บทที่ 490 เว่ยจื่ออี้ถูกใส่ร้าย
วันถัดมา
เมื่อเว่ยจื่ออี้มาถึงที่สำนักศึกษา เจียงผิงได้มอบตะกร้าใส่หนังสือให้เขา
“จื่ออี้นี่เป็นหนังสือที่ข้าได้รวบรวมเอาไว้ให้เจ้า เป็นหนังสือเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมและประเพณีในแคว้นฉี” เจียงผิงกล่าวออกมา เว่ยจื่ออี้รับไปอย่างมีความสุข
ในเมืองหลวงมีหนังสือเกี่ยวกับแคว้นฉีน้อยมาก เขาไปที่ร้านหนังสือหลายแห่งเพื่อจะหาซื้อสักเล่มแต่มันก็หมดไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเว่ยจื่ออี้เห็นหนังสือเต็มตะกร้า เขามองมันราวกับสมบัติ นี่เพียงพอที่เขาจะอ่านได้ไปหลายเดือนทีเดียว เขาแทบรอไม่ไหวที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกอ่านในตอนนั้น หากเจียงผิงกลับห้ามไว้
“จื่ออี้ ไม่ต้องรีบหรอก เจ้าทำการบ้านที่อาจารย์สั่งก่อนเถอะ แล้วค่อยกลับไปอ่านหนังสือพวกนี้ที่บ้าน”
เว่ยจื่ออี้จึงได้แต่แต่ระงับความตื่นเต้นของเขาเอาไว้
ใช่! เขาต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน
“ขอบคุณนะพี่เจียง” เว่ยจื่ออี้คำนับเจียงผิง
“จื่ออี้ เจ้าช่วยเหลือข้ามาก ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนเจ้านอกจากหนังสือเหล่านี้”
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน พี่อย่าได้เกรงใจไปเลย” เว่ยจื่ออี้กล่าว
เขาช่วยเจียงผิงเพราะเห็นแก่มิตรภาพระหว่างความเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ไม่ได้คิดให้อีกฝ่ายต้องมาตอบแทนบุญคุณกับเขา
เจียงผิงยิ้มไม่พูดอะไร
ในตอนเย็นหลังจากเลิกเรียน เว่ยจื่ออี้จึงกลับบ้านพร้อมกันตะกร้าใส่หนังสือ พอเขาอ่านไปเล่มแรกก็ติดใจจนถึงกลับลืมที่กินข้าวเลยทีเดียว เขาติดพันในการอ่านจนกระทั่งมีเสียงมาเคาะประตูเรียกเขา
….
วังรุ่ยอ๋อง
“นายท่าน เจียงผิงได้ทำการมอบหนังสือให้กับเว่ยจื่ออี้แล้ว ตอนนี้เขานำหนังสือกลับไปยังจวนอู่โหวแล้วขอรับ” องครักษ์ของเขาเข้ามารายงาน
เมื่อจ้าวชูได้ยิน รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของเขา
“ดี!” เด็กคนนี้รับมือได้ง่ายกว่าจิ้งจอกเฒ่าสองตัวนั่น ถังหลี่ และเว่ยฉิง
โชคดีที่พระชายาของเขาเตือนเขาให้โจมตีจุดอ่อนของอู่อวี้ ในกองหนังสือเหล่านั้นมีหนังสือต้องห้ามรวมอยู่ด้วย
เด็กคนนั้นไม่รู้จักหนังสือต้องห้าม ป่านนี้คงจะอ่านอย่างเพลิดเพลินไปแล้ว
ในแคว้นของต้าโจว การมีหนังสือต้องห้ามเก็บไว้ในครอบครองถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย ผู้ที่ครอบครองจะถูกลงโทษ รวมไปถึงสมาชิกของครอบครัวด้วย เหตุการณ์คงจะทำให้สกุลอู่ถึงกลับตกตะลึง โดนถลกหนังออกอย่างเป็นแน่!
“เจ้าไปบอกเจียงผิงให้ไปรายงานว่าเว่ยจื่ออี้มีหนังสือต้องห้ามอยู่ในครอบครองกับศาลต้าหลี่” จ้าวชูสั่ง
“ศาลต้าหลี่! นายท่าน…ความสัมพันธ์ของกู้หวนเนี่ยนกับสกุลอู่จะทำให้เขาปิดบังเรื่องนี้หรือไม่?” องครักษ์เงาลังเล
หากจ้าวชูกลับยกมุมปากขึ้นยิ้ม ด้วยพฤติกรรมของกู้หวนเนี่ยนแล้ว เขาไม่เพียงแต่จะไม่ปกปิด หากยังค้นหาอย่างละเอียดพิถีพิถันอีกด้วย
กู้หวนเนี่ยนเข้าค้นหนังสือต้องห้ามในจวนอู่โหว ทั้งยังตัดสินให้เว่ยจื่ออี้ซึ่งเป็นบุตรชายของถังหลี่รับโทษ จะต้องมีรอยร้าวเกิดขึ้นระหว่างพี่น้อง หรือถ้าหากกู้หวนเนี่ยนปกปิดเรื่องนี้ เขาจะถูกลากลงมาให้มีความผิดฐานเจตนาปิดบังด้วยเช่นกัน สกุลกู้ครั้งนี้จะทำอย่างไร?
