บทที่ 550 เว่ยฉิงแอบเคลื่อนไหว
“ภรรยา เจ้าอยากรู้หรือไม่?”จู่ๆ เขาก็มองนางด้วยสายตาแหลมคม ถังหลี่โน้มไปจุมพิตที่ริมฝีปากของเขา เว่ยฉิงพอใจกับจูบที่นุ่มนวลอ่อนหวานของภรรยา เขาเปิดประตูออกไปสั่งบางอย่างกับคนที่อยู่ด้านนอก
ถังหลี่ลุกขึ้น จากเตียง เว่ยฉิงจูงมือนางออกไปที่นอกห้อง
คืนนี้จันทร์สว่างมองเห็นลานด้านนอกได้อย่างชัดเจน ไม่ช้าบ่าวรับใช้ก็พาเด็กชายสองคนเดินเข้ามา
เด็กทั้งสองคนอายุราวๆ สิบกว่าขวบมากกว่าซานเป่านิดหน่อย เขาดูไร้เดียงสา แต่ในแววตากลับมีความมุ่งมั่นเย็นชาเกินกว่าวัย ทั้งคู่ทำความเคารพเว่ยฉิงและถังหลี่
“นายท่าน ฮูหยิน”
เว่ยฉิงเอามือไพล่หลัง เม้มริมฝีปาก ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ท่าทางดูสง่างาม เขามองเด็กสองคนแล้วพยักหน้า
ถังหลี่คาดเดาตัวตนของพวกเขาอย่างสงสัย
“เด็กสองคนนี้…”
“ฉือซื่อ!” เว่ยฉิงเรียก ฉือซื่อกระโดดลงมาจากต้นไม้ ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้
เว่ยฉิงมองฉือซื่อทำท่าให้เขาอธิบาย
ฉือซื่อรีบพูดขึ้นว่า
“เด็กสองคนนี้เป็นลูกศิษย์ที่มีค่าของนายท่าน พวกเขาอยู่กับนายท่านมาห้าปีแล้ว อย่ามองว่าเขาเป็นแค่เด็กน้อย ที่จริงพวกเขาเก่งมาก ความสามารถทางวรยุทธ์ของพวกเขาทั้งสองคนรวมกันแล้วย่อมได้ครึ่งหนึ่งของตัวข้า นอกจากนี้นายท่านยังสั่งสอนพวกเขาเป็นการส่วนตัว ทำให้พวกเขามีไหวพริบและฉลาดมากขอรับ”
ฉือซื่ออดโอ้อวดตนเองไม่ได้ แต่ถังหลี่รู้ดีว่าฉือซื่อเก่งกาจมากเพียงไหน หากพูดว่าเด็กสองคนนี้เก่งได้ครึ่งหนึ่งของฉือซื่อก็ถือได้ว่าเด็กชายทั้งสองต้องเก่งพอตัวทีเดียว
“หมอหลวงของราชสำนัก สามารถนำเด็กฝึกยาถือล่วมยาเข้าไปในวังหลวงได้ “
ฉื่อซื่อเห็นว่าเขาทำหน้าที่ของตนได้เรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงได้พาเด็กทั้งสองคนไป
เว่ยฉิงรีบเปลี่ยนท่านทีเย็นชาของตน เขาหันมาขยิบตาให้ถังหลี่
“ภรรยา เจ้าว่าวิธีนี้ดีไหม?”
ถังหลี่มองสามี ใบหน้าของเขาเขียนคำว่า ‘ได้โปรด ชมเชยข้าด้วย’ ตัวใหญ่เอาไว้จนเต็มหน้า หากเขามีหาง หางของเขาคงได้ทะลุฟ้าไปแล้ว สามีของนางช่างคิดจริงๆ
‘ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง’[1]
เมื่อมีผู้ที่เก่งกาจในวรยุทธ์อยู่เคียงข้างหมอซูถึงสองคนแล้ว ถังหลี่จึงได้วางใจ
เมื่อมองดูชายตรงหน้าที่ร้องขอคำชมเชย ถังหลี่จึงได้จุมพิตเขาอีกครั้ง เว่ยฉิงได้ทีเขารวบตัวภรรยากอดนางและจุมพิตอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งถังหลี่หายใจอย่างยากลำบาก เขาถึงได้ปล่อยนาง
“ข้าหวังว่าหมอซูคงจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อที่จะได้รักษาอาการป่วยของนางได้”
นี่เป็นสิ่งที่สามีของนางกังวลอยู่ทุกวัน หวังว่าจะได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที
….
