บทที่ 537 งานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ
“ฮูหยินอู่ ท่านไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงเช่นนี้ใช่หรือไม่? ข้าขอแนะนำให้ท่านระวังความโชคร้ายที่จะเกิดจากคำพูดของท่านหน่อยเถิด ท่านควรปิดวาจาเอาไว้เสียบ้าง ไม่เช่นนั้นจะตายเร็วโดยไม่รู้ตัว!” จินเซ่อจงใจลดน้ำเสียงของลงให้ได้ยินเฉพาะนางและถังหลี่
ถังหลี่เอามือปิดปากท่าทางตระหนก
“ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเพคะ?”
ฉากนี้ตกอยู่ในสายพระเนตรขององค์หญิงจิ้งชูที่อยู่ไม่ห่างไกลนักเข้าพอดี นางเห็นพระชายารุ่ยทำท่าขู่ถังหลี่ และนางดูหวาดกลัว
ทันใดนั้นความโกรธก็พุ่งขึ้นมาจนยากที่จะระงับอยู่ ใครกล้ารังแกนาง!
องค์หญิงจิ้งชูไม่ชอบพระชายารุ่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางคิดว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างเสแสร้งสิ้นดี ในสายตาของนางฮูหยินอู่เป็นแค่เด็กสาวที่ดูน่าสงสารไร้พิษสงจนนางอยากปกป้อง
ยิ่งตอนนี้ได้บังเอิญเหลือบเห็นคนที่นางชื่นชมโดนพระชายารุ่ยรังแก นางจะทนได้อย่างไร?
นางรีบรี่ไปยืนหน้าถังหลี่อย่างรวดเร็ว
“เจ้าทำอะไร รังแกผู้คนหรือ?” น้ำเสียงขององค์หญิงจิ้งชูกร้าวขึ้น แต่เมื่อนางหันกลับมาพูดกับถังหลี่กลับอ่อนลง
“ไม่ต้องกลัวนะ มีข้าอยู่กับเจ้า”
ใบหน้าของจินเซ่อเปลี่ยนไป ตอนที่นางพูดกับถังหลี่ไม่มีใครให้ความสนใจ แต่ตอนนี้นางกลับตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนเพราะเสียงขององค์หญิง
“องค์หญิง ท่านเข้าพระทัยผิดแล้ว ข้าไม่ได้รังแกผู้ใด เพียงแค่พูดคุยกับฮูหยินอู่เพราะเห็นว่าเพิ่งเคยเข้ามาในวังเป็นครั้งแรกเท่านั้น ข้าเกรงว่านางจะกังวล” น้ำเสียงของจินเซ่อนุ่มนวล
องค์หญิงจิ้งชูแทบสำลักความโกรธ
นางทำเช่นนี้หลายครั้งแล้ว นางมักจะเริ่มต้นด้วยการยั่วยุจิ้งชูก่อน จากนั้นเมื่อมีผู้มาพบเห็นเข้า นางจะทำท่าน่าสงสารน่าเวทนา ทำให้ดูราวกับว่าโดนกลั่นแกล้ง คนอื่นจะรู้สึกว่าตนเองเอาแต่ใจ ก้าวร้าว จินเซ่อช่างดูน่าสงสาร
เหมือนก่อนหน้านี้ที่นางได้มีเหตุวิวาทต่อหน้าเสด็จพ่อ ท่านได้ทรงหันมาเอ็ดนางเข้าด้วย
หญิงเจ้าเล่ห์!
องค์หญิงจิ้งชูกริ้วจนหน้าอกสั่นไหว
“พระชายารุ่ย ช่างมีน้ำพระทัยดีเหลือเกินเพคะ ที่ได้ทรงกรุณาที่หม่อมฉันให้ระวังกิริยาและวาจา หาไม่จะตายโดยไม่รู้ตัว…หม่อมฉันจึงสงสัยว่าตนเองได้กล่าววาจาตรงไหนผิดไปหรือไม่?”
