บทที่ 518 ศิษย์จากเหลียงโจว ฉินจ้าว
เด็กหนุ่มทั้งสองคนเห็นถังหลี่จึงเดินเข้ามาทักทาย หญิงสาวมองพวกเขา เว่ยจื่ออั๋งถือหนังสืออยู่ในมือใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข ในขณะที่สวี่เจวี๋ยเอามือไพล่หลังไว้ ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี
“จะไปไหนหรือ?” ถังหลี่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“จะไปเยี่ยมพี่ฉินขอรับ” เว่ยจื่ออั๋งกล่าว
“พี่ฉิน?”
พี่ฉินหรือ ใครคือพี่ฉิน? เหตุใดนางไม่เคยได้ยินสองคนนี้พูดถึงมาก่อน
“พี่ฉินมีนามว่าฉินจ้าว เขาเป็นศิษย์ที่มาจากเหลียงโจว เขามีทั้งความสามารถและเฉลียวฉลาด ไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้” สวี่เจวี๋ยกล่าวคำชมมากมายออกมาในพริบตา ถังหลี่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในคำพูดของสวี่เจวี๋ยเหมือนจะประชดประชัน
“มีคนผู้หนึ่งชื่นชมเขามากพูดถึงเขามาตลอดทั้งคืน แทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เจอฉินจ้าว”
ใบหน้าของเว่ยจื่ออั๋งแดงขึ้น เขาใช้ศอกกระแทกสวี่เจวี๋ยเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดพูด
พี่ชายฉินคนนี้เป็นศิษย์จากเหลียงโจวที่อยู่ห่างจากเมื่อหลวงไปหลายพันลี้
แม้ว่าเว่ยจื่ออั๋งยังไม่เคยพบเขามาก่อน แต่เขาเคยอ่านบทความที่ฉินจ้าวเขียนสองสามบทก็พบว่าน่าทึ่งมาก ทำให้เขารู้สึกสนใจฉินจ้าวขึ้นมาทันที
ฉินจ้าวเป็นคนที่มีบุคลิกยอดเยี่ยมมาก ความสามารถของเขาไปที่รู้กันโดยทั่วไป แม้กระทั่งในเมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่เขามายังเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการสอบชุนเหวย ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่าถ้าเขาได้เข้าร่วมการสอบชุนเหวยเขาจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งให้ได้
นั่นคือการเป็นจ้วงหยวน
ก่อนหน้านี้แม้จะมีความมั่นใจแต่เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมการสอบชุนเหว่ย มาครั้งนี้แสดงว่าฉินจ้าวมีความมั่นใจมาก ว่าเขาจะคว้าตำแหน่งจ้วงหยวนได้ เขาจึงได้มาสอบ เว่ยจื่ออั๋งชื่นชมความสามารถของฉินจ้าว เมื่อรู้ข่าวว่าอีเขาจะมาเว่ยจื่ออั๋งจึงอยากจะไปเยี่ยมเขา
“สวี่เจวี๋ยไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเขาหรือ?” เว่ยจื่ออั๋งยกตำราในมือขึ้นแล้วถาม ตำราเล่มนี้ มีหลายอย่างที่เว่ยจื่ออั๋งไม่เข้าใจ ทั้งฉินจ้าวยังได้มีการตีความหมายของบทความไว้บทหนึ่งซึ่งทำให้เว่ยจื่ออั๋งชื่นชมมาก
“ข้าไม่อยากรู้!” สวี่เจวี๋ยสบถเบาๆ
สวี่เจวี๋ยแอบมีความสุขเมื่อได้ยินว่าฉินจ้าวกำลังจะเข้ามาในเมืองหลวง แต่หลังจากได้นอนคุยกันถึงเรื่องนี้ทั้งคืน จู่ๆเขาก็ไม่อยากฟังเรื่องของฉินจ้าวอีกแล้ว
