บทที่ 492 ความขัดแย้งในการเลือกองค์รัชทายาท
เว่ยฉิงมองท่าทีที่ดุร้ายของภรรยา เขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ จ้าวชูไม่ควร…ไม่ควรแตะต้องเอ้อร์เป่า !
เว่ยฉิงเอาแขนโอบรอบร่างของถังหลี่ กอดนางให้แน่นขึ้นให้ใบหน้าของถังหลี่ซบเข้ากับหน้าอกของเขา วางคางของเขาเข้ากับศีรษะที่มีผมยุ่งเหยิงของนางด้วยท่าทางที่ใกล้ชิดสนิทสนม
“สามี จากวังของรุ่ยอ๋องไปที่วังหลวง รถม้าของจ้าวชูจะต้องผ่านทางคูเมือง หากม้าเกิดเตลิดแล้วเสียหลักขึ้นมา อาจจะดึงรถม้าตกลงไปในแม่น้ำ…” เสียงของถังหลี่สงบหากแววตากลับฉายความโหดเหี้ยมอำมหิตออกมา
นางก็แค่อยากรู้ว่า ถ้าจ้าวชูผู้เป็นพระเอกในนิยายเรื่องนี้ เกิดตกลงไปในคูน้ำอย่างกระทันหัน น้ำที่ไหลเชี่ยวเช่นนั้นจะทำให้เขาจมน้ำตายได้หรือไม่?
“ฮูหยิน ตราบเท่าที่เหตุเกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์แล้วก็จะมีร่องรอยมีหลักฐานให้ติดตามได้ หากจ้าวชูจมน้ำตาย คดีต้องถูกส่งไปยังศาลต้าหลี่ เพื่อทำการสอบสวน หากศาลต้าหลี่สืบรู้เข้าจริงๆ เราจะทำอย่างไร? เว่ยฉิงถาม
ถังหลี่พูดไม่ออก
หากนางเคลื่อนไหวขึ้นมาจริงๆ นางจะไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ แต่ถ้าเกิดมีหลักฐานเล่า? พี่ชายของนางเก่งในการสืบคดี เขามีนิสัยชอบค้นหาความจริง หากเขาสืบสวนต่อไปหากพบว่าเป็นนาง… พี่ชายจะจัดการอย่างไร?
ในนิยายเรื่องนี้ พี่ชายของนางได้ละเมิดหลักการของตนเองเพราะกู้อิ๋น ตอนนี้ตัวนางจะก่อปัญหาให้กับพี่ชายเหมือนเช่นที่กู้อิ๋นทำหรือ?
“ฮูหยิน สำหรับจ้าวชูแล้วมันไม่คุ้มหรอก” ในที่สุดเว่ยฉิงก็เอ่ยขึ้นมา ถังหลี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ใช่! ไม่คุ้มเลย ไม่ควรไปเสี่ยงกับจ้าวชู ยิ่งไปกว่านั้นหากจ้าวชูตายไปมันก็ง่ายเกินไปสำหรับเขา จ้าวชูทำเรื่องเลวร้ายมามากมาย เขาไม่ควรจะตายไปง่ายๆ เช่นนั้น
“ใช่ ไม่คุ้ม” ถังหลี่พูดขึ้น นางเงยหน้ามามองสามี “แต่สามี ข้ารับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ”
“จ้าวชูตั้งใจเล่นงานเด็ก เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะลืมได้” เว่ยฉิงพูด
“สามี ท่านมีวิธีจัดการกับเขาไหม?”
“ฮูหยิน ข้าจะให้เจ้าดูของบางอย่าง” เว่ยฉิงลุกขึ้น จับถังหลี่นั่งที่เก้าอี้ ส่วนตัวเขาเดินไปที่กำแพง กดตรงกำแพงสองสามครั้ง ช่องที่ซ่อนอยู่ในกำแพงก็ปรากฏออกมา
เขาหยิบกระดาษที่อยู่ด้านในออกมาจากที่ซ่อนแล้วส่งให้ถังหลี่ นางหยิบขึ้นมาดู ในนั้นมีรายการบัญชีแยกประเภทเอาไว้
หลังจากที่ถังหลี่ได้อ่าน นางจึงได้รู้ว่านี่คือหลักฐานการติดสินบนของจ้าวชู มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก จ้าวชูในฐานะที่เป็นองค์ชายได้ทำเรื่องนี้!
“นี่เป็นหลักฐานที่ได้เก็บรวบรวมเอาไว้นานแล้ว”
จ้าวชูและสกุลหวังทางฝั่งมารดาของเขา เป็นหนึ่งในผู้ที่สังหารสกุลเซียวและมารดาของเขา
เว่ยฉิงส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้ ในที่สุดก็รวบรวมหลักฐานมาได้
“ฮูหยิน ด้วยหลักฐานเหล่านี้ เราสามารถที่จะกำหนดชะตากรรมของจ้าวชูได้ และนำมันออกมาในเวลาที่เหมาะสมเพื่อที่จะฆ่าเขา” เว่ยฉิงพูด ถังหลี่ยิ้มอย่างเย็นชา
“ใช่แล้ว! สิ่งที่จ้าวชูสนใจมากที่สุดคือบัลลังก์ เขาต้องการที่จะเป็นองค์รัชทายาทและฮ่องเต้ เราจะปล่อยให้เขาล้มเหลว นี่จะเป็นการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
……….
วันถัดมา
เว่ยฉิงเข้าวังแต่เช้าเพื่อไปประชุมสภาขุนนาง หลังจากประชุมเสร็จ ข้าราชบริพารหลายคนพากันเดินทางไปที่ศาลาซ่างซูกันอีกครั้ง ที่นั่นมีการประชุมขุนนางอีกครั้ง เพียงแต่เป็นการประชุมขนาดเล็ก ผู้เข้าร่วมประชุมล้วนเป็นข้าราชบริพารที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยเป็นอย่างยิ่ง นำโดยต้วนโส่วฝู่ และมีเว่ยฉิงรวมอยู่ด้วย
เมื่อเห็นว่าให้เว่ยฉิงเข้าร่วมในการประชุมด้วย ท่าทีของขุนนางหลายคนก็เปลี่ยนไป แม้ว่าเว่ยฉิงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมอาญาแล้วก็ตาม แต่ก็เทียบไม่ได้กับการได้เข้าร่วมประชุมในวันนี้ซึ่งมีหัวข้อเกี่ยวกับการจัดตั้งเลือกเฟ้นผู้ที่จะเป็นองค์รัชทายาท
ฮ่องเต้โจวประทับนั่งวรกายตรง แสดงให้เห็นบารมีของผู้มีบุญญาธิการ
“เอาล่ะ มาพูดถึงความเห็นของพวกท่านดีกว่า” ฮ่องเต้ตรัสออกมาก่อน
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทควรสรรหาผู้ที่เหมาะสมให้เร็วที่สุดจะเป็นการทำให้เกิดขวัญกำลังใจแก่ประชาราษฎร์พะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมมีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ฝ่าบาทสมควรสถาปนาองค์รัชทายาทให้เร็วที่สุด องค์ชายแต่ละองค์ล้วนมีพระชนมายุเพิ่มมากขึ้นแล้ว หากฝ่าบาทแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว องค์ชายที่เหลือจะได้สามารถช่วยเหลือองค์รัชทายาทได้พะย่ะค่ะ”
มีขุนนางอยู่เพียงสองหรือสามคนเท่านั้นที่ไม่ได้เปิดปากพูดเอ่ยสนับสนุนในเรื่องนี้ ส่วนที่เหลือล้วนพากันเร่งรัดให้แต่งตั้งองค์รัชทายาททุกคน
ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรได้อย่างชัดเจนว่าผู้พูดมีเจตนาอย่างไร พระองค์ไม่ปฏิเสธการแต่งตั้งองค์รัชทายาทซึ่งจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ในภายหน้า
สายพระเนตรเบนกลับไปที่ขุนนางสามคนที่นั่งอยู่อย่างสงบไม่ได้เอ่ยปากพูดสนับสนุนแต่อย่างใด
คนหนึ่งคือต้วนโส่วฝู่ หลู่เสวี่ยชื่อและอู่อวี้
ฮ่องเต้โจวเบนสายพระเนตรออกไปหันไปตรัสถามอีกครั้งว่า
“ขุนนางทั้งหลาย ท่านเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นองค์รัชทายาทที่สุด”
เมื่อฮ่องเต้เอ่ยพระโอษฐ์ ขุนนางที่นั่งอยู่พากันลังเล
“พวกท่านเอ่ยพูดได้ตามใจชอบเถิด ไม่ต้องลังเล ข้าอยากฟังความเห็นของพวกท่าน”
ในหมู่ขุนนางพลันมีผู้ใจร้อนพูดขึ้นมาคนแรก
