บทที่ 557 ลงโทษหวังเซี่ยวจี
หวังเซี่ยวจีพาเด็กฝึกยามาที่ตำหนักจื้ออวิ๋นขององค์หญิงจิ้งชูแต่ก็ถูกบ่าวรับใช้ของวังห้ามไว้ หวังเซี่ยวจีหยิ่งยโสขึ้นมาทันที
“องค์หญิงจิ้งชูเรียกข้าเข้าเฝ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรมาขวางข้าไว้” องครักษ์ที่หน้าตำหนักมองเขา แต่ไม่ยอมพูดโต้ตอบทำตัวราวกับท่อนซุงก็ไม่ปาน ทั้งยังขวางไม่ให้หวังเซี่ยวจีเข้าไปอีกด้วย
เขาเดินไปที่ประตูอย่างฉุนเฉียว พยายามจะเขย่งเท้ามองเข้าไปด้านใน หวังว่าจะได้เห็นองค์หญิงเผื่อจะได้รับอนุญาตให้เข้าไป แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป หวังเซี่ยวจีไม่มีทางเลือกนอกจากจะลดน้ำเสียงให้อ่อนลง
“ไปรายงานองค์หญิงจิ้งชูทีว่าหวังเซี่ยวจีจากโรงหมอหลวงมาเข้าเฝ้า”
องครักษ์ได้ยินแบบนั้นก็ยังคงเพิกเฉยไม่สนใจ พวกเขามองผ่านหวังเซี่ยวจีไปเหมือนอากาศธาตุ เขากัดฟันด้วยความหงุดหงิด เกิดอะไรขึ้นกับองค์รักษ์พวกนี้กัน เหตุใดไม่ฟังคำสั่งองค์หญิงหรือ?
เขาไม่สามารถเข้าไปได้จึงรออยู่ที่ประตูอยู่ประมาณหนึ่งชั่วยาม องครักษ์จึงได้ปล่อยให้เขาเข้าไปด้านใน หวังเซี่ยวจีชำเลืองมองไปที่คนพวกนั้นด้วยแววตาขุ่นเคือง ราวกับจะพูดว่า
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” หวังเซี่ยวจีถูกนางกำนัลพาไปที่ตำหนักขององค์หญิง เขาเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมผ้าคลุมหน้า เขาตั้งใจจะฟ้องเรื่ององครักษ์เฝ้าประตู แต่แล้วเขาก็ได้ยินองค์หญิงเอ่ยว่า
“ท่านหมอหวัง คงรอนาน เผอิญข้าผล็อยหลับไป” ทว่าน้ำเสียงของนางสดใสมาก ไม่มีวี่แววของคล้ายคนเพิ่งตื่นเลย นางหลับหรือ?… เขาไม่มีทางเลือกนอกจากกลืนคำพูดลงไป
“ถวายพระพรพะย่ะค่ะองค์หญิง กระหม่อมรอไม่นาน”
นางยื่นข้อมือที่คลุมด้วยผ้าบางๆ ออกมา
“ท่านหมอตรวจชีพจรข้าที” หมอหวังวางมือบนนั้น
เขาจับชีพจรขององค์หญิงอย่างระมัดระวัง รู้สึกว่าชีพจรของนางคงที่ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลย แม้จะอยากบอกว่าร่างกายของนางไม่มีปัญหา แต่จู่ๆ เขาก็จำได้ว่าซูไท่หยวนกล่าวว่าองค์หญิงเคยพูดว่านางปวดศีรษะและขอให้เขาสั่งยาให้
เป็นไปได้ไหมว่าไม่ได้ตรวจ?
