บทที่ 581 การตั้งชื่อทารกทั้งสอง
ในพระราชวัง
ไร้ซึ่งแสงตะเกียงและแสงเทียน มองเห็นร่างหนึ่งเลือนรางยืนโดดเดี่ยวอยู่ที่หน้าเตียงท่ามกลางความมืด
“ฝ่าบาทต้องการจุดตะเกียงหรือไม่ พะย่ะค่ะ” เสียงของเต๋อชุนดังขึ้นมาจากข้างนอก ฮ่องเต้ผงกพระเศียร
เต๋อซุนเข้ามาอย่างเงียบๆ เขาจุดเทียน
ภายใต้แสงเทียน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ซีดเผือด นับตั้งแต่กบฏองค์หญิงใหญ่ ฝ่าบาทไม่เคยได้บรรทมเลย ผ่านไปสองเดือนแล้ว พระเกษาขาวโพลน ทว่าเขายังไม่อยากยอมรับว่าเขาชราภาพลง แม้แต่พละกำลังก็ถดถอยลงไปทุกที
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ เขายิ่งรู้สึกปวดหัว มือสั่นขึ้นมาจนควบคุมไม่ได้
“ยา…”
“ฝ่าบาท…พระองค์เสวยยาไปแล้วเมื่อช่วงบ่าย หมอเทวดากำชับไว้ให้ท่านเสวยแค่เพียงวันละครั้งเท่านั้นพะย่ะค่ะ”
เต๋อชุนทูลเตือน
ฮ่องเต้สูดพระปัสสาสะเข้าลึก พยายามระงับความอยากยาในร่างกายของตน
“ฝ่าบาท เสวยน้ำเถิดพะย่ะค่ะ” เต๋อชุนว่าแล้วก็รินน้ำถวาย ฮ่องเต้ถือถ้วยชาไว้ในพระหัตถ์ เขาดื่มน้ำไปแก้วหนึ่งแล้วจึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้
ในช่วงนี้เขาได้กวาดล้างมณฑลวั่งเซี่ยนลงอย่างราบคาบ ตัดปีกองค์หญิงใหญ่ออกทีละปีก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขายังตัดสินใจไม่ได้ นั่นคือการลงโทษองค์หญิงใหญ่ ความผิดฐานกบฎย่อมได้รับการลงโทษ แต่เมื่อเขาหลับตาลง ก็นึกถึงยามที่นางพุ่งเข้าชนเสา หน้าผากเป็นรู เลือดออกมากมาย นางเกือบตาย
สุดท้ายแล้วเขาทนไม่ได้ที่จะฆ่าพี่สาวของตนเอง….
“ข้าต้องการร่างโองการ”
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเตรียม”
วันถัดมา
ตามพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่ถูกถอดพระอิสริยยศ และถูกยึดที่ดินศักดินาคืนทั้งหมด นางถูกปลดเป็นสามัญชนและกำหนดให้ส่งไปเฝ้าสุสานหลวงตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของนางเป็นการชดใช้
……….
เว่ยฉิงยุ่งวุ่นวายอยู่เกือบสองเดือน เขากลับจวนแค่เพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นหนึ่งเดือนต่อมาเขาจึงเป็นอิสระและกลับจวนได้ เขาควบม้าวิ่งผ่านตรอกซอกซอยและถนนใหญ่ โดยหวังว่าจะได้เห็นลูกและภรรยาของเขาในให้เร็วขึ้น เขาขี่ม้าเลี้ยวลดไปในเส้นทางลัด ลงแส้ที่สะโพกม้าไม่หยุด จนกระทั่งถึงจวนอู่โหว จึงลงจากหลังม้า โยนบังเหียนให้คนเฝ้าประตูที่มารอรับ จากนั้นจึงรีบเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปข้างในเรือน
ร่างกายเขาสกปรก แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังเต็มไปด้วยฝุ่น หนวดเคราเลอะเทอะ แม้แต่เว่ยฉิงยังได้กลิ่นเหงื่อจากเสื้อผ้าของตนเอง เขาระงับความตื่นเต้น อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า โกนหนวดเครา จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเป็นอย่างดี แล้วจึงเดินไปยังห้องนอน
เว่ยฉิงยืนอยู่ด้านนอกห้องนอน ประตูไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ เขาเปิดประตูอย่างแผ่วเบา ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงมองมาที่เขาเช่นกัน ถังหลี่กะพริบตามองเว่ยฉิง ในช่วงนี้เว่ยฉิงยุ่งมาก นางจึงได้แต่พักผ่อนอย่างสงบเพราะรู้ว่าที่ข้างนอกนั่นเกิดเรื่องที่สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง แต่เมื่อเห็นสามีของนางที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งรับมันได้เป็นอย่างดี นางมองเขาด้วยรอยยิ้มบนหน้า แทบไม่กะพริบตา น้ำหนักเขาลดลงอีกแล้ว ใต้รอบตามีรอยคล้ำเป็นสีฟ้าจางๆ ถังหลี่เห็นแล้วยิ่งรู้สึกทุกข์มาก
