บทที่ 542 อาการของไทเฮาคงที่
“ถ้าหากข้าได้ตรวจคนไข้และได้เห็นก็จะวินิจฉัยได้ดีกว่านี้” หมอซูพูดขึ้นมา
เว่ยฉิงถอนหายใจ
“คนไข้ไม่สะดวกที่จะให้ท่านพบได้”
“ถ้าเช่นนั้น ข้ามีคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับคนไข้ ข้าจะเขียนเทียบยาได้หลังจากที่ข้าได้รู้อาการ” หมอซูเขียนคำถามที่เขาต้องการจะรู้ส่งให้กับเว่ยฉิง
เว่ยฉิงหาโอกาสที่จะส่งคำถามในกระดาษให้แม่นมฉู่ หลังจากนั้นไม่กี่วันจึงได้รับคำตอบจากแม่นมฉู่ หลังจากหมอซูได้รู้อาการที่เขาถามไปแล้ว เขาจึงได้เขียนเทียบยา
“หมอซู ท่านจะทำยาเป็นเม็ดน้ำตาลได้หรือไม่?” เว่ยฉิงถาม
“ได้ แต่ต้องใช้เวลาสักสองวัน”
สองวันต่อมา หมอซูจึงได้ส่งขวดยาให้เว่ยฉิง
เมื่อเขาเปิดออกดู ยาที่ว่ากลายเป็นเม็ดน้ำตาล เมื่อดมแล้วจะได้กลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมา
หมอซูคู่ควรกับฉายาหมอเทวดา เขามีความสามารถมาก
“ยานี้กินวันละสองครั้งอย่ากินมากจนเกินไป คนไข้ที่เป็นโรคสมองเลอะเลือนเช่นนี้จะต้องกินยาตลอดเวลาไม่เช่นนั้นอาการจะทรุดลงได้”
เว่ยฉิงพยักหน้า เขาใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะส่งยาขวดนี้ให้กับแม่นมฉู่ เมื่อนางได้รับยา นางจับขวดยาไว้แน่นอย่างตื่นเต้น
ยานี้จะช่วยไทเฮาได้จริงๆ หรือ?
อาการของไทเฮานั้นซับซ้อนมาก ส่วนใหญ่นางจะตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย บางครั้งก็จะคลุ้มคลั่ง หากแม่นมฉู่ไม่ให้ความระมัดระวัง นางอาจจะทำร้ายตนเองได้
แม่นมฉู่ไม่มีทางเลือกอื่น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจเกิดเหตุร้ายกับไทเฮาได้ เมื่อมีคนบอกว่าสามารถช่วยไทเฮาได้ นางจึงยินดีที่จะเสี่ยงลองดู
แม่นมฉู่หยิบยาออกมาหนึ่งเม็ดจากนั้นจึงได้ใส่ปากลองกินดู หลังจากผ่านไปสักครู่ นางไม่มีอาการใดๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่ยาพิษ นางจึงได้หยิบออกมาหนึ่งเม็ดเกลี้ยกล่อมให้ไทเฮาเสวยเข้าไป หลังจากที่ได้เสวยยาไปแล้วสองวัน นางจึงเห็นได้ว่าพระอาการของไทเฮาเริ่มคงที่ พระนางไม่ได้มีอาการพระประชวรเลยในสองวันที่ผ่านมา!
แต่ไทเฮายังคงเลอะเลือนและจำผู้ใดไม่ได้เช่นเดิม
กระนั้นก็นับได้ว่าเป็นเรื่องดี ที่มีคนคอยมาช่วยเหลือพระองค์
เมื่อแม่นมฉู่มีโอกาส นางสบช่องส่งข่าวให้แก่เว่ยฉิง เขาได้รายงานเรื่องนี้กับหมอซู
หมอซูครุ่นคิดอยู่นาน
“คงจะดีที่ข้าจะได้พบกับคนไข้ด้วยตัวเอง” อาการของผู้ป่วยค่อนข้างซับซ้อน เขาไม่ได้ตรวจอาการด้วยตนเองจึงไม่กล้าที่จะสั่งยาแบบลวกๆ
ไทเฮาอยู่ในวัง มีผู้คนจำนวนมากคอยคุ้มกัน พวกเขาจึงได้รอโอกาสเท่านั้น
…………
พระราชวัง
องค์หญิงจิ้งชูได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ไปเข้าเฝ้ายังพระตำหนักซ่างชู นางจึงรีบเสด็จไป องค์หญิงอดหลากพระทัยไม่ได้ เสด็จพ่อยุ่งกับราชกิจ แล้วเหตุใดจึงให้ตนมาเข้าเฝ้า
พระองค์คิดถึงนางหรือ?