กู้หวนเนี่ยนเป็นคนยุติธรรม ไม่ไว้หน้าใคร ได้รับสมญาผู้พิพากษาเหล็ก หากเขามีเจตนาเห็นแก่ตัวปกปิดเรื่องนี้จะทำให้ชื่อเสียงเขาเสียหาย และคดีจะถูกส่งต่อไปให้ผู้อื่นพิจารณาคดีแทน
กล่าวโดยย่อแล้วการที่เขาส่งคดีนี้ไปยังศาลต้าหลี่แทนที่จะเป็นศาลจิงเจ้าหยิน ก็เป็นเพราะความต้องการที่จะขว้างหินครั้งเดียวฆ่านกได้สองตัวนั่นเอง
“ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่งเถอะ”
“ขอรับ นายท่าน” องครักษ์ของจ้าวชูไปแจ้งเรื่องนี้กับเจียงผิง
“อะไรนะ? เจ้าต้องการให้ข้าไปแจ้งว่าเว่ยจื่ออี้มีหนังสือต้องห้ามไว้ในครอบครองหรือ?” เจียงผิงตกใจเมื่อได้ยิน
เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่ามีหนังสือต้องห้ามอยู่ในหนังสือที่เขามอบให้เว่ยจื่ออี้ เขาได้อ่านหนังสือเหล่านั้นแล้วแต่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะเป็นหนังสือต้องห้าม
หนังสือต้องห้ามมีชื่อเสียงมากมายในแคว้นต้าโจว อาจารย์ได้สอนพวกเขาเอาไว้ว่าเมื่อใดที่พวกเขาได้เจอหนังสือเหล่านี้ ต้องมอบให้กับศาลอย่าได้เก็บไว้กับตัวอย่างเด็ดขาด
หนังสือต้องห้ามที่ซ่อนอยู่น่าจะเป็นหนังสือที่หาได้ยากมาก มีเพียงขุนนางเท่านั้นที่จะมีความสามารถเช่นนั้นได้ เขาจำไม่ได้และเว่ยจื้ออี้ก็เช่นกัน การมีหนังสือต้องห้ามไว้ในครอบครองย่อมถือว่าผิดกฎหมาย แน่นอนว่าที่เขากังวลไม่ใช่เป็นเพราะเว่ยจื่ออี้ แต่เป็นตัวเขาเองมากกว่า
บิดาของเว่ยจื่ออี้เป็นถึงเจ้ากรมอาญาเป็นผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ของเขา หากตัวเขาไปฟ้องร้องกับศาลต้าหลี่โดยตรงนั่นย่อมหมายถึงเขาเป็นผู้หักหลังเว่ยจื่ออี้ สกุลอู่จะปล่อยเขาไปหรือ?
“ท่าน…ให้ผู้อื่นไปฟ้องแทนข้าได้หรือไม?”
เจียงผิงมองร่างที่เห็นอยู่รางๆ ในเงาสลัว เขาถามอย่างลังเล
“เจ้าไม่อยากได้ความดีความชอบหรอกหรือ สถานะของนายท่านสูงกว่าเจ้ากรมอาญามากนัก ครั้งนี้จวนอู่ย่อมบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มาถึงเจ้าหรอกไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่เจ้าทำเรื่องนี้สำเร็จ นายท่านจะให้ให้ตำแหน่งแก่เจ้าในศาลจิงเจ้าหยินอย่างน้อยก็ต้องได้เป็นขุนนางขั้นเจ็ด”
ขุนนางขั้นเจ็ด!
สำหรับเจียงผินที่เป็นเด็กมาจากครอบครัวที่ยากจนแล้ว การได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางขั้นเจ็ดย่อมเป็นที่ใฝ่ฝันของเขาอีกทั้้งยังได้อยู่ในจิงจ้าวหยินอีกด้วย
แม้แต่ในการสอบเตี่ยนซื่อ[1] หากไม่ใช่ในสามอันดับแรกแล้ว หลายคนจะได้แต่งตั้งเป็นแค่นายอำเภอก่อน
แต่ตำแหน่งที่เขาได้รับนั้นง่ายกว่าการสอบเตี่ยนซื่อมากนัก หากเขาได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ของจิงจ้าวหยินแล้ว ใครจะกล้ามาดูถูกเขาอีก!
