บทที่ 538 ไทเฮาสติวิปลาส
แสงจันทร์ส่องสว่าง งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างหรรษา ฮ่องเต้โจวประทับนั่งเป็นองค์ประธาน เหล่าข้าราชการ เสนาบดีและข้าราชบริพารร่วมแซ่ซ้องถวายพระพร ถวายของขวัญของหายากที่พวกเขาพากันสรรหามาให้อย่างชื่นมื่น
ถังหลี่ตั้งท้องได้สองเดือนแล้ว เว่ยฉิงกลัวว่านางจะเมื่อยล้า เขายื่นมือออกไปโอบภรรยาให้นางเอนตัวเข้าหาเพื่อให้นางนั่งได้สบายขึ้น
ผ่านไปครึ่งทางของงานเลี้ยง ฮ่องเต้ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายอ่อนล้า พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับตามด้วยพระสนมเหลียง
ผ่านสายตาของพระสนมกุ้ยเฟยไป องค์หญิงใหญ่ทำท่าจะเอ่ยตรัสกับกับพระสนมกุ้ยเฟย แต่ในขณะนั้นมีบ่าวรับใช้ได้มากระซิบบางอย่างที่ข้างหูของนาง
สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่แปรเปลี่ยนไป นางลุกขึ้น เสด็จจากไปในทันที
เว่ยฉิงเห็นการกระทำของพวกเขา เขาก้มหน้าถามภรรยาว่า
“ฮูหยิน อยากไปเดินเล่นกับข้าหรือไม่? งานเลี้ยงยังไม่จบ ดอกไม้ไฟจะจุดตามฤกษ์ยาม หลังจากดูดอกไม้ไฟแล้ว เราถึงจะได้เดินทางกลับกัน ตอนนี้เราออกไปเดินเล่นรอบๆ ก่อน หากนั่งนานๆ จะเมื่อยเอา”
ถังหลี่พยักหน้าลุกขึ้นยืน ในอ้อมกอดของสามี เขาเอาแขนโอบรอบเอวนางเดินออกไปยังสวนข้างๆ
ในสวนนั้นมีโคมไฟสีแดงจำนวนมากแขวนอยู่ในสวน ดูสว่างไสว ทั้งสองคนเดินจูงมือไปตามทาง ถังหลี่รู้ว่าสามีของนางกำลังคิดถึงไทเฮา… นางเงยหน้าขึ้นกำลังจะพูด จู่ๆ มีใครบางคนออกมาจากป่าข้างทาง วิ่งเข้ามากอดเว่ยฉิงเอาไว้
“อาฉิง! อาฉิง!”
ถังหลี่ตกใจ นางมองดูผู้หญิงที่กอดเว่ยฉิงเอาไว้ นางมีผมหงอกขาวทั่วหัว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ดูแก่ชรามาก นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าดูหรูหรา ท่าทางสง่างาม แต่พฤติกรรมดูแปลกออกไป ราวกับสติไม่ดี ถังหลี่มองสามี เห็นเขาจ้องมองผู้หญิงคนนั้นอย่างตื่นเต้น สีหน้าทั้งประหลาดใจ ยินดีและโศกเศร้า
อาจจะเป็น….
