บทที่ 555 คิดถึงหลานชาย
แม่นมฉู่ระงับความตื่นเต้น นางมองไปรอบๆ รู้สึกโล่งใจว่าไม่มีผู้อื่นเห็น การฟื้นคืนสติของไทเฮาจะต้องให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้ แม่นมฉู่รีบประคองพระหัตถ์ของไทเฮาเข้าไปในห้อง แล้วรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว
นางมองไทเฮาที่มีพระพักตร์เต็มไปด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยที่อ่อนโยนอยู่เสมอในยามที่ไม่ทรงเสียสติ เมื่อได้เห็นท่าทีที่คุ้นตาของพระนางเช่นนั้นแล้ว ดวงตาของแม่นมฉู่เปลี่ยนเป็นสีแดง น้ำตาของนางไม่สามารถหยุดไหลได้เลย ไทเฮาทอดพระเนตรจากนั้นจึงได้เอื้อมพระหัตถ์มาลูบที่ศีรษะของนางเบาๆ
“อาเยว่น้อยเป็นอะไรหรือ? มีคนรังแกเจ้าหรือ? บอกข้าสิข้าจะจัดการให้เจ้าเอง” ยิ่งได้ฟังแม่นมฉู่ก็ยิ่งน้ำตาร่วงหนักขึ้น เมื่อก่อนนี้ตอนที่นางยังเล็กนางมักถูกรังแก ไทเฮาทรงลูบศีรษะของนางตรัสปลอบนางเช่นนี้ ต่อมาเมื่อนางเติบใหญ่ขึ้น ได้เลื่อนฐานะขึ้นไปเป็นนางกำนัลชั้นสูง เป็นที่โปรดปรานและไว้วางพระราชหฤทัยไทเฮา ข้าราชบริพารในวังเรียกขานนางว่าฉู่กูกูด้วยความเคารพ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฉู่มามา[1]
ใครๆ ต่างนับถือนาง แต่ไทเฮาก็ยังคงปกป้องนางเหมือนเด็กเล็กๆ
“ไม่เป็นไรๆ อย่าร้องไห้เลย” ไทเฮาตรัสเบาๆ พระนางทรงหยิบผ้าซับพระพักตร์ออกมาจากชายพระภูษาเช็ดน้ำตาให้แม่นมฉู่
“ฝ่าบาท ดีเหลือเกินเพคะ พระองค์ทรงได้พระสติกลับคืนมาแล้ว จากนี้ไปจะได้ไม่มีใครมารังแกหม่อมฉันได้อีกเพคะ” แม่นมฉู่สะอื้นไห้
เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ เหมือนฝันเลยว่าไทเฮาของนางฟื้น
“โอ้…อาเยว่น้อย เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมีอายุมากขึ้นเช่นนี้?” ไทเฮาทรงแปลกพระทัย
แม่นมฉู่รับรู้ได้ว่าอากัปกิริยาของไทเฮามีบางอย่างผิดปกติ นับตั้งแต่พระสวามีสวรรคต พระนางทรงเงียบขรึมและดูเย็นชาลง ก่อนหน้านั้นไทเฮาจะมีพระนิสัยร่าเริง อ่อนโยน แย้มสรวลบ่อยครั้ง กระทั่งแม่นมฉู่ที่ได้พบเจอกับพระนางในครั้งแรก ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าจะมีเจ้านายที่ดีเช่นนี้อยู่จริงหรือ?
ต่อมาเมื่อติดตามไทเฮาเป็นเวลานาน นางก็รู้ว่าพระนางเป็นคนที่หาได้ยากเพียงใดในวังหลวงแห่งนี้ บรรดาเจ้านายคนอื่นใครเล่าจะไม่มีความโหดร้ายอำมหิต แต่ไทเฮาทรงมีน้ำพระทัยอ่อนโยนและทรงมีพระกรุณาต่อข้าราชบริพารมาก พระนางทรงมีพระเมตตาต่อทุกคน
โชคดีที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็มีพระอุปนิสัยคล้ายคลึงกัน พระองค์มีความห่วงใยต่อไทเฮาที่ไร้พระโอรสและพระธิดา จึงได้ให้นางรับเลี้ยงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ท่าทีของพระนางเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ผิด….
พระองค์ทรงรีบเสด็จไปยังพระฉายอย่างรวดเร็ว ไทเฮาทรงพระชันษามากแล้ว พระวรกายไม่ค่อยคล่องแคล่วแข็งแรงเช่นก่อนหน้า ยามที่นางได้เห็นตนเองในพระฉาย พระองค์ทรงประทับหยุดนิ่ง ภาพที่เห็นคือหญิงชรา ใบหน้าเหี่ยวย่น ซูบผอม ดูน่ากลัวยิ่งนัก
เป็นแบบนี้ได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น?