เมื่อองค์หญิงจิงชูเดินเข้าไปนางสวนกับคนที่กำลังออกมาพอดี
เป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดขุนนาง นางรู้จักคนผู้นี้ดี เขาเป็นผู้เข้าสอบเคอจวี่เมื่อปีที่แล้วชื่อกัวฮั่นเสวี่ย
เขาหยุดทำความเคารพเมื่อเห็นนาง
“คารวะองค์หญิงพะย่ะค่ะ”
“ท่านเกาอย่าได้มากพิธี” องค์หญิงจิ้งชูตรัสให้เขาละเว้นพิธีการ กัวฮั่นเสวี่ยเหลือบมององค์หญิง เขาหน้าแดง จากนั้นจึงได้ก้มหน้าลงอีกครั้ง
“องค์หญิงกระหม่อมมีของจะถวาย”
“อะไรหรือ?” องค์หญิงสงสัย กัวฮั่นเสวี่ยหยิบม้วนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อแล้วมอบให้กับนาง องค์หญิงจิ้งชูทรงรับเอาไว้
“กระหม่อมทูลลา”
หลังจากที่เขาพูดจบเขารีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าหญิงจิ้งชูเปิดม้วนกระดาษออกดูพบว่าเป็นภาพวาด ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นนางนั่นเอง ในงานเลี้ยงฉลองพระราชสมภพครั้งที่แล้ว เป็นตนเองที่เท้าคางมองมาด้วยรอยยิ้ม
“องค์หญิง ท่านกัวผู้นี้ช่างมีน้ำใจ” สาวใช้ข้างกายของนางพูดขึ้น
หัวใจขององค์หญิงสั่นไหว เหลือบสายพระเนตรมองสาวใช้แล้วกระแอมไอเป็นเชิงปราม
“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน” องค์หญิงจิ้งชูรวบรวมม้วนภาพวาดก้าวเข้าไปยังด้านในตำหนักซ่างชู นางเห็นฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะกำลังทอดพระเนตรฎีกา องค์หญิงจิ้งชูจึงได้เดินเข้าไปทำหน้าที่ฝนหมึกให้ฮ่องเต้
“เสด็จพ่อทรงคิดถึงลูกหรือเพคะ” องค์หญิงจิ้งชูทูลถามฮ่องเต้โจวเงยหน้าขึ้นมองพระธิดาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าได้เห็นใครบางคนหรือไม่?”
นางรู้ดีถึงความนัยที่เสด็จพ่อทรงตรัส ในปีที่ผ่านมา ท่านได้ทำการคัดเลือกพระสวามีให้นาง เสด็จพ่อพระทัยดีกับนางมากจริงๆ องค์หญิงคนอื่นๆ ท่านได้แต่ออกพระบรมราชโองการสมรสให้เท่านั้น ส่วนขององค์หญิงจิ้งชู เป็นเพียงพระองค์เดียวที่ช่วยเลือกพระสวามีให้อย่างจริงจัง ทั้งยังให้นางได้เลือกด้วยตนเองอีกด้วย กัวฮั่นเสวี่ยเป็นหนึ่งในนั้น นางเคยได้พบกับเขาหลายครั้งแล้ว นางมีความประทับใจเขามากกว่าผู้อื่น
เขาเป็นคนหน้าตาดี อ่อนโยน และมีอารมณ์ดี จู่ๆ นางก็อดคิดถึงกู้หวนจิ่นไม่ได้ กัวฮั่นเสวี่ยดีกว่ากู้หวนจิ่นหลายเท่านัก!