เจียงผิงฝันถึงวันที่เขาได้สวมเครื่องแบบขุนนางอย่างเป็นทางการ ผู้คนที่ในอดีตล้วนดูถูกเขาต่างก็ต้องมาคุกเข่าลงที่แทบเท้าของเขาทุกคนเมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขามีความสุขขึ้นมาทันที
หากยามที่เขากลับบ้านเกิด เขาจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ทุกคนต้องอิจฉาเขาเป็นแน่
“ได้ ! ข้าจะไปฟ้องที่ศาลต้าหลี่เอง!” เจียงผิงตื่นเต้นกัดฟันตอบตกลงทันที
นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะทะยานขึ้นฟ้าในก้าวเดียว เขาจะต้องคว้าเอาไว้ไม่ให้พลาด
วันถัดมา
คืนนั้นเจียงผิงไปฟ้องร้องที่ศาลต้าหลี่ว่าเว่ยจื่ออี้ซ่อนหนังสือต้องห้ามเอาไว้เป็นการส่วนตัว เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในยามกลางคืนรีบไปรายงานเรื่องนี้ผู้ดูแลศาลต้าหลี่ทันที
กู้หวนเนี่ยนรีบเดินทางมายังศาลต้าหลี่ เขาพบกับเจียงผิง
“ข้าเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเว่ยจื่ออี้ ข้าเห็นเขามีพิรุธแอบอ่านหนังสือ จึงได้เกิดความสงสัยไปพลิกดูหนังสือเล่มที่เขาอ่าน จึงได้พบว่าเป็นหนังสือต้องห้าม” เจียงผิงกล่าวต่อกู้หวนเนี่ยนอย่างตื่นเต้น
“ข้าทั้งตกใจและไม่สบายใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่าเว่ยจื่ออี้เป็นคนมีเหตุผล ไฉนจึงได้หลงทางคดเคี้ยวไปเช่นนั้นได้ เขาละเมิดกฎหมายของแคว้นต้าโจว ข้าจึงคิดว่าควรมาแจ้งเอาไว้กับศาลเสียก่อน”
ระหว่างที่พูด เจียงผิงคุกเข่าหันไปทางกู้หวนเนี่ยน
“นายท่านได้โปรดให้สืบสวนดำเนินเรื่องด้วยขอรับ”
แคว้นต้าโจวมีกฎหมายว่าด้วยเรื่องหนังสือต้องห้าม เป็นเพราะยามที่ฮ่องเต้เพิ่งได้ขึ้นครองราชย์นั้น มีข้าราชบริพารบางคนได้ถูกมอมเมาจากหนังสือต้องห้ามนั้นจนถึงกลับทำให้สั่นสะเทือนบัลลังก์ไปเลยทีเดียว หลังจากนั้นจึงได้มีการสั่งเพิ่มบทลงโทษ และผู้ที่มีหนังสือไว้ครอบครองจะถึงแก่ประหารชีวิต เมื่อมีผู้แจ้งมาก็ต้องทำการสอบสวนอย่างเข้มงวด
กู้หวนเนี่ยนเม้มริมฝีปากได้รูปแน่น
จื่ออี้มีหนังสือต้องห้ามไว้ในครอบครองหรือ? ไม่ว่ากู้หวนเนี่ยนจะเป็นผู้ทรงไว้ด้วยความยุติธรรมและเที่ยงตรงเพียงไร ทว่าเขาก็ยังเป็นปุถุชน จื่ออี้เป็นหลานชายของเขา เขาไม่เชื่อว่าหลานชายจะจงใจทำสิ่งที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด เขายังเด็กอาจมีใครวางแผนใส่ร้ายเขา
กู้หวนเนี่ยนถอนหายใจเข้าลึกระงับสติอารมณ์ของตน ไม่ช้าเขาก็ตัดสินใจ
ต้องตรวจค้น! คิดแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที
“ส่งเจ้าหน้าที่สามร้อยนายไปรอรับคำสั่ง!” กู้หวนเนี่ยนเอ่ยขึ้นมา
“ขอรับ”
“ข้าจะไปที่นครบาลกลาง” ราชสำนักได้จัดตั้งส่วนของตุลาการขึ้นมาสามส่วน อันประกอบไปด้วย กรมอาญา ศาลต้าหลี่ และกรมนครบาลซึ่งมีหน้าที่พิจารณาคดีต่างๆ โดยปกติแล้วกรมอาญาและศาลต้าหลี่จะรับผิดชอบในการไต่สวนคดี คดีส่วนใหญ่จะมีความทับซ้อนกัน ในขณะที่นครบาลจะมีหน้าที่กำกับดูแล เฉพาะในคดีสำคัญๆเท่านั้น คดีนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับญาติและเป็นคนในครอบครัวของเขา หากเขาต้องไปทำการตรวจค้น ด้วยตัวเองแล้ว อาจจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามหลังมาในเรื่องความไม่โปร่งใสก็เป็นได้ ต่อให้เขาทำไปด้วยความบริสุทธ์ยุติธรรมก็ตาม ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องมีเจ้าหน้าที่จากนครบาลไปร่วมด้วยเพื่อป้องกันการครหา และจะทำให้น่าเชื่อถือ
