บทที่ 503 ฤดูใบไม้ผลิที่กำลังใกล้เข้ามา
“เหลืออีกหนึ่งเดือนก็จะเข้าสู่การสอบในฤดูใบไม้ผลิแล้ว” ถังหลี่พูดขึ้น
“ท่านแม่ ยังมีเวลาเหลืออีกสามสิบเอ็ดวันนะขอรับ” เว่ยจื่ออั๋งแย้ง เขานับวันและเวลาอย่างถี่ถ้วน ชุนเหวยคือการสอบทั่วไปที่จัดขึ้นในเมืองหลวง บัณฑิตที่ผ่านการสอบจากมณฑลทั้งหมดจะมารวมตัวกันเพื่อสอบอีกครั้ง ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้บรรจุเข้าเพื่อร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งเป็นครั้งสุดท้าย
ลำดับการสอบแบ่งออกเป็นสามอันดับ เรียกจิ้นซื่อและลำดับที่หนึ่ง สอง สาม ของการสอบหน้าพระที่นั่งนั้นจะเป็นการคัดเลือกเข้าไปทำงานในราชสำนัก พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับมันมาก นั่นคือจุดหมายปลายทางของความยากลำบากตลอดสิบปี และการได้จารึกชื่อบนแผ่นทองคำจะทำให้พวกเขามีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดิน
ในนวนิยาย เส้นทางที่เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยมุ่งไปสู่การสอบหน้าพระที่นั่งไม่ราบรื่น สวี่เจวี๋ยได้เข้าสอบตอนอายุสิบเก้าปี ได้เป็นจ้วงหยวนในปีนั้น ในขณะที่เว่ยจื่ออั๋งเข้าสอบในช่วงอายุยี่สิบสองปีและเป็นจ้วงหยวนในปีนั้นเช่นกัน
การสอบชุนเหวยจัดขึ้นทุกๆ สามปี พวกเขาจึงเป็นจ้วงหยวนต่างรุ่นกัน ก่อนที่เว่ยจื่ออั๋งจะเข้าสู่ราชสำนัก สวี่เจวี๋ยก็กลายดาวเด่นของราชสำนักไปแล้วด้วยความเฉลียวฉลาดของเขา แต่หลังจากที่เว่ยจื่ออั๋งเข้าไป เขาสามารถแย่งความโดดเด่นของสวี่เจวี๋ยไปได้
ทั้งสองคนแม้จะอยู่ราชสำนักเช่นกัน แต่ความคิดกลับแตกต่างกันมาก ในตอนแรกพวกเขาเพียงแค่โต้แย้งเรื่องความคิดเห็น และสรรหาข้อแก้ต่างมาหักล้างอีกฝ่ายจนติดเป็นนิสัย
แต่หลังจากที่เขาได้นั่งในตำแหน่งขุนนาง ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาก็ยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ ในนวนิยาย วันที่เว่ยจื่ออั๋งถูกประหารชีวิต สวี่เจวี๋ยถึงกับทำจอกสุราตกแตก แม้ว่าทั้งสองคนจะมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน แต่ทว่าพวกเขาก็ยอมรับในความเก่งกล้าสามารถซึ่งกันและกันอีกด้วย
การข้ามมิติมาของถังหลี่ทำให้ชะตากรรมของพวกเขาเปลี่ยนไป ในนวนิยายเหตุผลที่ทั้งสองขัดแย้งกันมากเป็นเพราะ พวกเขามีประสบการณ์ต่างกัน คนที่ให้คำปรึกษาพวกเขาก็ต่างกันไป แต่ตอนนี้ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน ย่อมไม่มีปัญหาในเรื่องนี้แน่นอน
ทั้งคู่ควรจะสอบชุนเหวยตอนที่อายุสิบเก้าและยี่สิบสองปีเหมือนในหนังสือ แต่ตอนนี้พวกเขากลับมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปีเท่านั้น อายุน้อยกว่าในนิยายมาก ไม่รู้ว่าผลการสอบจะเป็นอย่างไร?
“จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย พวกเจ้าสองคนมั่นใจว่าจะคว้าที่หนึ่งในการสอบครั้งนี้ได้ไหม?” ถังหลี่ถาม เว่ยจื่ออั๋งเชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจ
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
“มันค่อนข้างยาก” สวี่เจวี๋ยลูบคางของตัวเอง
เว่ยจื่ออั๋งมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ เพราะปกติแล้วสวี่เจวี๋ยจะมั่นใจในตนเองมากกว่าเขา
“ตำแหน่งจ้วงหยวนมีได้เพียงคนเดียว” สวี่เจวี๋ยพูดขึ้น ถังหลี่และเว่ยจื่ออั๋งต่างเข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะครองอันดับหนึ่งได้ หากเว่ยจื่ออั๋งได้ สวี่เจวี๋ยจะไม่มีวันได้
“ถ้าจื่ออั๋งของเราได้ที่หนึ่ง ข้าก็มีความสุขมากแล้ว” สวี่เจวี๋ยเอาแขนโอบบ่าของเว่ยฉิงอั๋ง
“อย่าพูดไร้สาระ ไม่ว่าใครก็อยากได้อันดับดีๆ เท่านั้น ทุกคนมีเป้าหมายอยากจะคว้าตำแหน่งจ้วงหยวนทั้งนั้น” เว่ยจื่ออั๋งใช้ศอกกระแทกไปที่สวี่เจวี๋ย
“งั้นเจ้ากับข้ามาพนันกัน หากใครแพ้ล่ะก็จะต้องซักถุงเท้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน!”
ถังหลี่มองเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เดินคุยกันอย่างสนุกสนาน นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในชั่วชีวิตนี้เด็กทั้งสองจะไม่มีวันที่จะขัดแย้งกันอีก พวกเขาจะเดินเคียงข้างกันแบบนี้ต่อไป เว่ยฉิงเดินมาโอบบ่าของนาง
“ไปกันเถอะ” เขาพานางเดินไปข้างหน้า
…
พระราชวัง
พระสนมเหลียงถือแส้โดยมีสาวใช้เดินตาม พวกนางเปิดประตูออกทีละบานราวกับต้องการหาใครบางคนอยู่
นางเห็นขันทีผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาเป็นขันทีคนสนิทของจ้าวจิ่งซวน
“พระสนม” เมื่อเห็นพระสนมเหลียง ขันทีรีบคุกเข่าทันที
“องค์ชายหกอยู่ไหน?” นางถาม
“องค์ชาย…องค์ชายเสด็จไปยังสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนแล้วพะย่ะค่ะ” เสี่ยวลิ่วจื่อตอบ
ใบหน้าของพระสนมเหลียงดูเย็นชา เสี่ยวลิ่วจื่อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ห้องด้านหลังของนาง พระสนมเหลียงเลิกคิ้วอย่างเย้ยหยัน นางเดินไปที่ประตูห้องนอน เปิดประตูเข้าไป เห็นเงาดำนั่งยองๆ อยู่ที่มุมห้อง เมื่อนางเดินเข้าใกล้ จึงได้เห็นว่าเขากำลังเล่นกัดจิ้งหรีดอย่างสนุกสนาน
“เสี่ยวลิ่วจื่อมาดูเร็ว ท่านแม่ทัพของข้าเก่งมากใช่ไหม?” จ้าวจิ่งซวนคุยโว แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
จ้าวจิ่งซวนรู้สึกผิดปกติ เขาหันศีรษะไปดูเห็นใบหน้าที่เย็นชาของพระสนมเหลียง
“เสด็จแม่…” เสียงของเขาสั่นเทา อึดใจต่อมาหูของเขาถูกบิด
พระสนมเหลียงกำลังจะอกแตกตายด้วยความโกรธ นางบิดหูจ้าวจิ่งซวนอย่างแรง
“เสด็จแม่! เสด็จแม่!” เสียงของจ้าวจิ่งซวนหวีดร้องขึ้น แต่พระสนมเหลียงจับหูของเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยพร้อมกับฟาดแส้ในมือลงไป
“เจ้าไม่ไปเรียนหรือ?” พระสนมเหลียงกริ้ว
“ลูกกำลังจะไปแล้ว เสด็จแม่” จ้าวจิ่งซวนรีบพูดขึ้นทันที
นางแทบจะลมใส่เพราะความกริ้วที่มีต่อพระโอรส พระสนมเหลียงจะยินดีเป็นอย่างมาก หากมีใครสามารถสั่งสอนพระโอรสของนางได้ นางใคร่อยากเอาแส้ฟาดเขาให้แรงๆ สักหลายที แต่พอคิดดูแล้ว ผิวเขาหนาออกปานนั้นต่อให้ฟาดแรงสักเพียงใดคงไม่ระคายผิว
พระสนมเหลียงโกรธจนโยนแส้ในมือทิ้ง จากนั้นจึงได้นั่งนิ่งบนเก้าอี้โดยไม่ตรัสอะไรออกมาเลย
จ้าวจิ่งซวนลอบมองพระมารดาเห็นนัยน์ตาของนางแดงก่ำ พระสนมเหลียงร้องไห้เงียบๆ เขาไม่เคยเห็นพระมารดาเป็นเช่นนี้มาก่อนจึงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
“เสด็จแม่…” จ้าวจิ่งซวนเดินไปจับที่ชายเสื้อของมารดา
นางหันหลังให้เขา แต่จ้าวจิ่งซวนวนไปอีกทาง
“เสด็จแม่”
เขาเล่นซ่อนหากับมารดา เพราะไม่ว่านางจะหันไปทางใด จ้าวจิ่งซวนจะตามนางไปทางนั้น นางเหลือบมองไปที่พระโอรสรู้สึกกริ้วขึ้นมาอีกครั้ง จึงตัดสินใจดีดนิ้วไปที่หน้าผากของจ้าวจิ่งซวน เขากลับยินดีที่พระมารดาสนใจเขาแล้ว
พระสนมเหลียงพิศดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของบุตรชายอย่างจริงจัง
“เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดแม่ต้องให้เจ้าไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน”
“เพราะเสด็จแม่ต้องการให้ท่านลุงสั่งสอนข้า” จ้าวจิ่งซวนพูดตรงไปตรงมา
“นั่นคือเหตุผลหนึ่ง”
“ที่สำนักศึกษาหลวงแห่งนั้น มีบัณฑิตชั้นยอดมากมายที่ต่อไปจะได้เข้าไปทำงานในราชสำนักหลังจากเรียนจบ แม่อยากให้เจ้าผูกมิตรกับพวกเขา ต่อไปภายหน้าพวกเขาจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้”
“ข้าทราบแล้ว” จ้าวจิ่งซวนตระหนักรู้ขึ้นมา
“ยามที่เจ้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน เจ้าจะต้องไม่ใช้ฐานะขององค์ชาย หากเจ้าทำให้บัณฑิตเหล่านั้นไม่ประทับใจในตัวเจ้าต่อไปพวกเขาจะต่อต้านเจ้า” พระสนมเหลียงกล่าว
คำพูดเหล่านี้จ้าวจิ่งซวนได้ฟังพระมารดาสอน ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว ทว่าจ้าวจิ่งซวนไม่ได้สนใจ ปล่อยคำพูดให้ผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเช่นนั้นเอง
“ในหมู่บัณฑิตมีไม่กี่คนที่โดดเด่น นั่นคือศิษย์ที่มาจากเมืองชิงเหออย่างสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง”
พี่ชายของนางยกย่องชมเชยเด็กทั้งสองคนเป็นอย่างมาก ปกติแล้วเขาเป็นคนถือตัว การที่เขาจะเอ่ยปากชมเด็กสองคนนั่น ย่อมแสดงว่า สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเป็นเด็กที่โดดเด่นจริงๆ…
เจ้าเด็กน่ารังเกียจสองคนนั่น
จ้าวจิ่งซวนหน้ามุ่ยไม่พอใจ
พระสนมเหลียงยื่นพระหัตถ์ออกไปคว้าเอาขวดที่ใส่จิ้งหรีดที่จ้าวจิ่งซวนถืออยู่ไว้กับตัว
“เสด็จแม่ ท่านจะทำอะไร” เขาถามอย่างหวั่นเกรง
“ยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งเดือนก่อนจะถึงการสอบชุนเหวย เจ้าไปผูกมิตรกับสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเสีย ไม่เช่นนั้นแม่จะไม่คืนท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ให้เจ้าอีก”
พระสนมเหลียงตรัสอย่างเย็นชา ในขณะที่จ้าวจิ่งซวนโวยวายเสียงดัง