พระนางหันพระพักตร์ไปถามแม่นมฉู่ สายพระเนตรงงงัน พระสุรเสียงเบาหวิว
“อาเยว่น้อยเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้…”
“ไทเฮาเพคะ ปีนี้เป็นปีจิงไถที่สามเพคะ” แม่นมฉู่ทูลตอบ
“จิงไถ…จิงไถคือปีอะไรหรือ?” ไทเฮาทรงสับสนมากขึ้น
“นี่ไม่ใช่ปีชิงหลงที่เจ็ดหรอกหรือ?”
“ไทเฮาเพคะ ในตอนปีชิงหลงที่ยี่สิบสี่ปีมีการเปลี่ยนชื่อแล้วเพคะ หลังจากปีชิงหลงก็ผ่านมายี่สิบปีแล้วเพคะ” แม่นมฉู่กล่าว
ไทเฮาตกตะลึงมาก
แม่นมฉู่ตกอยู่ในอารมณ์หลากหลาย ในแง่หนึ่งนางมีความสุขที่ไทเฮาฟื้นคืนสติ แต่ในอีกแง่หนึ่งนางก็เศร้าใจที่ไทเฮาสูญเสียความทรงจำไปถึงยี่สิบปี
“ยี่สิบปี…” ไทเฮาเวียนพระเศียรขึ้นมา
“ข้าสูญเสียความทรงจำไปถึงยี่สิบปีเลยหรือ…”
แม่นมฉู่เดินไปประคองพระนางให้ประทับนั่งลง ไทเฮาคว้ามือของแม่นมฉู่ไว้
“อาฉิงอยู่ไหน?”
แม่นมฉู่ไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร ไทเฮาทรงรักและโปรดปรานองค์ชายน้อยเป็นอย่างมาก พระนางทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เขา เขาจะถือของที่พระนางพระราชทานให้และออดอ้อนพระนางอยู่เสมอ
องค์ชายน้อยมีความกตัญญูมาก พระองค์มักจะเสด็จมาเฝ้าไทเฮาบ่อยครั้ง นำสิ่งของที่ประดิษฐ์ขึ้นเองมาถวายให้ ในตอนที่ไทเฮาเสียพระสติไป สิ่งเดียวที่พระนางตรัสถึงอยู่บ่อยครั้งคือองค์ชาย แต่อย่างไรก็ตามองค์ชายก็…
แม่นมฉู่รู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้
“อาฉิงเป็นอะไรไป?” สีพระพักตร์ของไทเฮาเปลี่ยนไป มือของแม่นมฉู่กำแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“พระองค์…”
“อาเยว่ บอกข้ามา” พระสุรเสียงเคร่งเครียด
ลำคอของแม่นมฉู่ฝาดเฝื่อน นางเริ่มเล่าถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ยิ่งไทเฮาได้ทรงสดับฟังมากเท่าไหร่ พระพักตร์ของพระนางยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเท่านั้น
สกุลเซียว…
สกุลเซียวสมคบคิดกับศัตรูเป็นกบฏของแคว้นต้าโจวหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร?
เป็นไปไม่ได้!
พระนางเวียนพระเศียรไม่อยากรับรู้เรื่องราวใดๆ อีก
“ไทเฮาเพคะ…” แม่นมฉู่กังวล
“พูดต่อไป!” ไทเฮาตรัส ทำให้แม่นมฉู่พูดต่อ เมื่อเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะกรรแสงออกมา หลานชายตัวน้อยของนางหายตัวไปหรือ? เมื่อนางหลับตาลงก็เห็นภาพของหลานชายที่โถมเข้ามาในพระพาหาของนางอยู่ร่ำไป เด็กน้อยแสนฉลาด เขาจะมองมาที่นางเวลามีปัญหาอยู่เสมอเพราะรู้ว่านางจะช่วยเขาได้แน่นอน
อาฉิง…อาฉิง…
ไทเฮาน้ำพระเนตรไหลออกมาโดยไม่รู้สึกพระองค์
“องค์ไทเฮา ท่านมาประทับอยู่ที่ตำหนักพุทธาวาสอยู่หลายปีแล้วเพคะ แต่พระองค์ทรงเหม่อลอยไร้พระสติอยู่ตลอดเวลาเพคะ”
เสียงของแม่นมฉู่หยุดลง นางได้ยินเสียงเคาะประตู หัวใจของแม่นมฉู่เต้นแรงขึ้น นางมองไปที่ประตูตอนนี้ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นล่วงรู้ได้ว่าไทเฮาทรงได้พระสติฟื้นคืนกลับมาแล้ว ไม่เช่นนั้นไทเฮาจะตกในอันตรายได้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
“แม่นมฉู่” เสียงร้องดังขึ้น
แม่นมฉู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้น้ำเสียงของนางเป็นปกติ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฝ่าบาทพระราชทานของบางอย่างมาให้ไทเฮา มารับไปสิ” เสียงที่ด้านนอกประตูดังขึ้น แม่นมฉู่รีบเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดออก นางเห็นบ่าวรับใช้หลายคนยืนอยู่ข้างนอก พวกเขาถือของต่างๆ อยู่ในมือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะส่งของมาเช่นนี้