ศาลต้าหลี่ได้ทำการสอบสวนเจี่ยชุ้นอีกครั้ง จึงได้พบปัญหาภายในของศาลต้าหลี่เพิ่มขึ้น เมื่อสิบสองปีที่แล้วซุนเซียงต๋า ผู้เป็นผู้พิพากษาของศาลต้าหลี่ได้รับสินบนจากเจี่ยชุ้นเพื่อปิดคดีลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อดึงหัวไชเท้าขึ้นย่อมมีโคลนตมติดขึ้นมาด้วย ศาลต้าหลี่ได้โอกาสทำความสะอาดและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เจิ้งหยางอันจึงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นแทนซุนเซียงต๋าด้วยสาเหตุนี้เอง
……
หลังจากโรงหมอหลวงได้รู้ว่าหมอซูถูกใส่ร้าย เขาจึงเพิ่มชื่อหมอซูเป็นหมอหลวงอีกครั้ง จากนั้นจึงได้ส่งคนไปแจ้งหมอซูเป็นกรณีพิเศษ และขอให้เขาไปรายงานตัวที่โรงหมอหลวงทันที
เช้าวันหนึ่งต้นเดือนมิถุนายน หมอซูต้องเข้าไปในวังหลวงแต่เช้าตรู่ พร้อมกับเด็กฝึกยาสองคน
ฮูหยินซูและถังหลี่ยืนที่ประตู มองดูรถม้าแล่นไป
“เจ้ากำลังท้องอยู่ เหตุใดถึงได้ตื่นเช้านัก” ฮูหยินซูทักขึ้น “เจ้าอย่าได้กังวลอะไรให้มากมายนัก”
เมื่อมีเด็กฝึกยาสองคนที่เชี่ยวชาญวรยุทธ์ติดตามอยูข้างกายหมอซู ถังหลี่โล่งใจมากขึ้น
“เสี่ยวถัง เจ้าอย่าได้คิดว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับหมอซูมากนัก ข้ารู้ว่าเจ้าและเว่ยฉิงกังวลเรื่องนี้มาก ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหรอก…” ฮูหยินซูพูดปลอบใจ
ถังหลี่เม้มริมฝีปาก
ในนวนิยายเดิมนั้น หมอซูและฮูหยินซูมีจุดจบที่น่าเศร้า คนทั้งสองที่รักกันมากต้องมีอันพลัดพรากจากกัน ถังหลี่ไม่อยากให้เกิดเหตุเช่นนั้นอีก นางต้องการปกป้องพวกเขาเอาไว้ที่ใต้ปีกของตนเอง
“เด็กโง่เอ๋ย…ข้าและสามีก็มีความคิดเป็นของตนเองเช่นกัน พวกเราอยากช่วยเหลือเจ้า สามีข้าอายุตั้งสามสิบเข้าไปแล้ว เขาดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี” ฮูหยินซูอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าให้ถังหลี่
“เจ้าเด็กกว่าเขาตั้งมาก เหตุใดจึงได้เป็นกังวลมากขนาดนี้เล่า หืม…?” ถังหลี่ถูกนางกระเซ้าแหย่เล่นจึงได้แต่หัวเราะออกมา
“ข้าเป็นกังวลอยู่เรื่องเดียว หมอซูอยากเจอภรรยาทุกวัน แต่บางครั้งเขาต้องเข้าเวรในวังหลวง อาจจะมาพบหน้าท่านไม่ได้ถึงสามสี่วัน จะทำอย่างไรดี เขาจะคิดถึงท่านมากไหม?” ถังหลี่พูดแล้วถอนหายใจอย่างจริงจัง
ฮูหยินซูหน้าแดง พูดดุนางเบาๆ ว่า
“ความคิดถึงย่อมเป็นโรคอย่างหนึ่ง เขาเป็นหมอย่อมรู้จักรักษาตนเองอยู่แล้วล่ะ!”