“อย่าโกรธสิ เจ้าน่ะเก่งสุดแล้ว” เว่ยจื่ออั๋งดึงแขนเสื้อของสวี่เจวี๋ยพร้อมกับเยินยอ เขารู้ได้ว่าสวี่เจวี๋ยกำลังโกรธ พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่พวกเขาก็เหมือนพี่น้องกัน
เว่ยจื่ออั๋งจำได้ดี เขาจำวันแรกที่สวี่เจวี๋ยมาที่บ้านของบิดาเขาได้ ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ทั้งสองเคยแอบลุกไปอ่านตำราด้วยกัน เขาจำได้ว่าเคยถูกรังแกในตอนที่ไปเรียนครั้งแรก รวมถึงวิธีที่พวกเขาตอกกลับไป พวกเขามีความทรงจำดีๆ หลายอย่างปะปนกัน ไม่ว่าจื่ออั๋งจะชื่นชมคนอื่นมากแค่ไหน แต่ก็เป็นเพียงความชื่นชมเท่านั้น
“เจ้าไม่เคยเจอเขา เจ้าเพียงอ่านบทความของเขาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเก่งกว่าเขา?” สวี่เจวี๋ยถาม
“ไม่ว่าเขาจะมีความรู้มากมายเพียงไหนก็ตาม แต่เจ้านั่นแหละเก่งที่สุด” เว่ยจื่ออั๋งพูดด้วยความจริงใจ เพราะในหัวใจของเขาแล้วสวี่เจวี๋ยมีน้ำหนักกว่าฉินจ้าวมากนัก สวี่เจวี๋ยสบถเบาๆ แต่มุมปากของเขายกขึ้น
“ท่านแม่ไปกันเถอะขอรับ” เว่ยจื่ออั๋งกล่าวชวนบราวนี่ออนไลน์
“ไปสิ”
เมื่อถังหลี่พยักหน้า เด็กหนุ่มทั้งสองก็เดินออกไป และรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็หายไป ฉินจ้าว…
ปีที่แล้วฮ่องเต้เปลี่ยนชื่อเป็นปีรัชศกจิงไถ ปีนี้จึงเป็นปีที่สองของจิงไถ ถังหลี่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเนื้อหาของนวนิยายต้นฉบับ จ้วงหยวนของรัชศกจิงไถปีที่สองคือฉินจ้าวเป็นศิษย์จากเหลียงโจว
ความสามารถที่ทำให้เขาคว้าเอาลำดับที่หนึ่งมาได้ย่อมเป็นพรสวรรค์และความฉลาดที่ไม่ธรรมดา ในนิยายนั้นสวี่เจวี๋ยและจื่ออั๋งเป็นผู้ชนะจากการสอบต่างๆ มาแล้ว แต่หลังจากนั้นหลายปีเป็นเพราะเขายังเด็ก ตอนนี้ยอดฝีมือทั้งสามคนมาปะทะกัน ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนคว้าตำแหน่งจ้วงหยวนไปได้ ทั้งสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งต่างชื่นชมฉินจ้าว แต่ฉินจ้าวคนนี้คุ้มที่จะคบหาด้วยหรือไม่…
ช่างเถอะพวกเขาอายุสิบสี่แล้ว เขาสามารถตัดสินใจได้ว่าฉินจ้าวคุ้มค่าที่จะผูกมิตรหรือไม่? นางไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป
นางจะอยู่ตรงนี้หากพวกเขาเดินไปผิดทาง ถังหลี่จะดึงพวกเขากลับมาเอง
ความกังวลบนใบหน้าของนางหายไปก่อนจะเดินออกไปข้างนอก
…
ฝั่งตรงข้ามของหอฉิงเฟิงเป็นโรงเตี๊ยมที่ชื่อว่าหลงเถิง ศิษย์จากนอกเมืองที่เข้ามาสอบมักมาพักที่หลงเถิง โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมรอบด้วยลานกว้างขนาดใหญ่ มีหินและลำธารเหมาะแก่การอ่านตำรา ที่ตรงกลางมีศาลาที่เหล่าบัณฑิตมักจะมาถกเถียงกัน สวี่เจวี๋ยและจื่ออั๋งเข้าไปในโรงเตี๊ยมหลงเถิง ทั้งสองมาถึงห้องมุมบนของชั้นสอง เว่ยจื่ออั๋งเคาะประตู เขาถือตำราไว้ตั้งหน้าตั้งตารอด้วยความกระวนกระวายใจ
สวี่เจวี๋ยสงสัยว่าบัณฑิตมากพรสวรรค์จากเหลียงโจวคนนี้จะเป็นอย่างไร พวกเขารอสักพักจึงมีบ่าวรับใช้มาเปิดประตู
“พวกท่านเป็นใครหรือ?”