ใบหน้าเล็กๆ ของถังหลี่ดูสับสนงุนงง ถังหลี่มีประสบการณ์ในการจัดการกับแม่ดอกบัวขาว[1]อย่างจินเซ่อ ยามนี้นางจึงมีความเป็นดอกบัวขาวได้มากกว่าหลายเท่า
เมื่อองค์หญิงจิ้งชูและพระชายาจินเซ่อยืนเคียงข้างกัน ดูอย่างไรก็เหมือนองค์หญิงจิ้งชูกำลังข่มขู่กลั่นแกล้งจินเซ่อ แต่หากมีถังหลี่อยู่ในฉากนั้นด้วยแล้ว ท่าทางที่ดูไร้เดียงสา ไม่มีพิษมีภัยของถังหลี่กลับทำให้ผู้คนมองว่าจินเซ่อกำลังรังแกถังหลี่อยู่
พระชายารุ่ยมีเรื่องผิดใจไม่ชอบใจฮูหยินผู้นี้หรือ? ถึงได้เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
“หม่อมฉันพูดอะไรผิดไปหรือเพคะ? หม่อมฉันกลัวตาย…พระชายาได้โปรดให้คำแนะนำหม่อมฉันด้วย” ถังหลี่เอ่ยอย่างจริงจัง
“ฮูหยินอู่ได้ยินผิดไปแล้ว ข้าไม่ได้พูดอะไรเช่นนั้นเลย”
จินเซ่อว่าแล้วก็หันกลับเดินหนี องค์หญิงจิ้งชูหันมาเอ่ยเบาๆ ว่าบราวนี่ออนไลน์
“เจ้าอย่าไปฟังที่นางพูดเลย งาช้างไม่อาจจะงอกออกจากปากสุนัข[2]ได้หรอก นางคงอิจฉาเห็นว่าเจ้างามกว่าเป็นแน่”
ถังหลี่ได้ยินนางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
องค์หญิงจิ้งชูผู้นี้ช่างน่ารักเสียจริง
องค์หญิงจิ้งชูตะลึงไป
“เจ้าแค่เสแสร้งหรือ?”
“ใช่แล้วเพคะ” ดวงตาของถังหลี่ฉายเล่ห์ออกมาอย่างแพรวพราว “นางต้องการขู่ให้หม่อมฉันกลัว แต่หม่อมฉันไม่กลัวเพคะ”
น้ำเสียงของถังหลี่ยังคงนุ่มนวล
“นางมีอะไร ที่ต้องกลัวหรือ?” องค์หญิงจิ้งชูมองถังหลี่อย่างนิ่งอึ้ง
ฮูหยินอู่ผู้นี้ ช่างแตกต่างกับที่นางคิดเอาไว้มากเหลือเกิน เดิมทีคิดว่านางเป็นกระต่ายขาวตัวน้อย ถูกผู้คนรังแกได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้กลับไม่ได้เป็นไปตามที่คาดเอาไว้
แต่กลับพบว่าการกระทำแบบเดียวกันของพระชายารุ่ยช่างดูหงุดหงิดน่ารำคาญใจ แต่กับฮูหยินอู่กลับดูไม่น่ารำคาญซ้ำยังออกน่ารักมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินอู่ผู้นี้ยังทำให้พระชายารุ่ยอับอายขายหน้าจนเดินหนีไปได้…
องค์หญิงจิ้งชูสำราญพระทัยเหลือเกิน
นางหันไปเรียกบ่าวรับใช้ “พวกเจ้ามานี่”
ข้ารับใช้รีบเข้ามาหา
“องค์หญิงมีพระรับสั่งว่ากระไรพะย่ะค่ะ”
“เอาเก้าอี้มาให้ข้า ข้าอยากนั่งตรงนี้” นางชี้นิ้วไปยังที่นั่งถัดจากถังหลี่
บ่าวรับใช้รีบไปนำเก้าอี้มาให้นาง
องค์หญิงจิ้งชูทรงประทับข้างถังหลี่
“พระชายารุ่ยเจ้าเล่ห์มาก ข้าเห็นตั้งแรกที่ได้พบกับนางแล้ว”
ถังหลี่ยิ้ม “องค์หญิงมีสายพระเนตรดีเพคะ”
องค์หญิงจิ้งชูทำท่าภูมิใจ “แน่นอน! ต่อหน้าข้า นางชอบเสแสร้งแกล้งทำ แต่หนีไม่พ้นสายตาที่เฉียบคมของข้าหรอก”
องค์หญิงจิ้งชูเริ่มซุบซิบ นางสนุกที่ได้พูดคุยกับถังหลี่ เมื่อก่อนที่นางพูดเรื่องความเจ้าเล่ห์เสแสร้งของพระชายารุ่ย คนอื่นจะคิดว่านางไร้เหตุผลและชอบสร้างปัญหา แต่ฮูหยินอู่ผู้นี้ฉลาดพอๆ กับตนเอง นางมองเห็นท่าทางเสแสร้งของพระชายารุ่ยได้ในทันที
……….
เวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ องค์หญิงจิ้งชูต้องย้ายกลับไปประจำที่นั่งของนาง
ตำแหน่งของนางคือ ตำแหน่งที่สองจากทางด้านซ้าย หากใกล้กับตำแหน่งแรกมากเท่าไหร่ ก็จะเห็นได้ว่าสถานะเป็นที่ชื่นชอบโปรดปรานมากขึ้นเท่านั้น
ฮูหยินกู้ก็มาร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นถังหลี่นางจึงเดินตรงมาหาบุตรสาว
“ท่านแม่” เว่ยฉิงทักทายนาง ฮูหยินกู้พยักหน้ารับลูกเขย
“เจ้ามาเร็วจริง” นางจับมือของบุตรสาวเอาไว้
“ลูกไม่เคยเข้าวัง สามีจึงรีบพาลูกเข้ามาเยี่ยมชมบรรยากาศรอบๆ ให้คุ้นเคยก่อนเจ้าค่ะ”
มารดาของนางพยักหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้คนกระซิบว่า
“พระสนมกุ้ยเฟย และองค์หญิงใหญ่เสด็จแล้ว”
ถังหลี่มองไปเห็นผู้หญิงท่วงท่าสง่างามเดินเข้ามา ตามด้วยนางกำนัลกลุ่มใหญ่
“ฝ่าบาทจะเสด็จแล้ว ที่นั่งของแม่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเจ้า”
ถังหลี่พยักหน้า “ท่านแม่รีบไปนั่งก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ฮูหยินกู้เดินไปนั่งประจำที่
ไม่นานนัก นางสนมก็พากันเดินเข้ามา ฮ่องเต้เสด็จเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ถังหลี่มองไปยังฮ่องเต้ พระพักตร์ซีดเซียวดูสูงวัยกว่าพระชนมายุมากนัก พระวรกายสูงเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผย
นี่คือพ่อสามีของนาง
เป็นบิดาผู้ให้กำเนิด ทั้งยังเป็นคนที่ออกคำสั่งให้ทำลายสกุลเซียวและสังหารมารดาของสามีนาง เว่ยฉิงคงมีความรู้สึกหลากหลายในจิตใจของเขายามมองบิดาผู้ให้กำเนิดผู้นี้
“ทางด้านซ้ายของฝ่าบาทคือพระสนมหวังกุ้ยเฟย พระมารดาขององค์ชายสาม ทางด้านขวามือคือพระสนมเหลียงพระมารดาขององค์ชายหก” เว่ยฉิงโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูของภรรยาเบาๆ
ดวงตาของถังหลี่จับจ้องไปยังที่ประทับที่ว่างเปล่าถัดจากองค์ฮ่องเต้
“ที่นั่งว่างนั่น…”
“นั่นเป็นที่ประทับของไทเฮา” เว่ยฉิงตอบ เมื่อเอ่ยถึงไทเฮาถังหลี่จับอารมณ์ที่แปรปรวนของสามีได้
“เหตุใดท่านจึงไม่เสด็จมา?”
“ไทเฮาท่านถือศีลกินเจอยู่ตลอดทั้งปี วันธรรมดาท่านไม่พบปะผู้ใด มีนางสนองพระโอษฐ์เฝ้าถวายงานอยู่หน้าที่ประทับตลอด วันนี้เป็นวันพระราชสมภพ ปกติแล้วพระนางย่อมเสด็จมางาน แต่ในวันนี้เห็นว่าทรงพระประชวรขึ้นมาอย่างกระทันหัน” เว่ยฉิงอธิบาย
“ไทเฮาผู้นี้…”
“ท่านรักข้ามาก…” น้ำเสียงของเว่ยฉิงต่ำลง
ในชั่วพริบตานั้น นางเงยหน้าขึ้นมองสามี ทันได้เห็นแววตาโศกเศร้าของเขา
สิ่งต่างๆ เปลี่ยนผันแปรไป ผู้คนในอดีตที่เคยรักใคร่ใจดีชื่นชมเขาก็หายไปตามกาลเวลาเช่นกัน…
…………………..
[1] ดอกบัวขาว เป็นคำแสลงจีน ส่วนใหญ่ใช้ตำหนิผู้หญิงที่ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ มีพฤติกรรมที่ไม่ดี
[2] งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข เป็นสำนวนมีความหมายคือ สิ่งดีงามไม่สามารถเกิดจากการกระทำสกปรกได้