องค์หญิงอาจจะเชื่อใจเขาจึงเรียกไปตรวจแต่ก็ไม่หาย จึงไม่ได้เรียกตัวซูไท่หยวนอีก หวังเซี่ยวจีครุ่นคิดก่อนจะถามว่า
“องค์หญิงทรงปวดพระเศียรหรือไม่”
“เจ้าตรวจเจอหรือ?” องค์หญิงถามด้วยความไม่แน่ใจ หวังเซี่ยวจีดึงมือกลับ
“ชีพจรขององค์หญิงในจุดเฉินก่วนเต้นช้าลงเล็กน้อย องค์หญิงทรงปวดพระเศียรบ่อยไหมพะย่ะค่ะ”
“ข้าจำไม่ได้” องค์หญิงตรัสอย่างฉุนเฉียว
“องค์หญิงอย่างทรงกังวลพระทัยเลย กระหม่อมจะสั่งเทียบยาชุดใหญ่ให้พระองค์เสวยทุกวัน พระอาการปวดพระเศียรจะได้เบาลง”
หวังเซี่ยวจีเขียนใบสั่งยาที่รักษาอาการปวดหัวเรื้อรัง เป็นยามีฤทธิ์อ่อนไม่ทำร้ายร่างกาย เขาไม่ตรวจเจออาการป่วยของนางเลย เขาจึงใช้วิธีที่ปลอดภัยเช่นนี้ ไม่กี่วันต่อมาเขาก็ถูกเรียกตัวไปตรวจชีพจรขององค์หญิงจิ้งชูอีก
หวังเซี่ยวจีคิดว่ายาของเขานั้นได้ผลจริงๆ ทำให้เขารู้สึกอดรู้สึกภูมิใจไม่ได้
คนอื่นในโรงหมอไม่เข้าใจ พวกเขามาเป็นหมอก็เพื่อรักษาเชื้อพระวงศ์ไม่ใช่หรือ? แล้วการรักษาองค์หญิงจิ้งชูทำให้ดูเหนือกว่าได้อย่างไร? ไม่นานนักหวังกุ้ยเฟยก็ได้ยินเรื่องนี้ เมื่อหวังเซี่ยวจีไปเข้าเฝ้าหวังกุ้ยเฟยจึงได้ตรัสถาม
“เจ้าได้ไปตรวจชีพจรขององค์หญิงจิ้งชูในช่วงไม่กี่วันมานี้หรือ?” นางถามบราวนี่ออนไลน์
“พะย่ะค่ะ”
“แต่ก่อนไม่ใช่หัวหน้าหมอหลวงเป็นคนตรวจองค์หญิงหรือ?” กุ้ยเฟยหลากพระทัย
หวังเซี่ยวจีจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง ทักษะการแพทย์ของเขาก็เป็นที่ยอมรับ แม้เขาจะไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดเทียบได้กับฝีมือหัวหน้าหมอหลวงได้
“แต่ครั้งนี้เป็นการวินิจฉัยโดยกระหม่อมะย่ะค่ะ” หวังเซี่ยวจีกล่าว พระนางพยักหน้า
องค์หญิงจิ้งชูเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมาก หากหวังเซี่ยวจีชนะใจของนางได้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อสกุลหวัง
“รักษานางให้ดีล่ะ อย่าได้ประมาท” หวังกุ้ยเฟยกล่าว
“พะย่ะค่ะ”
โดยปกติหวังเซี่ยวจีต้องพึ่งพาอาศัยหวังกุ้ยเฟยอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานในโรงหมอหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่พระนางได้อาศัยพึ่งพาเขากลับบ้าง ทำให้เขาภูมิใจมาก
วันต่อมาหวังเซี่ยวจีไปตรวจองค์หญิงจิ้งชูตามปกติ แต่เขาเห็นองค์หญิงจิ้งชูประทับนั่ง ทอดพระเนตรมาทางเขาด้วยสีพระพักตร์ไม่สู้ดีนัก หวังเซี่ยวจีรีบทูลถาม
“องค์หญิงเกิดอะไรขึ้นหรือพะย่ะค่ะ?”
“ท่านหมอหวัง เปิ่นกงจู่ทานยาที่ท่านจัดให้แล้วอาการปวดหัวของข้าไม่ดีขึ้นเลย แต่กลับยิ่งปวดมากขึ้น” องค์หญิงจิ้งชูตรัสออกมาด้วยอย่างเย็นชา ใบหน้าของหวังเซี่ยวจีซีดลง
เป็นไปได้อย่างไร?
ใบสั่งยาที่เขาจัดให้คือยาบำรุงเท่านั้น!
อาชีพหมอหลวงเป็นงานที่อันตรายมาก หากรักษาได้ย่อมไม่มีปัญหา แต่หากรักษาไม่หายก็เสี่ยงหัวขาดได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แบบองค์หญิงจิ้งชู หากเขารักษานางไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น
หวังเซี่ยวจีตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขารีบพูดทันที
“องค์หญิง ให้หม่อมฉันตรวจชีพจร…”
“ไม่จำเป็น” องค์หญิงจิ้งชูพูดอย่างเย็นชา นางไม่เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ตัว นางรีบเรียกองครักษ์มาลากเขาออกไปโบยสิบไม้ แม้จะไม่ได้รุนแรงจนถึงกับนอนซมแต่ก็ทำให้หวังเซี่ยวจีเจ็บปวดไม่น้อย
ข่าวหวังเซี่ยวจีถูกองค์หญิงจิ้งชูทำโทษก็แพร่กระจายไปในไม่ช้า หลายคนแอบยินดี ก่อนหน้านี้ตอนที่องค์หญิงเรียกเขาเข้าเฝ้าเขาภูมิใจมาก ตั้งใจที่จะประจบองค์หญิงจิ้งชู แล้วเป็นอย่างไรเล่า? หวังเซี่ยวจีไม่กล้าเหิมเกริมอีกต่อไป