“ข้าเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย พวกข้าชื่นชมพี่ฉินมานานแล้ว อยากจะขอเข้าพบเขาสักหน่อย” เว่ยจื่ออั๋งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกท่านทั้งสองรอสักครู่”
บ่าวรับใช้เดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อรายงาน จากนั้นจึงได้กลับออกมา
“ท่านทั้งสอง นายน้อยกำลังพักผ่อน ตอนนี้จึงไม่สะดวกจะพบท่าน”
“พี่ฉินพักผ่อนหรือ? ถ้าเช่นนั้นสวี่เจวี๋ยกับข้าจะรออยู่ที่ด้านนอก” เว่ยจื่ออั๋งรีบพูด
บ่าวรับใช้เหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่กลับเปลี่ยนใจ เขาปิดประตู ทิ้งให้ทั้งสองคนยืนอยู่ที่หน้าประตู สวี่เจวี๋ยมองท้องฟ้าด้านนอก ตอนนี้เริ่มสายแล้ว เหตุใดฉินจ้าวถึงยังไม่ตื่น?
ทั้งสองยืนรอที่หน้าประตูสักพัก
“สวี่เจวี๋ยเจ้าเหนื่อยไหม?” เว่ยจื่ออั๋งถามเสียงเบา
เขาไม่รู้ว่าจะต้องรอนานขนาดนี้ หากเขารู้คงลงไปนั่งรอที่ด้านล่างแล้ว เขาไม่ควรยืนรอที่ประตู หากประตูเปิดออกมาแล้วไม่เจอใคร เขาจะกลายเป็นคนที่ผิดคำพูด สวี่เจวี๋ยส่ายศีรษะไปมา
“อ่านตำราเถอะ”
สวี่เจวี๋ยหยิบตำราในมือของเว่ยจื่ออั๋ง ทั้งสองเปิดอ่านอย่างตั้งใจ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งชั่วยามต่อมาประตูก็เปิดออกอีกครั้ง พวกเขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจมาก
“พวกท่านยังอยู่อีกหรือ?”
“พวกเราบอกว่าจะรอที่ด้านนอก” เว่ยจื่ออั๋งพยักหน้า เขาหันไปมองที่ด้านใน เว่ยจื่ออั๋งเห็นชายหนุ่มร่างผอมกำลังเดินออกมา เขาอายุประมาณสิบแปดปี หน้าตาธรรมดาสวมเสื้อผ้าแบบบัณฑิต
บัณฑิตหนุ่มเห็นสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง ทั้งสามคนคงไว้ซึ่งมารยาทของผู้มีการศึกษา
“พวกเราได้อ่านตำราภูมิศาสตร์และตำราช่างหลินของพี่ฉินแล้ว พวกข้าชื่นชมในความรู้ที่ท่านมีเป็นอย่างมาก พวกเราได้อ่านบทวิเคราะห์ของท่านเกี่ยวกับตำราเล่มนี้อีกด้วย จึงมีข้อสงสัยมากมายอยากจะให้พี่ฉินช่วยชี้แนะ…” เว่ยจื่ออั๋งพูดด้วยดวงตาที่สดใส
“ขออภัย ข้าจะต้องไปเยี่ยมสหายเก่า เกรงว่าคงไม่มีเวลาพูดคุย ข้าจะไปหาพวกท่านทั้งสองคนในเวลาที่ข้าว่าง”
ฉินจ้าวคำนับเว่ยจื่ออั๋งแล้วหันหลังเดินไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดเลย เว่ยจื่ออั๋งนิ่งงันเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ศิษย์จากเหลียงโจวคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเย่อหยิ่ง เขาเป็นคนมีความสามารถและเป็นคนเก็บตัว คงเป็นเรื่องปกติของเขา ไว้ค่อยมาใหม่เถิด” สวี่เจวี๋ยพูดปลอบใจ เว่ยจื่ออั๋งพยักหน้าทั้งสองจึงได้ออกจากโรงเตี๊ยมหลงเถิงไป
ฉินจ้าวลงไปที่ชั้นล่างเพื่อรถม้าที่จอดรออยู่ก่อนแล้วจากนั้นจึงเดินทางไปหยุดที่หน้าจวนหลังหนึ่ง และมีป้ายเขียนไว้ว่า ‘จวนรุ่ยอ๋อง’