิบตำลึงเป็นค่าเช่าสิบเดือนใช่ไหม ? หายกังวลหรือยังล่ะ?”
เจ้าของบ้านรับเงินไปด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น นึกในใจว่าไม่รู้เจ้าเด็กคนนี้ไปร่ำรวยมาจากไหน?
สีหน้าของเจียงผิงบึ้งตึง เมื่อเห็นสายตาของเจ้าของบ้านเช่าที่มองเขา
ช่างเป็นวันที่สูญเปล่าจริงๆ! เขาเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องแล้วจุดเทียน
ภายในห้องของเขาตกแต่งเอาไว้อย่างเรียบง่าย มีเพียงโต๊ะ ตู้เตียงที่เก่าโกโรโกโส มีที่นั่งแค่บนเตียงเท่านั้น
เขาคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่คับแคบเช่นนี้มานานมากแล้ว แต่ในใจเขายังโหยหาแต่คฤหาสน์หลังใหญ่โตเท่านั้น สักวันหนึ่งเขาจะได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนั้น เขาจะต้องมั่งคั่งและร่ำรวย ผู้คนนับไม่ถ้วนจะคุกเข่ากราบกรานเขา
วันเวลาที่ยากแค้นเศร้าโศกจะจบสิ้นลงในไม่ช้า
ยิ่งเจียงผิงยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เขาคิดแต่เพียงว่าจะล่อให้เว่ยจื่ออี้ไปที่ซ่องคณิกาได้อย่างไร? จะต้องทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จลงได้
ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นลังอยู่ใต้เตียง เจียงผิงก้มลงเปิดลังออกมาอย่างรวดเร็ว มีหนังสืออยู่ในนั้น เขาหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทีละเล่ม
หนังสือเหล่านี้เป็นบันทึกเกี่ยวกับแคว้นฉี ทั้งแม่น้ำภูเขาและสภาพทางภูมิศาสตร์โดยทั่วไป มีแม้กระทั่งการแต่งกายในแคว้นฉี และนิยายปรัมปราเกี่ยวกับภูตผีปีศาจและขนบธรรมเนียมทางพื้นบ้านต่างๆ เขาพลิกหนังสือดูจากนั้นจึงได้เห็นเศษกระดาษที่เขียนเอาไว้ว่า
‘มอบหนังสือเหล่านี้ให้กับเว่ยจื่ออี้’ เจียงผิงมองไปกระดาษ หนังสือเหล่านี้อาจจะมีปัญหา แต่เขามองไม่ออกว่าเพราะอะไร ?
เขาวางเศษกระดาษแล้วจึงจุดไฟเผา ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่ก็ตาม คนผู้นั้นล้วนมีเกียรติ เชื่อถือได้ เขาสัญญาเอาไว้แล้ว ว่าตราบใดที่เขาทำงานได้สำเร็จ เขาจะได้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เขาจำเป็นต้องทำตามที่ได้รับปากคนผู้นั้นเอาไว้ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องลำบากคิดหาวิธีหลอกล่อเว่ยจื่ออี้เข้าไปในซ่องคณิกาแล้ว
พรุ่งนี้เขาจะมอบหนังสือเหล่านี้ให้กับเว่ยจื่ออี้ คนผู้นั้นจะดำเนินการต่อไปเอง ส่วนผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องให้ความสนใจ
เขาเป็นถึงบุตรชายของขุนนางใหญ่โตในราชสำนัก ก็แค่ทำดีกับตัวเขาแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น ทำไมเขาซึ่งมาจากครอบครัวที่ยากจนจะต้องไปกังวลกับเด็กคนนั้นด้วย!
[1] 1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล