บทที่ 494 จ้าวจิ่งซวนและพระสนมเหลียง
สำนักศึกษาหลวง กั๋วจื่อเจี๋ยน
ข่าวการแต่งตั้งจ้าวชูเป็นองค์รัชทายาททำให้หวังไคจีมีความสุขที่สุดในบรรดานักเรียนของสำนักศึกษาหลวง เพราะหวังไคจีเป็นบุตรชายของหวังหมิ่นไฉ่
หวังหมิ่นไฉ่กับหวังกุ้ยเฟยเป็นพี่น้องกัน หวังไคจีจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับจ้าวชู เมื่อจ้าวชูได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทเขาเองก็ได้หน้าไปด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้แม้บิดาของเขาหวังหมิ่นไฉ่จะเป็นขุนนางระดับสูงแต่สถานะก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนัก
ในสำนักศึกษาหลวงมีบุตรชายของขุนนางระดับสูงหลายคนที่ได้รับรางวัลหรือประกาศเกียรติคุณที่โดดเด่น
นอกจากนี้ทั้งพรสวรรค์และการเรียนรู้ของเขาก็อยู่ในระดับปานกลาง เมื่ออยู่ในสำนักศึกษาหลวงเขาจึงได้แต่เอาหางซุกหว่างขา ไม่กล้าหยิ่งผยองมากเกินไป
ตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท หวังไคจีได้มีผู้สนับสนุน เขาจึงเกิดความภาคภูมิใจเป็นอันมาก มิไยที่บิดาจะบอกเขาว่าอย่าได้ทำตัวโอ้อวดหยิ่งยโสให้มากนัก เขาก็ยังอดไม่ได้
เหตุใดเขาจะหยิ่งยโสไม่ได้เล่า?
เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับองค์รัชทายาทเชียวนะ
ผู้หนุนหลังของใครจะแกร่งเท่าเขาคงหาไม่มีอีกแล้ว
พอเขาเข้าไปยังสำนักกั๋วจื่อเจี๋ยนเขาก็โยนคำพูดของบิดาทิ้งไว้เบื้องหลังทันที
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เขาทั้งหยิ่งยโสโอหังจนมองไม่เห็นใคร ยามเดินก็ไม่มองถนน เรียกได้ว่าไม่เห็นหัวใครเลยก็ว่าได้
เด็กนักเรียนคนอื่นก็พยายามหลีกเลี่ยงเขาเช่นกัน
เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเฝ้ามองดูเขาเดินมาหาพลางถอยห่างออกไป ท่าทีของเด็กหนุ่มทั้งสองคนไม่ใช่กลัวหรือชื่นชมเขาเพียงแต่ไม่อยากมีปัญหาด้วยเท่านั้นเอง
“หวังไคจี เดินช้าๆ หน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นจะชนใครเข้า”
สวี่เจวี๋ยร้องทักขึ้นมา เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ หวังไคจีก็ชนเข้ากับคนตรงหน้าขึ้นมาทันที หวังไคจีผอมและอ่อนแอกว่าคนที่เขาเดินชนมาก เขาถึงกับกระเด็นถอยไปถึงสองก้าว เกือบจะล้มลงกับพื้นดีที่มีคนคอยช่วยจับเขาเอาไว้ทำให้เขายืนนิ่งได้
“ข้าเตือนแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ฟัง” สวี่เจวี๋ยทำหน้าเสียใจ
แต่ท่าทางสงสารเขาดูออกจะเสแสร้งไม่น้อยทำให้กลายเป็นฟังดูประชดประชันไปทันที เว่ยจื่ออั๋งมองดูการแสดงของสวี่เจวี๋ยเงียบๆ เขาอยู่กับสวี่เจวี๋ยมาถึงหกปี เขาจึงรู้ดีว่าสวี่เจวี๋ยมีเจตนาร้ายอย่างไร
คำเตือนของสวี่เจวี๋ยมีเจตนาดึงดูดความสนใจของหวังไคจีทำให้เขาเดินชนคนอย่างไม่มีเจตนา แต่เว่ยจื่ออั๋งก็ไม่ได้ชื่นชอบหวังไคจีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเขาจึงมีความสุขที่ได้เห็นอีกฝ่ายโชคร้าย สวี่เจวี๋ยพยายามที่จะไม่เยาะเย้ย เขาทำท่าขึงขังพูดว่า
“หากเจ้ายังมีตาอยู่สองข้างก็ใช้ดูถนนเสียบ้างอย่าเอาแต่มองท้องฟ้า” เขาเจตนาล้อเลียนความเย่อหยิ่งของหวังไคจี เว่ยจื่ออั๋งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พอได้ยินคำพูดนี้ หวังไคจีโมโหแทบตาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาสะสางบัญชีกับสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง เพราะคนที่เขาชนคือองค์ชายหก จ้าวจิ่งซวน!
จ้าวจิ่งซวนยืนกอดอกมองหวังไคจี เขายืนนิ่งรอให้หวังไคจีเดินมาชนเขาเอง
จ้าวจิ่งซวนไม่ชอบหวังไคจีมานานแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เห็นเขา หวังไคจีจะเอาหางซุกไว้หว่างขาไม่ค่อยจะมาตอแยเขามากนักแต่ช่วงไม่กี่วันมานี้ เขากล้ายั่วยุและชี้นิ้วไปที่การเรียนของเขา จ้าวจิ่งซวนไม่ใช่คนที่จะสะกดกั้นอารมณ์เอาไว้ได้ เขาได้โอกาสที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับหวังไคจี เขากำหมัดเดินเข้าหาหวังไคจี
“มาเลย!” หวังไคจีไม่กลัว แต่ก่อนเขาเห็นว่าจ้าวจิ่งซวนเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งในองค์รัชทายาทเช่นกัน เขาจึงหลีกเลี่ยง แต่ตอนนี้ฝุ่นที่คลุ้งตลบได้สงบลงเป็นที่เรียบร้อยดีแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้กลายเป็นองค์รัชทายาท ส่วนจ้าวจิ่งซวนเป็นองค์ชายผู้หนึ่งเท่านั้น
หวังไคจีเกิดความมั่นใจมากขึ้น เขาเดินปรี่เข้าหาจ้าวจิ่งซวนทันที
“องค์ชายหก อาจารย์เหลียงจี้จิ่วไม่ได้ลงโทษให้ท่านคัดลอกตัวอักษรวันนี้หรือ? เหตุใดท่านยังมีเวลาอยู่ที่นี่อีกเล่า?”
หวังไคจีพูดอย่างขึงขัง จ้าวจิ่งซวนไม่ฟัง เขาชกเข้าไปที่ใบหน้าของหวังไคจีทันที
หวังไคจีคาดไม่ถึงว่าจ้าวจิ่งซวนจะทำกับเขาเช่นนี้เพราะเขามีลูกพี่ลูกน้องเป็นถึงองค์รัชทายาทแล้ว เขาจึงไม่คิดว่าองค์ชายหกจะกล้าทุบตีเขาอีก ความเร็วของจ้าวจิ่งซวนเร็วมากจนหวังไคจีไม่ทันได้ตั้งรับ หลังจากจ้าวจิ่งซวนทุบตีแล้วเขาก็วิ่งหนีไปก่อนที่จะมีใครได้ร้องตะโกนออกมา เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตกตะลึง
เว่ยจื่ออั๋งถอนหายใจ
“องค์ชายหกผู้นี้เจ้าอารมณ์จริงๆ”
“คนเจ้าอารมณ์เช่นนั้นจะได้รับความเดือดร้อนเป็นแน่” สวี่เจวี๋ยพูดอย่างดีใจ พวกเขาสองคนไม่ถูกกับจ้าวจิ่งซวนมาตลอด เมื่อเห็นความโชคร้ายของจ้าวจิ่งซวนแล้วเขาย่อมยินดีเป็นธรรมดา
จ้าวจิ่งซวนหลบหนีออกจากสำนักศึกษา เขาเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงท่านลุงของเขา เขาจึงไม่กล้ากลับไปยังสำนักศึกษาหลวงอีก
จ้าวจิ่งซวนตัดสินกลับไปที่วัง
เขาต้องอ้อนวอนขอร้องท่านแม่อย่าได้ส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวงอีก
เมื่อจ้าวจิ่งซวนกลับมาที่วังแล้ว เขาพบหญิงสาวสวยผู้หนึ่งสวมชุดสีแดงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสนาม ถ้าไม่ใช่ท่านแม่ของเขาแล้วจะเป็นใครไปได้ ?
เมื่อมองเห็นแส้ที่อยู่ในมือมารดาแล้ว ใบหน้าของจ้าวจิ่งซวนก็ซีดเซียวลง เขารีบหันหลังกลับค่อยๆ แอบหนีไป
“หยุด!” พระสนมเหลียงพูดอย่างเคร่งขรึม จ้าวจิ่งซวนชะงักเท้าอย่างตกใจ
“มานี่!” จ้าวจิ่งซวนก้าวเท้าอย่างอ้อยอิ่งเดินเข้าหามารดาช้าๆ
ไม่ว่าเขาจะก้าวเท้าสั้นๆ เพียงใด อย่างไรก็ต้องเดินไปถึงท่านแม่อยู่ดี
“ท่านแม่ ท่านถือแส้อยู่นานจนเมื่อยแล้ว ข้าจะช่วยถือให้ท่านเอง…” จ้าวจิ่งซวนประจบมารดา ทำท่าจะดึงแส้ในมือมารดาออก
แต่ก่อนที่เขาจะแตะโดนแส้ พระสนมเหลียงหลบเขาแล้วฟาดแส้ลงมาที่หลังของเขาเข้าอย่างเต็มแรง
เพี้ยะ! พระสนมเหลียงไม่ปรานีเลย ฟาดแค่ครั้งเดียวถึงกับทำให้จ้าวจิ่งซวนกระโดดขึ้นร้องโอดโอยทันที
“ท่านแม่ ! เจ็บๆ ไว้ชีวิตลูกด้วยเถอะ” จ้าวจิ่งซวนร้องเสียงดัง หากแต่พระสนมยังคงไม่ยั้งมือ นางฟาดลงมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
จ้าวจิ่งซวนร้องโอดโอยเขาอยากจะวิ่งหนีออกไป แต่สาวใช้กลับปิดประตู เขาจึงได้แต่วิ่งอยู่ในสนาม แส้ในมือของมารดาก็ฟาดมาที่เขา
“โอ๊ยเจ็บ!”
“ท่านแม่ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!”
“ท่านแม่ข้าผิดไปแล้ว!” จ้าวจิ่งซวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด พระสนมเหลียงไม่หยุดลงแส้จนกว่าเขาจะหมดแรง
จ้าวจิ่งซวนถูกเฆี่ยนหลายครั้งจนร่างกายเขาปวดแสบปวดร้อนไปหมด
“บอกข้ามา วันนี้เจ้าทำอะไรในสำนักหลวง? เจ้าทุบตีผู้คนหรือ? เจ้าเป็นองค์ชายไปทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร?” พระสนมเหลียงพระพักตร์แดงเต็มไปด้วยความโกรธ
จ้าวจิ่งซวนไม่คิดเลยว่าท่านลุงจะเร็วกว่า เขาคงส่งจดหมายมาให้ท่านแม่ก่อนหน้าเขา ช่างเคลื่อนไหวได้เร็วจริงๆ
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้มีเจตนาทุบตีใครก่อน เด็กคนนั้นต่างหากเขาวิ่งมาชนข้าก่อน ข้ายังเจ็บหน้าอกอยู่เลย” จ้าวจิ่งซวนทำท่าราวกับสาวงามเขาเอามือกุมหน้าอกไว้พลางขมวดคิ้ว
พระสนมเหลียงใช้มือชกเข้าที่หน้าอกของเขา จ้าวจิ่งซวนยืดตัวขึ้นตรงทันที
“หยุดเสแสร้งได้แล้ว ข้าเป็นมารดาของเจ้า จะไม่รู้จักนิสัยของเจ้าหรือ?” พระสนมเหลียงดุเบาๆ
“เสด็จแม่…แต่ว่าหวังไคจีผู้นั้น…รังแกข้ามากเกินไป ท่านไม่รู้ว่าเขาเย่อหยิ่งเพียงไหน ตาของเขาแทบจะมองขึ้นไปบนฟ้า ยามเดินหาดูทางไม่ ทีเขายังรังแกเด็กคนอื่นได้ แต่ถ้าเป็นข้ากลับทำไม่ได้ ดูสิ…” จ้าวจิ่งซวนรีบเถียง
“หวังไคจีที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับองค์ชายสามหรือ?” พระสนมเหลียงถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ใช่…ช่างน่ารำคาญเหมือนคนผู้นั้น…” จ้าวจิ่งซวนทำสีหน้าเบื่อหน่าย
“หุบปาก!” พระสนมเหลียงสีหน้าเย็นชาลงทันที
จ้าวจิ่งซวนหุบปากอย่างรวดเร็ว
………………….