เขารู้สึกเป็นบุญคุณที่นางไม่ได้สั่งลงโทษเขาอย่างรุนแรง
แต่อย่างไรก็ตามในวันรุ่งขึ้นองค์หญิงจิ้งชูก็เรียกเขาไปตรวจพระอาการอีกครั้ง หวังเซี่ยวจีไม่รู้จุดประสงค์ขององค์หญิง เขาจับชีพจรด้วยความระมัดระวังแต่ก็ถูกองค์หญิงสั่งทำโทษอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาถูกโบยไปถึงยี่สิบไม้ เขากลับบ้านถึงกับนอนซมอยู่บนเตียง
หลังจากที่เขารักษาตัวจนหายแล้วเมื่อกลับมาที่โรงหมออีกครั้ง องค์หญิงก็เรียกตัวเขาไปที่ตำหนักจื่ออวิ๋นอีก! เมื่อได้ยินหวังเซี่ยวจีรู้สึกมึนงงอยากจะซ่อนตัวหนีหายไปทันที เขาเรียกหมอหลายคนให้ไปกับเขาแต่ไม่มีใครไปด้วยเลย คนพวกนั้นดีใจที่เห็นเขาโชคร้าย
“องค์หญิงจิ้งชูเรียกหาเจ้าไม่ใช่พวกข้า หากเจ้าไม่ไปจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพระองค์ถามหาเจ้า ข้าก็มีความผิดน่ะสิ”
หวังเซี่ยวจีต้องไปอีกครั้ง ในที่สุดก็โดนทำโทษอีก
ในตอนนั้นไม่ว่าหวังเซี่ยวจีจะทำอะไรองค์หญิงก็จะสั่งลงโทษเขาเสมอ แม้ไม่ใช่การฆ่าให้ถึงตายแต่ก็โดนโบยทุกครั้งซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน จนใบหน้าของเขาซีดเซียวราวกับคนใกล้ตาย เขาไม่กล้าไปที่โรงหมอหลวงอีกต่อไป
ต่อมาเขาจึงได้หาข้ออ้างเพื่อลาออกจากตำแหน่งหมอหลวงกลับไปอยู่บ้านด้วยความสิ้นหวัง
หลังจากไม่มีหวังเซี่ยวจีแล้ว หมอในโรงหมอหลวงต่างพากันมีความสุขเป็นอย่างมาก ไม่มีใครมาคอยสร้างปัญหาให้ซูไท่หยวนอีกต่อไป
ซูไท่หยวนสั่งยาใหม่ให้ไทเฮา หลังจากที่นางเสวยยาไปเรื่อยๆ พิษในพระวรกายของนางก็ลดลง ทั้งพระสติก็เริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามความทรงจำยี่สิบปีที่ผ่านมากลับไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ทำให้ซูไท่หยวนแปลกใจเล็กน้อย คงมีเหตุผลที่ว่าเหตใดพิษจางลงมากแล้วแต่ความทรงจำยังไม่กลับมา เป็นไปได้ว่าในช่วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมาความทรงจำที่หายไปคือสิ่งที่พระนางอยากจะลืมเลือน
….
คืนนั้น
“ฝ่าบาท! ท่านเข้าใจผิดแล้ว!!”
“ฝ่าบาท! กระหม่อมไม่ได้ร่วมมือกับศัตรู!”
ชายที่อยู่ข้างหน้าสวมชุดเกราะถือง้าวไว้ในมือ ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เดินเข้ามาหาเขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ฮ่องเต้โจวลืมตาขึ้นหอบหายใจอย่างรุนแรง ดวงตาเบิกกว้างจนลูกตาแทบจะถลนออกมา
ขันทีที่เฝ้ากระตูรีบเดินเข้ามาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรหรือไม่พะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของเต๋อชุนที่ยืนรออยู่ข้างพระแท่นบรรทม ฮ่องเต้ค่อยสงบพระทัยลงได้
ความฝัน! เป็นแค่ความฝันเท่านั้น ! หลายปีก่อนเขาก็ฝันแบบนี้ นอกจากนี้เขายังเคยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเมื่อตอนยังเล็ก จึงทำให้เขามีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงก่อนที่ทุเลาลง
ยาของหมอเทวดาช่วยเขาได้ แต่ดูเหมือนว่าฤทธิ์ของยาจะอ่อนลง เขาถึงได้หวนกลับมาฝันถึงภาพนองเลือดติดตาเช่นนั้นอีกครั้ง
“เต๋อชุนเอายามาให้ข้าที” ฮ่องเต้โจวตรัส
เต๋อชุนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงจะได้เห็น สีพระพักตร์ของฮ่องเต้โจวที่ซีดเผือด แม้แต่พระโอษฐ์ก็สั่นสะท้าน ราวกับเห็นภูติผี
“พะย่ะค่ะ”
เต๋อชุนไปเตรียมยามาถวาย ฮ่องเต้โจวรับไปเสวยพระอาการจึงค่อยสงบลง
“องค์หญิงใหญ่ประทับอยู่ในวังหลวงหรือไม่?” ฮ่องเต้โจวถาม
“พะย่ะค่ะ”
“ให้นางมาพบข้าที” ฮ่องเต้โจวตรัส