“กระหม่อมเห็นสมควรว่าเป็นองค์ชายสาม ท่านเป็นผู้มีจริยวัตรที่สง่างาม เก่งทั้งทางบู๊และบุ๋นอย่างหาผู้ใดเปรียบยากพะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นว่าองค์ชายหกทรงเป็นผู้ที่เหมาะสม ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีปฏิภาณไหวพริบดี เฉลียวฉลาด สมกับเป็นผู้ที่สมควรเข้าชิงในตำแหน่งองค์รัชทายาทพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรดูข้าราชบริพารของพระองค์ ทรงมีรอยแย้มสรวลอยู่บนพระพักตร์ พระองค์ได้ทรงตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ข้าราชบริพารได้แบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายแรกสนับสนุนองค์ชายสาม อีกฝ่ายสนับสนุนองค์ชายหก
ลูกสาม…ลูกหกเป็นโอรสองค์สุดท้ายของเขา ที่ได้เข้าร่วมประชุมสภาขุนนางได้ไม่นานนัก ข้าราชบริพารหลายคนต่างชื่นชมเขามาก เขาเองก็ได้ประจักษ์กับตนเอง แม้ว่าลูกหกจะดื้อรั้นไปอยู่บ้าง แต่ก็เป็นโอรสที่เขาโปรดปรานที่สุด
“ต้วนโส่วฝู่ ท่านคิดเห็นอย่างไร?” ฮ่องเต้โจวตรัสถาม
ต้วนโส่วฝู่เดินไปตรงกลางที่ประชุม เอ่ยกับฮ่องเต้โจวด้วยน้ำเสียงเคารพว่า
“กระหม่อมมีความเห็นว่าองค์ชายแต่ละพระองค์ล้วนมีพระปรีชาสามารถเป็นของตนเอง ฝ่าบาทจะเลือกใครขึ้นมาเป็นองค์รัชทายาท กระหม่อมก็เห็นสมควรทั้งสิ้นพะย่ะค่ะ”
“เสนาบดีอู่ล่ะ? ท่านคิดเช่นไร?” ฮ่องเต้โจวมองเว่ยฉิง เว่ยฉิงกล่าวด้วยความเคารพว่า
“กระหม่อมเห็นสมควรตามพระประสงค์ของฝ่าบาทพะย่ะค่ะ” เว่ยฉิงก้มหน้าลง คำพูดของเขาอ่อนน้อมมาก ทว่าสายตาที่หลุบต่ำลงกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
องค์รัชทายาท?
ตำแหน่งนั้น เดิมทีก็เป็นของเขาอยู่แล้ว เมื่อเขายังอายุน้อย เขาก็ได้เข้าร่วมประชุมที่ศาลาซ่างซูเช่นกัน ในเวลานั้นเขาดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท ข้าราชบริพารและขุนนางต่างก็แซ่ซ้องชื่นชมในบารมีของเขา ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนผันไป ผู้คนล้วนเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ตัวเขาเองกลายเป็นขุนนาง ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ก้าวเข้ามาในศาลาซ่างซูแห่งนี้อีกครั้ง
ความรู้สึกในใจของเว่ยฉิงไม่ได้คิดเสียดายอำนาจและตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทแต่อย่างใด หากไม่ใช่เพราะต้องการแก้แค้นและทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลเซียวเขาคงไม่เข้ามาเป็นขุนนาง
เว่ยฉิงได้ค้นพบว่า อำนาจที่ทุกคนใฝ่หาทำให้มนุษย์ได้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่กัดกินผู้คนด้วยกันเอง โดยมีผู้คนในตระกูลเซียวหลายร้อยคนและกองทัพของตระกูลเซียวเรือนหมื่นล้วนตกเป็นเหยื่อสังเวยอำนาจ
ฮ่องเต้โจวทรงพระสรวลออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆๆ เสนาบดีต้วน และเสนาบดีอู่ ต่างได้ช่วยแบ่งปันความกังวลในใจข้า แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ยังไม่อาจตัดสินใจในปัญหาที่ยากแก่การวินิจฉัยเช่นนี้ได้” แม้ว่าฮ่องเต้โจวจะกล่าวเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วเขากลับมีความสุขมาก
การเปลี่ยนแปลงในพระราชอำนาจของกษัตริย์เป็นเรื่องปกติที่ข้าราชบริพารล้วนมีความคิดที่เอนเอียงของตนอยู่ภายในใจ แต่ตราบใดที่ตอนนี้เขายังเป็นฮ่องเต้อยู่ เขาย่อมมีความขุ่นเคืองอยู่ในใจที่ข้าราชบริพารของเขาได้ทำการตัดสินใจเลือกเจ้านายคนต่อไปของพวกเขาแล้ว!
แต่การกระทำของต้วนโส่วฝูและอู่อวี้กลับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เอนเอียงเข้าข้างกับฝ่ายใด และยังจงรักภักดีอยู่กับเขาเท่านั้น ภายในใจของเขาย่อมยินดีปรีดาเป็นธรรมดาของปุถุชน
“ข้าต้องคิดให้รอบคอบ” ฮ่องเต้โจวลูบพระเศียร สีพระพักตร์อ่อนล้าลง
“เอาล่ะ พวกท่านออกไปเถอะ”
“พะย่ะค่ะ” บรรดาข้าราชบริพารต่างถอยออกไป ฮ่องเต้โจวไม่ปกปิดความอ่อนล้าทางวรกายอีกต่อไป พระองค์ทรุดลงนั่งยังที่ประทับ
ไม่นานนักมีเจ้าหน้าที่ถือถาดเข้ามาถวายในนั้นมีฝาครอบจานและน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว
“ฝ่าบาทได้เวลาเสวยพระโอสถแล้วพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้โจวยกที่ครอบจานขึ้น เห็นยาเม็ดสีดำวางอยู่ข้างใน ยามีขนาดเท่านิ้วก้อยมีกลิ่นหอมจางๆ ฮ่องเต้โจวหยิบยาใส่พระโอษฐ์ตามด้วยน้ำอุ่น หลังจากเสวยโอสถแล้ว ฮ่องเต้โจวประทับนั่งสมาธิอยู่สักครู่จึงได้ลืมพระเนตรขึ้น
“เต๋อซุน เจ้าคิดอย่างไร?” ฮ่องเต้โจวตรัสถาม เต๋อซุ่นชำเลืองมองก่อนที่จะก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญพะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ ได้มีหมอหลวงผู้หนึ่งกล่าวว่า ฝ่าบาทดูมีพระพลานามัยดีแต่ภายนอก หากภายในกลับผุกร่อนแล้ว ทั้งยังพูดอีกว่ายาของหมอเทวดาผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติไป พระองค์จึงสั่งประหารชีวิตหมอหลวงผู้นั้น
เต๋อซุ่นจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยประโยคที่ขัดพระทัยฮ่องเต้โจว เขาอยู่กับฝ่าบาทมานานนับสิบปีแล้วย่อมรู้พระทัยฝ่าบาทดี ฮ่องเต้โจวมีพระทัยระแวงและทรงระมัดระวังตนอยู่เสมอ ถึงหมอเทวดาจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ฝ่าบาทก็ยังไม่ไว้วางพระทัย เขาใช้คนหลายคนทำการทดลองยา หากได้ผลจึงได้นำมาถวาย
ฝ่าบาทปวดพระเศียรจนทนไม่ไหว หลังจากเสวยโอสถของหมอเทวดา ปัญหาก็หายไป เขาจึงชื่นชอบหมอเทวดามาก
เมื่อได้ยินที่หมอหลวงเอ่ยขึ้นมา เขาเกิดความสงสัยเช่นกันจึงได้หยุดเสวยโอสถ แต่หลังจากทนอาการปวดพระเศียรไม่ไหว ฮ่องเต้โจวจึงได้กลับมาเสวยโอสถของหมอเทวดาอีกครั้ง
เขาจึงเชื่อมั่นในยาของหมอเทวดา และสั่งประหารหมอหลวงผู้นั้นเสีย
ทุกวันนี้จึงไม่มีใครกล้าทูลถึงเรื่องยาอีกต่อไป
“ฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่ขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” ขันทีที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเข้ามาถวายรายงาน
องค์หญิงใหญ่เป็นพระเชษฐภคินีของฮ่องเต้ เกิดแต่ครรภ์พระมารดาเดียวกัน จึงได้มีสัมพันธ์อันดีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่เสด็จ ฮ่องเต้โจวจึงได้ดีพระทัย
ในไม่ช้า สตรีผู้หนึ่งท่าทางสง่างามเดินเข้ามาด้านใน
“ฝ่าบาท” องค์หญิงใหญ่ทำความเคารพ
“เสด็จพี่ลุกขึ้นเถอะ “ ฮ่องเต้โจวตรัสอย่างรวดเร็ว
“มานั่งที่นี่” องค์หญิงใหญ่ประทับนั่งลง ทอดพระเนตรมองฮ่องเต้อย่างอ่อนโยน
“ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญเพคะ”
ฮ่องเต้โจวแย้มสรวล
“ยาของหมอเทวดามีประโยชน์มาก”
“ยาใหม่หรือ? ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเห็นชูเอ๋อยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้นหาส่วนผสมของยา หรือจะเป็นยาตัวนี้ เห็นฝ่าบาทเสวยแล้วทรงพระสำราญดี การทำงานหนักของชูเอ๋อย่อมไม่สูญเปล่า เด็กคนนี้เป็นเด็กดี รู้จักกตัญญู น่ายินดีเพคะ” องค์หญิงใหญ่แย้มสรวล
“ลูกสามเป็นเด็กกตัญญูจริงๆ” ฮ่องเต้ตรัส
“เสด็จพี่ ข้าเพิ่งหารือกับเสนาบดีเกี่ยวกับการแต่งตั้งรัชทายาท ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อฮ่องเต้โจวตรัสออกมา บรรยากาศดูจะเย็นเยียบลง องค์หญิงใหญ่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เข้าใจดีว่าฝ่าบาทกำลังคิดลองใจตนเอง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี ฮ่องเต้โจวเองก็ปกป้องพระนางเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
องค์หญิงใหญ่ทำท่าเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของฮ่องเต้โจว
“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าชูเอ๋อเป็นเด็กดี ทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกับหม่อมฉัน ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันจะเลือกเขาเป็นลูกเขยหรือเพคะ ส่วนหลานหกซนมากวันๆ เอาแต่กระโดดโลดเต้น เห็นแล้วเวียนศีรษะเพคะ” ฮ่องเต้ไม่ชอบคนเจ้าเล่ห์ วางแผนการณ์ หากองค์หญิงใหญ่พูดอย่างอ้อมค้อม พระองค์จะระแวงพระทัย แต่ในเมื่อนางได้พูดออกมาเสียงดังฟังชัด ฮ่องเต้โจวจึงไม่ได้ทันได้สงสัย
ฮ่องเต้โจวสงบพระทัย เขาแย้มสรวลเอ่ยว่า
“ลูกหกซนเหมือนลิงจริงๆ เขาต้องถูกส่งไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวง เพื่อให้รู้จักกาลเทศะเสียบ้าง”
“ฝ่าบาทก็ทรงดื้อรั้น ซนเช่นเดียวกันยามพระเยาว์” องค์หญิงใหญ่ตรัส
“เพื่อที่จะซ่อนพระองค์จากท่านราชครู ถึงกลับมาซ่อนอยู่ในตำหนักของหม่อมฉันแทบทุกวัน”
“ตอนนั้นเสด็จพี่ไม่ได้ปกป้องข้าหรอกหรือ?” ฮ่องเต้โจวหวนคิดถึงอดีตด้วยสีพระพักตร์ที่อ่อนโยนกว่าเดิม
ทั้งคู่มีปฏิสันถารกันอยู่อีกพัก องค์หญิงใหญ่จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไป
ฮ่องเต้หลับพระเนตรลงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
องค์ชายรัชทายาท
ในใจของเขามีเด็กชายอายุราวสี่ห้าขวบปรากฏขึ้นมา เด็กคนนี้แข็งแกร่งมาก ไม่กลัวเขา ฉลาดมีไหวพริบดี มักจะหาเหตุและผลมาหักล้างเขาได้เสมอ ในความเป็นจริงแล้วลูกหกไม่ได้คล้ายเขาเลย แต่เป็นเด็กคนนั้นต่างหาก
น่าเวทนา…
ฮ่องเต้ทรงลืมพระเนตรขึ้น
ด้วยแววตาแน่วแน่ เขาได้ตัดสินใจแล้ว
“มานี่ ข้าจะสั่งโองการ” เขาจะแต่งตั้งองค์ชายสามจ้าวชูเป็นรัชทายาท