“อาฉิง…ย่าตามหาเจ้าตั้งนาน เจ้าหายไปไหนมา?” น้ำเสียงของนางขุ่นเคือง ตัดพ้อ เป็นองค์ไทเฮาจริงๆ ถังหลี่มองไปรอบๆ หากมีใครได้ยินผลที่ตามมาย่อมเป็นหายนะ
“สามี…” ถังหลี่เรียกเบาๆ
เว่ยฉิงมีปฏิกริยาเช่นกัน
ไม่มีใครได้ยินพระสุรเสียงของไทเฮา และไม่มีใครจะสงสัยตัวตนของเขาแม้แต่น้อย
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่อาฉิง”
ไทเฮาจับมือของเว่ยฉิงแน่นแย้งขึ้นอย่างดื้อรั้น
“เจ้าคืออาฉิง! อาฉิง ย่าคิดถึงเจ้ามาก”
“เด็กดี อาฉิง มาหาย่าเถิด” หญิงชราในชุดชาววังอ้าแขนออก เด็กน้อยวัยสี่ห้าขวบโผเข้ากอดนาง ฉากดังกล่าวปรากฏขึ้นในใจของเว่ยฉิง จมูกของเขาเจ็บแสบ หากสีหน้าเขากลับเย็นชาสงบนิ่ง เขาพยายามผละตัวออกจากนาง
แต่หญิงชรากลับจับแน่นขึ้น นางทำท่าจะร้องไห้
“อาฉิงอย่าเพิ่งไปไหน ย่าจะให้พ่อครัวหลวงทำอาหารอร่อยๆ ให้เจ้ากินนะ”
ถังหลี่ยื่นมือไปวางบนศีรษะนางเบาๆ ด้วยพลังอำนาจของนางมีผลทำให้คนสงบลงอย่างชั่วคราว
“เขาไม่ใช่อาฉิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว” ถังหลี่เอ่ยเบาๆ
ไทเฮามองถังหลี่ พลางค่อยๆ ปล่อยพระหัตถ์ออกจากเว่ยฉิง ท่าทางเศร้าพระทัย
“ข้าทักคนผิดหรือ?”
“เพคะ พระองค์ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว คนผู้นี้คือใต้เท้าอู่ ชื่ออู่อวี้เพคะ”
ฮองเฮาปล่อยเว่ยฉิงออก พระนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เขาคืออู่อวี้ แล้วหลานชายตัวน้อยของนางเล่า เขาหายไปไหน? นางคิดถึงหลานชายตัวน้อยของนางเหลือเกิน เว่ยฉิงรีบถอยหลังไปสองก้าวหายไปในความมืด
ในตอนนั้นเอง มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา นำโดยองค์หญิงใหญ่ เมื่อเห็นไทเฮาองค์หญิงใหญ่รีบเสด็จเข้ามาหา อย่างดีพระทัย
“ไทเฮา” องค์หญิงใหญ่คว้าพระหัตถ์ของมารดา
“พระองค์ไม่สบาย หมอหลวงแนะนำให้ทรงพักพระวรกายก่อน เหตุใดท่านถึงได้เสด็จออกมา? ลูกจะเดินเป็นเพื่อนคลายความเบื่อหน่ายให้นะเพคะ” นางกล่าวแล้วหันไปมองถังหลี่ด้วยท่าทีสง่างาม
ถังหลี่ก้มลงคำนับ “องค์หญิงใหญ่”
นางยิ้มออกมา “ไทเฮาไม่ค่อยสบาย พระนางทรงเหม่อลอยไปบ้าง ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่?”
ถังหลี่เข้าใจความหมายของนางที่ต้องการจะไม่ให้ถังหลี่พูดจาไร้สาระออกไป นางเพียงแต่ต้องการจะสื่อว่าองค์ไทเฮาเพียงแค่เหม่อลอยไปชั่วขณะ หาใช่เป็นที่พระสติเลอะเลือนไม่…
“เมื่อครู่ ไทเฮาทรงพระประชวรวาโยเพคะ หม่อมฉันจึงได้ประคองพระวรกายเอาไว้ พระนางไม่ได้เอ่ยตรัสอะไรกับหม่อมฉันเลย”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าอย่างพอพระทัยในคำตอบของถังหลี่ นางมองพระราชมารดา
“ไทเฮาไม่ค่อยสบาย หมอหลวงไม่อยากให้พระองค์โดนลมมากนัก ลูกจะพยุงท่านแม่เสด็จกลับนะเพคะ” ถังหลี่ยืนเฝ้าดูองค์หญิงใหญ่ช่วยพยุงไทเฮาเสด็จจากไป แต่ไทเฮาไม่ค่อยเต็มพระทัยนัก
เว่ยฉิงออกมาจากในเงามืด เขาเดินไปอยู่ที่ข้างกายของภรรยา ถังหลี่รู้สึกได้ถึงความเศร้าหมองในใจของสามี นางหันกลับมากอดเอวเขาเอาไว้
เว่นฉิงกอดตอบ ฝังใบหน้าไว้ที่ซอกคอของถังหลี่ นางรู้ว่าเขาเศร้าใจจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่ตบไหล่เขาปลอบประโลมเขาเบาๆ
ทั้งสองคนเดินเล่นในสวนสักพักจากนั้นจึงได้เดินกลับไปยังงานเลี้ยง
ฮูหยินกู้เดินเข้ามาหาบุตรสาวเอื้อมมือมาจับเสื้อคลุมของนางให้กระชับเข้ากับร่างกายของบุตรสาว
“เจ้าไม่สบายหรือเปล่า?”