……..
ซูไท่หยวนพาเด็กฝึกยาสองคนเข้าไปในวังหลวง เขาห้อยยันตร์คุ้มภัยของภรรยาเอาไว้ที่รอบคอของตนช่วยให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
ภายในโรงหมอหลวง จะมีหัวหน้าหมอหลวงและมีผู้ช่วยอยู่สองคน นอกนั้นจะเป็นตำแหน่งหมอทั่วไป
ซูไท่หยวนเป็นตำแหน่งหมอทั่วไปเพราะเขาเพิ่งเข้ามาใหม่
หมอหลวงจางเป็นหัวหน้าหมอ เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลโดยตรง หมอหลวงจางนำเครื่องแบบของโรงหมอหลวงมาให้และพาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ข้าจะทำเรื่องเบิกเสื้อผ้าให้เด็กฝึกยาสองคนของเจ้าด้วย อาจจะใช้เวลาสักเดือนหรือสองเดือนในการตัดเย็บ” หมอหลวงจางพูด เขาเป็นชายวัยกลางคนท่าทางอ่อนโยน มีผมหงอกประปรายบนศีรษะ อายุมากกว่าซูไท่หยวนไม่มากนัก
ซูไท่หยวนขอบคุณเขา หมอหลวงจางแนะนำกฎระเบียบ และข้อปฏิบัติให้หมอซูรู้เพื่อที่เขาจะได้ระมัดระวังเข้าใจและทำตาม ทันใดนั้นสีหน้าของหมอหลวงจางแปรเปลี่ยนไป ซูไท่หยวนเงยหน้าขึ้น เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งใส่ชุดหมอหลวงเดินผ่านไปด้วยทีท่าภาคภูมิใจ
“นั่นเป็นหมอหลวงหวัง” หมอหลวงจางพูดเสียงต่ำลง
ชั่วพริบตาหมอหลวงหวังได้เดินเข้ามายืนอยู่หน้าพวกเขา สายตาของเขาจับจ้องที่ซูไท่หยวนและเด็กฝึกยาสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา
“หมอใหม่หรือ? ช่างใหญ่โตเหลือเกินน่ะ หมอคนเดียวนำเด็กฝึกยาเข้ามาได้ถึงสองคนเลยรึ!”
ซูไท่หยวนรีบร้อนพูดแก้ต่างว่า
“ข้าเพิ่งเข้ามาวังหลวงเป็นครั้งแรกขอรับ กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีนัก จึงได้นำเด็กฝึกยาที่คล่องแคล่วเฉลียวฉลาดมากับข้าด้วย”
หมอหลวงหวังปรายตาดูอีกครั้งแล้วจึงเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
“หมอหลวงหวัง อารมณ์ร้าย หากเข้าเจอเขาก็พยายามเดินอ้อมไปเสีย อย่าได้ไปหาเรื่องเผชิญหน้าตรงๆ กับเขา” หมอหลวงจางเตือนเสียงเบา
“ขอบคุณท่านหมอหลวงจางที่ได้กรุณาเตือนข้า” ซูไท่หยวนรู้สึกขอบคุณในความเมตตาของท่านหมอหลวงจางเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะรู้เรื่องนี้แล้วก็ตามที
สองวันก่อนหน้านี้เว่ยฉิงได้เล่าสถานการณ์ในโรงหมอหลวงให้เขาฟังแล้ว
ทุกที่ย่อมมีเนื้อร้าย หวังเซี่ยวจี้ผู้นี้เป็นเนื้อร้ายของโรงหมอหลวง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญในการรักษา ชอบโยนความผิด ใส่ร้ายคนและมีความพยาบาท มักกลั่นแกล้งใครก็ตามที่เขาไม่ชอบให้อับอายในที่สาธารณะ
ไม่มีใครชอบเขาแม้แต่คนเดียว แต่เป็นเพราะภูมิหลังที่เข้มแข็งของเขาจึงทำให้ไม่มีใครกล้าต่อกรกับเขา
[1] ศัตรูเปิดเผย ไม่น่ากลัว เท่าศัตรูที่ซ่อนเร้น