กู้หวนเนี่ยนจึงไปที่ผู้ตรวจการกำกับดูแลทันทีทั้งสองหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในที่สุดฝ่ายผู้ดูแลนครบาลจึงได้ตัดสินใจไปร่วมกันค้นหาหนังสือต้องห้ามที่จวนอู่โหวพร้อมกัน
จวนอู่โหว
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นกลางดึก เว่ยฉิงและถังหลี่ยังไม่นอน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เว่ยฉิงจึงได้ลุกขึ้นมาเปิดประตู
“นายท่าน ฮูหยิน มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นขอรับ มีเจ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่มารออยู่ที่ด้านนอก”
มาจากศาลต้าหลี่หรือ? เว่ยฉิงขมวดคิ้ว หันไปสั่งบ่าวว่า
“ไปปลุกท่านพ่อท่านแม่และบุตรชายของข้าทั้งสามคนด้วย”
ถังหลี่รีบแต่งตัวแล้วเดินไปที่ประตูพร้อมกับเว่ยฉิง
ที่ประตูจวนอู่โหว
กู้หวนเนี่ยนและกรมนครบาลนำเจ้าหน้าที่มายืนรออยู่ที่ด้านหน้า ดูไปแล้วช่างน่าเกรงขามเต็มไปด้วยความกดดัน
ไม่นานนักสมาชิกในครอบครัวก็พากันเดินมา เด็กๆ มีทีท่าสับสน พวกเขาเดินไปหาถังหลี่อย่างประหลาดใจ
เหตุเจ้าหน้าที่ถึงได้มากันเยอะมากเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ท่านแม่…” เว่ยจื่ออี้มองมารดาอย่างไม่สบายใจ ถังหลี่เอามือวางบนไหล่ของบุตรชาย
“ใต้เท้าทั้งสอง มาเยี่ยมเยียนกลางดึกเป็นเพราะเหตุใดหรือ?” เว่ยฉิงถาม
“พวกเราได้รับรายงานว่ามีคนในจวนอู่โหวของท่านมีหนังสือต้องห้ามเอาไว้ในครอบครองพวกเราจึงมาเพื่อค้นหา”
เจ้าหน้าที่ตอบเว่ยฉิง
“หนังสือต้องห้ามหรือ? ใครเป็นคนมีหนังสือต้องห้าม?” ถังหลี่ถามอย่างแปลกใจ กู้หวนเนี่ยนมองไปที่หลานชายของเขา
“เว่ยจื่ออี้!”
ใบหน้าของเว่ยจื่ออี้ซีดลง
“ไม่…ข้าจะมีหนังสือต้องห้ามไปได้อย่างไร?”
“ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราจะขอค้นจวนอู่โหวของท่าน หากไม่มีหนังสือที่ว่า เราจะคืนความบริสุทธิ์ให้ท่าน” เจ้าหน้าที่ตอบ
ผู้ตรวจการนครบาลมองเว่ยฉิง
“ใต้เท้าอู่ ท่านจะให้พวกเราค้นหรือไม่?”
เว่ยฉิงพยักหน้า
“ค้นเถอะ”
เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปค้นหาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเรือนของเว่ยจื่ออี้ที่พวกเขาพากันค้นอย่างละเอียด
เว่ยจื่ออี้มองด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองเต็มไปด้วยความหวาดวิตกและไม่สบายใจ
ทันใดนั้นก็มีมือมาวางบนบ่าของเขา เมื่อเขาหันขึ้นไปมองก็เห็นแววตาที่อบอุ่นของมารดามองมายังเขาอย่างอ่อนโยน
“มีแม่อยู่เจ้าไม่ต้องกลัว”
เว่ยจื่ออี้รู้สึกสบายใจขึ้นทันที
[1] “เตี่ยนซื่อ” หรือการสอบในพระราชวัง เป็นการสอบคัดเลือก “ก้งเซิง” ที่จัดขึ้นในเขตพระราชวังและใช้ข้อสอบที่กษัตริย์ทรงเป็นผู้ออกเอง