ฮ่องเต้โจวทรงทอดพระเนตร เห็นนางตกอยู่ในภวังค์ รอยแย้มสรวลของพระองค์ลึกขึ้น
“ว่าไง? เจ้าชอบเขาหรือไม่? หากชอบพ่อจะให้อาจื่อแต่งงานกับเขา”
พระพักตร์ขององค์หญิงแดงขึ้น
“เสด็จพ่อ ท่านไม่อยากเลี้ยงลูกแล้วหรือเพคะ? ถึงได้อยากให้ลูกรีบแต่งงานไปให้เร็ว”
ฮ่องเต้โจวทรงพระสรวล
“พ่อจะอยากทำร้ายเจ้าได้อย่างไร? ปีนี้เจ้าอายุสิบหกปีแล้ว ท่านอาของเจ้าก็แต่งงานตอนอายุเท่านี้ทุกคน กัวฮั่นเสวี่ยเป็นคนดี เขามาจากครอบครัวธรรมดาเรียบง่าย เขามีความทะเยอทะยาน ทั้งยังอารมณ์ดีพร้อมที่จะเอาอกเอาใจเจ้า”
องค์หญิงจิ้งชูกัดริมฝีปาก นางไม่ได้ทูลตอบ นางชอบกัวฮั่นเสวี่ย แต่ยังไม่ถึงขั้นอยากจะแต่งงานกับเขา
“เสด็จพ่อ ขอให้ลูกคิดดูอีกทีได้ไหมเพคะ”
ฮ่องเต้โจวสีพระพัตร์ผ่อนคลายลง
“ได้”
“เสด็จพ่อ ลูกขออนุญาตออกจากวังพรุ่งนี้ได้หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้โจวเลิกพระขนง “เหตุใดจึงอยากออกจากวังอีกแล้ว?”
“เสด็จพ่อ วังหลวงน่าเบื่อเกินไป ลูกอยากไปเล่นกับถังหลี่เพคะ” องค์หญิงจิ้งชูออดอ้อนพระบิดาในที่สุดพระองค์ทรงอนุญาต
ในยามค่ำคืนนั้นฮ่องเต้ได้ประทับอยู่กับพระสนมหวังกุ้ยเฟย พระนางจึงได้โอกาสตรัสถามกัวฮั่นเสวี่ยมีศักดิ์เป็นพระนัดดาห่างๆ ของพระนาง
หากกัวฮั่นเสวี่ยได้มีโอกาสเป็นราชบุตรเขย…ในราชวงศ์ต้าโจว ผู้ที่เป็นราชบุตรเขยจะไม่อาจเข้ารับตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงได้ แต่นั่นจะแตกต่างออกไป หากเขาได้แต่งงานกับองค์หญิงผู้เป็นที่โปรดปราดของฮ่องเต้
ตราบใดที่นางพูดเพียงไม่กี่คำต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้แล้ว เมื่อนั้นจะได้ทั้งเกียรติยศและความมั่งคั่งไม่รู้จบ ทั้งยังจะมีส่วนช่วยเหลือสกุลหวังของนางด้วย
“ดูไปแล้วอาจื่อชอบพอหานเสวี่ยอยู่บ้าง” ฮ่องเต้ตรัส นั่นทำให้พระนางหวังกุ้ยเฟยมีความสุขขึ้นมา นางจึงเริ่มกล่าวชมหลานชายผู้นี้อีกมากมาย
….
วันถัดมา องค์หญิงจิ้งชูออกจากพระราชวัง นางขึ้นรถม้าแล่นไปยังจวนอู่โหว ภายในใจภาวนาว่าขออย่าให้เจอกู้หวนจิ่นที่น่ารำคาญคนนั้นอีกเลย ไม่เช่นนั้นแล้วอารมณ์ที่ดีของนางในวันนี้จะได้รับผลกระทบไปด้วย
เมื่อองค์หญิงเสด็จมาเยือนที่หน้าจวนอู่โหว บ่าวรับใช้ได้ทูลเชิญนางไปยังโถงนั่งเล่น ไม่นานนักถังหลี่จึงได้ออกมาต้อนรับ
องค์หญิงจิ้งชูเหลียวซ้ายแลขวา นางไม่เห็นกู้หวนจิ่น จึงได้ถอยหายใจอย่างโล่งอก
ดีจริงคนผู้นั้นไม่อยู่!
“องค์หญิงมองหาใครหรือเพคะ?” ถังหลี่ถามด้วยรอยยิ้ม
“องค์หญิงจิ้งชูตวัดเสียงตอบ
“ข้าไม่ได้มองหาผู้ใด!” นางเดินไปจับแขนถังหลี่กำลังจะเอ่ยปาก
“มองหาข้าอยู่หรือ?” องค์หญิงจิ้งชูเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งโบกพัดเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มในดวงตาของเขา
ผู้ชายน่าตายผู้นั้นอยู่ที่นี่จริงด้วย!