“ข้าจะเอาเข้าไปเอง” แม่นมฉู่พูดพร้อมกับหยิบของขึ้นมา
“ข้าวของมากมาย ให้พวกเขายกเข้าไปให้เถอะ” ข้าราชบริพารพูด ก่อนจะเดินยกของเข้ามาในห้อง ในตอนนั้นเองหัวใจของนางสั่นระริก
ถ้าคนเหล่านี้เห็นว่าไทเฮาฟื้นคืนพระสติขึ้นมา…หัวใจของนางเต้นแรงมากขึ้น แต่แล้วนางเห็นไทเฮาทรงพระบรรทมอยู่บนพระแท่น หันพระขนองให้ ทำให้บ่าวรับใช้ไม่สามารถเห็นพระพักตร์ของไทเฮาได้อย่างชัดเจน
หัวใจของแม่นมฉู่จึงได้กลับมาเป็นปกติเช่นเดิม นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อบ่าวรับใช้ออกไปแล้ว แม่นมฉู่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปิดลงอย่างรวดเร็ว แม่นมฉู่หันศีรษะไปมองเห็นว่าไทเฮากำลังมองนางอยู่
“ไทเฮา..” แม่นมฉู่ชะงัก
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนเสียสติ คงจะดีกว่าหากไม่มีใครรู้” ไทเฮาตรัส
แม้ว่าไทเฮาจะพระทัยดี แต่นางอยู่รอดในวังนี้ได้ด้วยความโปรดปรานของฮ่องเต้ฮุ่ยหวู่ พระนางเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด จากคำพูดของแม่นมฉู่และความกังวลใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทำให้พระนางเลือกที่จะไม่ปิดบังอาการของตนเอาไว้
“ไทเฮาเพคะ มีคนขององค์หญิงใหญ่อยู่ข้างนอก แม้พวกเขาจะถูกเรียกว่าข้าราชบริพารแต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่เฝ้าจับตาดูเพคะ ที่ไทเฮาทรงเสียพระสติไปเช่นนั้น เป็นเพราะถูกวางยาพิษเพคะ” แม่นมฉู่กล่าว
“แต่โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากขุนนางยศสูงผู้หนึ่ง มีหมอหลวงได้สั่งจ่ายยาเพื่อรักษาพระนางเพคะ”
แม่นมฉู่ตื่นเต้นมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ โชคดีเหลือเกินที่ขุนนางผู้นั้นทำให้ไทเฮากลับมาได้แล้ว! ตอนนี้นอกจากจะสวดมนต์ให้ไทเฮาแล้วนางยังสวดมนต์ให้ชายผู้นั้นอีกด้วย
“ตัวตนของขุนนางผู้นั้นคือใครหรือ?” ไทเฮาตรัสถาม แม่นมฉู่ส่ายศีรษะ
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าเป็นเพียงผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง หมอซูจากโรงหมอหลวงเป็นคนดีมากเพคะ”
“เหตุใดองค์หญิงใหญ่จึงวางยาพิษข้า?” ไทเฮาขมวดคิ้ว มีบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดของนาง แต่นางจำไม่ได้
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งคิดมากเลยเพคะ ถ้าได้เสวยยาเรื่อยๆ จะค่อยๆ จำได้เองเพคะ” แม่นมฉู่รีบบอก พระนางจึงไม่ใส่พระทัยอีกต่อไป ไทเฮาทอดพระเนตรไปยังข้าวของที่บ่าวรับใช้นำเข้ามาให้
“ช่วงนี้ฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้างหรือ?” ไทเฮาตรัสถาม เมื่อพูดถึงฮ่องเต้ท่าทีของพระนางเย็นชาขึ้น
เมื่อตอนที่ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ ไทเฮาทรงโปรดเขามากพระนางทรงปกป้องเขาเสมอ แต่เมื่อเขาขึ้นครองราชย์นางก็รู้สึกว่าพระโอรสของนางห่างไกลออกไปทุกที ในพระทัยของนางมีความแค้นกับฮ่องเต้แต่ไม่อาจจะสืบหาต้นตอได้ หรือเป็นเพราะนางลืมไปแล้ว เหตุผลส่วนหนึ่งนางชอบอาฉิงมากเพราะอาฉิงคล้ายกับฮ่องเต้ตอนเยาว์วัย
“อาเยว่ ข้าคิดถึงอาฉิงหลานตัวน้อยของข้าจริงๆ” ไทเฮากระซิบพึมพำ
แม่นมฉู่ฟังแล้วไม่สบายใจ น่าเสียดายที่องค์ชายน้อยได้จากไปแล้ว
… ฮองเฮากับองค์ชายน้อยถูกแยกออกจากกันราวฟ้ากับดิน ชาตินี้คงจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกแล้ว
[1] แม่นมฉู่