บทที่ 505 การยั่วยุ
หลังจากที่จ้าวจิ่งซวนถูกโบยสามสิบครั้ง เขาก็ถูกนำตัวไปที่โถงหลักของกั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อคุกเข่าลงโทษ เขามือสั่น ตาแดงก่ำ เด็กหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้แต่สุดท้ายแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
“ท่านแม่ทัพผู้องอาจของข้า ข้าขอโทษด้วย!”
“เดิมทีข้าเองก็อยากจะอดทนต่อความอัปยศเพื่อเป็นสหายกับสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง”
“แต่ไอ้เด็กสองคนมันนิสัยแย่มาก ทำให้ข้าเจ็บตัว ทั้งมือทั้งเข่าข้าเจ็บไปหมด!”
“ข้าไม่ไหวแล้ว ท่านแม่ทัพของข้าอภัยให้ข้าด้วย”
“โฮๆๆ”
เด็กหนุ่มอายุสิบห้าร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เสียงร้องไห้ของเขาดังไปทั่วห้องโถงหลัก
….
ในช่วงสองสามวันที่จ้าวจิ่งซวนถูกลงโทษสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งสบายใจมาก
ถึงจะเป็นองค์ชาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ทั้งสองคนเป็นคนหนุ่มที่มากด้วยความสามารถ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจและดูแคลนจ้าวจิ่งซวน
ในสายตาของพวกเขาแล้ว จ้าวจิ่งซวนเป็นเพียงแมลงที่น่ารำคาญ ซ้ำยังชอบส่งเสียงรบกวนอีก ถ้าเกิดจ้าวจิ่งซวนรู้ว่าพวกเขาเปรียบเป็นยุงแล้ว….
โชคดีที่เขาโง่เขลาเกินไปไม่เช่นนั้นคงโกรธจนอกแตกเป็นแน่!
สี่วันต่อมาในที่สุดจ้าวจิ่งซวนก็ได้รับการปลดปล่อยจากบทลงโทษอันเจ็บปวดและกลับมาเรียน เขาเดินไปรอบๆ ชั้นเรียน สุดท้ายแล้วก็กลับไปนั่งที่ท้ายแถวเช่นเดิม
เมื่อจ้าวจิ่งซวนนั่งลงก็มองไปสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งอย่างแน่วแน่ สีหน้าของเขาคาดเดาไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาวางแผนอะไรอยู่หัว
“พี่จ้าวบ่ายนี้ท่านว่างหรือไม่?” เสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้น
ใบหน้าดูคุ้นเคยแต่เขาจำชื่อไม่ได้
“ข้าชื่อเกาเฉิงเป็นคนที่เปลี่ยนที่นั่งกับท่านเมื่อสองสามวันก่อน”
เขาแนะนำตัวเองอย่างงุ่มง่าม ทำให้จ้าวจิ่งซวนนึกขึ้นได้ทันที
“เป็นเจ้านั่นเอง มีอะไรหรือ?” จ้าวจิ่งซวนถาม
“พวกเราจะไปที่หอฉิงเฟิงในช่วงบ่ายเพื่อต่อบทกวี เราอยากเชิญท่านไปด้วย”
เกาเฉิงพูด เมื่อเขาได้ยินคำว่าต่อกลอน จ้าวจิ่งซวนรู้สึกปวดหัวอยากปฏิเสธไปทันที
“ท่านอาจจะได้คุยกับเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยได้” เกาเฉิงพูดด้วยเสียงต่ำ สวี่เจวี๋ย…เว่ยจื่ออั๋ง…
เมื่อจ้าวจิ่งซวนได้ยินชื่อคนทั้งสองหัวใจของเขาก็ปวดร้าวแต่เมื่อนึกถึงท่านแม่ทัพจิ้งหรีดของเขาแล้ว…
“เอาสิ ลองไปชมงานบทกวีดูสักที” จ้าวจิ่งซวนตอบอย่างเกียจคร้านบราวนี่ออนไลน์
…
หอฉิงเฟิงเป็นศาลาริมน้ำที่สวยงามมีบัณฑิตและลูกศิษย์ของกั๋วจื่อเจี้ยนไปที่แห่งนี้บ่อย แต่เป็นครั้งแรกของจ้าวจิ่งซวนที่ได้มาเยือน เมื่อไปถึงเขาก็เห็นกระดานไม้สีเหลืองอ่อนตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นกระดานเรียบๆ มีรายชื่อเขียนอยู่บนนั้น
เขาชะโงกหน้าไปเห็นชื่อของเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย
“นี่คืออะไรหรือ?” จ้าวจิ่งซวนถามอย่างสงสัย
“ที่หอฉิงเฟิงจะมีศิษย์หลายคนมารวมตัวกันเพื่อโต้วาที ผู้ชนะจะได้รับหนึ่งคะแนนเพื่อใช้ในการจัดอันดับ โดยจะตัดรอบเป็นเดือนๆ ไป” เกาเฉิงอธิบาย
จ้าวจิ่งซวนมองอีกครั้ง ทั้งเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยอยู่ในอันดับแรกๆ ในตอนที่เว่ยจื่ออั๋งแปดขวบและสวี่เจวี๋ยหกขวบทั้งสองคนก็อยู่ในอันดับที่หนึ่งและที่สองแล้ว จ้าวจิ่งซวนสบถเบาๆ เด็กสองคนนี้ช่างว่างจริงๆ ถึงได้มีเวลามาโต้วาทีอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกเขาจะได้ที่หนึ่งที่สองเพราะคารมของพวกเขา
“อันดับของเจ้าคือเท่าไหร่หรือ?” จ้าวจิ่งซวนมองไปที่เกาเฉิง เสด็จแม่บอกว่าเขาต้องคบหากับสหายที่เก่งกาจ เขาคิดว่าเกาเฉิงมีความรู้มากกว่าเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย เขาหันไปหาชื่อของเกาเฉิงบนกระดาน
“ข้าไม่มีรายชื่ออยู่บนนั้นหรอก” เกาเฉิงกล่าวอย่างลำบากใจ
“….”
เป็นคนแบบเขาเหมือนกันหรือ?… จ้าวจิ่งซวนตบบ่าของเขา
“ลืมไปเถอะ พวกเราไม่ต้องสนใจพวกชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้”
“ใช่แล้ว”
“พี่จ้าวไปจองที่นั่งด้านบนกันเถอะ”
เกาเฉิงพาจ้าวจิ่งซวนขึ้นไปยังห้องด้านบน หลังจากนั้นไม่นานศิษย์คนอื่นก็ทยอยกันเข้ามา นอกจากเกาเฉิงแล้วยังมีอีกสามคน
“พี่จ้าว พวกเราเป็นบัณฑิตที่มาจากเมืองหลวง ผู้นี้บุตรชายของหมอหลวง..” เกาเฉิงแนะนำเขาทีละคน ทั้งหมดเป็นล้วนเป็นบุตรชายของขุนนาง
“คารวะพี่จ้าว” ทั้งสี่คนยกแก้วขึ้นมาจิบ
“เหตุใดพวกเจ้าถึงคารวะข้า” จ้าวจิ่งซวนตกใจ
“ตอนที่พี่จ้าวถูกลงโทษเรารู้สึกผิด” เกาเฉิงกล่าว
“ข้าละอายใจเหลือเกินที่ศิษย์จากเมืองหลวงอย่างพวกข้าโต้คารมไม่เก่งซ้ำยังถูกรังแกจากศิษย์บ้านนอกเหล่านั้น จนไม่สามารถยืนหยัดเพื่อพี่จ้าวได้ ช่างน่าละอายจริงๆ”
“อีกอย่างสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งทำเกินไป เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พวกเขาสร้างกับดักเพื่อล่อให้พี่จ้าวตกหลุมพราง พี่จ้าวมีนิสัยเหมือนกับคนในเมืองหลวงเช่นพวกข้า ความเรียบง่ายของพวกเราทำให้ตกหลุมพรางคนพวกนั้นได้!” เกาเฉิงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เขาต่อว่าสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเป็นคนชั่วร้าย และศิษย์จากเมืองหลวงดูช่างน่าสมเพช