ถังหลี่ส่ายหน้า “ท่านแม่เมื่อครู่ข้าอึดอัดอยู่บ้างแต่หลังจากออกไปเดินสักรอบก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินกู้พยักหน้าเอียงกายไปกระซิบกับบุตรสาวว่า
“งานเลี้ยงใกล้จะเลิกแล้วล่ะ”
งานเลี้ยงวันเกิดแบบนี้นับได้ว่าทรมานถังหลี่เป็นอย่างมาก หากเป็นงานธรรมดา นางคงไม่คิดจะมาอย่างแน่นอน แต่นี่เป็นงานฉลองวันพระราชสมภพครบรอบสี่สิบพระชันษาของฮ่องเต้นางจะไม่มาได้อย่างไร?
เมื่อมีเสียงระฆังดังขึ้น ดอกไม้ไฟก็ถูกจุดริมแม่น้ำพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ในยุคนี้ดอกไม้ไฟเป็นของหายาก มีให้แต่บรรดาเชื้อพระวงศ์เท่านั้น
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นเต้น
ถังหลี่ก็แหงนมองดูเช่นกัน นางเห็นสายตาของเว่ยฉิงที่เป็นประกายด้วยความชื่นชอบ
ดอกไม้ไฟในยุคนี้ดูเทียบไม่ได้ในยุคสมัยของถังหลี่ที่จากมา ที่นั่นดอกไม้ไฟสร้างสีสันและลวดลายได้อย่างน่าดู หากมีโอกาสนางอยากจะพาสามีไปเห็นสักครั้ง
จินเซ่อยืนอยู่ตามลำพัง นางมองไปยังคนทั้งสองที่ยืนประคองกอดกันด้วยแววตาเย็นเยียบ นางทนเห็นถังหลี่มีความสุขไม่ได้ สักวันหนึ่งนางจะทำให้ถังหลี่สูญเสียทุกอย่างจนหมดสิ้น!
เมื่อดอกไม้ไฟได้ถูกจุดขึ้นมานั่นเป็นสัญญาณว่างานเลี้ยงได้เลิกราแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ เมื่อถังหลี่เดินไปครึ่งทางมีนางกำนัลผู้หนึ่งได้หยุดนางเอาไว้
“ฮูหยินอู่ บ่าวเป็นนางกำนัลข้างกายองค์หญิงจิ้งชูเจ้าค่ะ องค์หญิงทรงเสด็จไปพักผ่อนแล้ว ท่านให้บ่าวมาเรียนฮูหยินว่าหากองค์หญิงมีโอกาสจะไปเยี่ยมเยียนท่านที่จวนเจ้าค่ะ”
เมื่อคิดถึงองค์หญิงที่มีน้ำพระทัยตรงไปตรงมาผู้นั้น ถังหลี่จึงได้พยักหน้า
“ข้าจะรอรับเสด็จ” เมื่อเขาเดินมาจนถึงหน้าประตูวังไท่จี๋ ถังหลี่จึงได้กล่าวคำอำลากับมารดา ต่างฝ่ายจึงได้แยกย้ายกันขึ้นรถม้ากลับไป
เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วที่พวกเขามาถึงบ้าน ถังหลี่และเว่ยฉิงอาบน้ำแล้วพากันเข้านอน
เว่ยฉิงกอดภรรยาเอาไว้ราวกับหมีตัวใหญ่
“องค์ไทเฮามีพระจริยาวัตรอ่อนโยน ไม่ต่อสู้ช่วงชิงกับผู้ใด ข้าได้ยินว่าท่านทรงสวดมนต์ไหว้พระตลอดทั้งปี ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นเช่นนี้จำใครไม่ได้ เลอะเลือนไป…”
เว่ยฉิงถอนหายใจ
องค์ไทเฮาเป็นสตรีที่สูงศักดิ์สง่างาม แต่ตอนนี้นางได้เลอะเลือนไปแล้ว!”
………………………