“เหตุใดพวกเจ้าจึงรู้สึกผิด ในเมื่อข้าเป็นคนทำผิดพลาดเอง” จ้าวจิ่งซวนถาม เกาเฉิงที่พูดจาใส่อารมณ์โจมตีเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยถึงกับสะดุด เขาสงสัยว่าองค์ชายหกอาจจะเป็นพวกโง่เขลาจริงๆ
“สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเป็นพวกหน้าซื่อใจคด พวกเขาเหมือนมอมเมาเราด้วยสุรารสแรงเพื่อซื้อพรรคพวก ทำให้ศิษย์จากเมืองหลวงแบบพวกเราไม่มีที่ยืน”
แม้ว่าจ้าวจิ่งซวนจะเกลียดสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเสแสร้ง
“อันที่จริงแล้วท่านลุงชอบคนฉลาด ถ้าเจ้าฉลาดกว่าเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย ท่านลุงก็จะเอ็นดูเจ้า” จ้าวจิ่งซวนพูดเป็นกลาง
“….” เกาเฉิงพูดไม่ออก
เดิมทีเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเอาใจองค์ชายหก เพราะในการสอบหน้าพระที่นั่งครั้งนี้ ตัวเขาอาจจะไม่ได้ลำดับที่ดี แต่ถ้าหากได้ความช่วยเหลือจากองค์ชายหก ตำแหน่งการงานของเขาจะมั่นคงได้แน่นอน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าองค์ชายหกถูกสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งรังแก ตราบใดถ้าเขาพูดเรื่องแย่ๆ ของสองคนนี้ องค์ชายจะต้องสนิทกับพวกเขามากแน่ แต่ใครจะรู้…
เกาเฉิงตกตะลึง เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
“เอาเถิด พี่จ้าวดื่มสุราก่อนเถอะ” ศิษย์คนอื่นพูดขึ้น จ้าวจิ่งซวนมองสุราในแก้วพลางขมวดคิ้ว
“ดื่มสุราต้องมีเหตุผล เราจะดื่มโดยไร้สาเหตุได้อย่างไร?”
จ้าวจิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง ทั้งหมดมองหน้ากันอย่างตื่นตะลึง
“พี่จ้าว ท่านดื่มสุราไม่เป็นหรือ?” หนึ่งในนั้นถาม
จ้าวจิ่งซวนโมโหแทบระเบิด เขาเป็นผู้ชายจะดื่มสุราไม่เป็นหรือ? ช่างน่าอายเกินไปแล้ว! ถึงเขาจะดื่มไม่เป็น แต่จะไม่ยอมให้ตัวเองเสียหน้าเป็นอันขาด!
จ้าวจิ่งซวนหยิบจอกสุราขึ้นดื่มไปอย่างรวดเดียว ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา เกาเฉิงและคนอื่นๆมองหน้ากันทันที องค์ชายหกเมาหรือ?
ถ้าเทสุราอีกสองสามจอกจะไม่เป็นแบบที่พวกเขาพูดหรือ?
องคชายหกคออ่อน!
สายตาของคนเหล่านั้นมีความสุขขึ้นมา ทันใดนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นที่ด้านนอก จ้าวจิ่งซวนอยากรู้อยากเห็นจึงได้เปิดประตูออกไป เขาเห็นศิษย์กลุ่มหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาที่ด้านล่างจากนั้นจึงได้พากันจัดโต๊ะหันหน้าเข้าหากัน