เว่ยฉิงเดินเข้าหาภรรยา เขาก้มลงจูบที่หน้าผากของนาง เป็นสัมผัสที่นุ่มนวลจนยากที่เขาอยากจะปล่อยมือได้ เขาจุมพิตที่ขนตา จมูก แม้กระทั่งริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะอยากจูบให้ลึกล้ำมากไปกว่านี้
ในตอนนั้นเองที่ถังหลี่ผลักเขาออก
“ลูกยังอยู่ที่นี่…”
ถังหลี่หน้าแดงเอ่ยขึ้น
เว่ยฉิงจึงได้รามือ เขาหันหน้าไปเห็นทารกอ้วนสองคนนอนอยู่ข้างๆ ภรรยา จ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตทั้งสี่คู่ แววตาใสกระจ่าง เว่ยฉิงที่หนังหน้าหนาเอ่ยปากว่า
“เด็กน้อย พ่อกลับมาแล้ว” เว่ยฉิงมองพวกเขาด้วยความรัก ทั้งสองคนมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งมองเว่ยฉิงพร้อมกะพริบตาถี่ๆ ยื่นมือน้อยๆ ไปหาเขา ส่วนอีกคนหนึ่งพยายามใช้พลังสุดตัวหันไปหาถังหลี่ เขาพลิกตัวด้วยก้นน้อยๆ ของเขา ปากเบะออก แต่ไม่อาจพลิกตัวได้ เว่ยฉิงอุ้มทารกน้อยที่กะพริบตามองดูเขา ทารกตัวเล็กมาก ใหญ่กว่าฝ่ามือของเว่ยฉิงเล็กน้อย ตัวของเขานุ่มราวกับไร้กระดูก เว่ยฉิงอุ้มอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าทารกจะเจ็บ เด็กน้อยดูมีชีวิตชีวามาก เขาเอื้อมมือไปบีบจมูกของบิดาด้วยมือเล็กๆ ของเขา
“คนนี้เป็นน้องสาว” ถังหลี่มองทารกที่ดูมีชีวิตชีวาในอ้อมแขนของเว่ยฉิง จากนั้นจึงได้ตบเบาๆ ที่ก้นของทารกที่พยายามพลิกตัวอยู่ข้างๆ ตน
“คนนี้เป็นพี่ชาย เขาขี้อายกว่า” เด็กน้อยสะกิดใบหน้าของเว่ยฉิง เขาไม่ละเลยที่จะทำเช่นเดียว เขาใช้นิ้วแหย่ที่ใบหน้าอ้วนของคนตัวเล็ก เด็กน้อยคิดว่าบิดาเล่นด้วย นางหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
เจ้าแหย่ข้า ข้าแหย่เจ้า ตัวใหญ่ตัวเล็กหยอกเย้ากันไปมา
ถังหลี่ “……………..”
นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าสามีอายุแค่สามขวบ เด็กที่พยายามพลิกตัวหนีตอนแรก ตอนนี้พยายามพลิกตัวอีกครั้ง เขามองเว่ยฉิงราวกับสนใจจะเล่นด้วย
ถังหลี่อุ้มเด็กน้อยขึ้นมา เอานิ้วแหย่ที่ใบหน้าจิ้มลิ้มของเขา เจ้าตัวเล็กมองนางอย่างงุนงง
“มู่เป่าเปา เจ้าเด็กโง่” เว่ยฉิงหัวเราะเยาะเขา ก่อนที่เด็กน้อยจะเกิด เว่ยฉิงได้คิดเลือกชื่อมากมายหากเป็นเด็กผู้ชายก็ให้ชื่อว่า เว่ยซื่อมู่หากเป็นผู้หญิงก็ให้ชื่อว่าเว่ยถัง
เว่ยซื่อมู เขาอยากให้เด็กน้อยได้รับพลังจากดวงอาทิตย์และเติบโตอย่างมีความสุข ส่วนเว่ยถัง สาวน้อยที่น่ารักเติบโตราวกับอยู่ในไหน้ำผึ้ง ทั้งสองชื่่อเป็นชื่อที่มีความหมายเรียบง่ายไม่ได้แฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งกินใจแต่อย่างใด เป็นแค่คำอวยพรและความปรารถนาจากบิดาที่หยาบกระด้างของพวกเขาเท่านั้นเอง
ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิงเขาจึงไม่คิดว่าตนเองจะได้ใช้ทั้งสองชื่อนี้
เว่ยฉิงเล่นกับเว่ยถังอยู่สักพัก เจ้าตัวเล็กก็ง่วงนอน เขาหาว จากนั้นจึงได้คลานไปหาถังหลี่ที่ข้างกายแล้วนอนหลับไปอย่างว่าง่าย เว่ยฉิงตกตะลึง
“ภรรยา เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่? เว่ยถังออกจะฉลาดเกินเด็กไปสักหน่อย”
ทารกคนอื่นอายุแค่สองเดือน ทำได้แต่เพียงร้องไห้ ดื่มนมแล้วหลับเท่านั้น พวกเขาจะพลิกตัวได้อย่างไร แต่ถังหลี่กลับเจอพฤติกรรมเช่นนี้นานแล้ว เด็กทั้งสองเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง เป็นเด็กของเผ่าพันธุ์ปลาหลี่ เมื่อแรกเกิดพวกเขาจะมีการพัฒนาความเฉลียวฉลาดทางจิตวิญญาณ ไอคิวของพวกเขาจะเหมือนเด็กเจ็ดหรือแปดขวบ แม้แต่สมรรถนะทางร่างกายก็เหนือกว่าเด็กธรรมดาๆ ทั่วไป
เด็กน้อยจึงมีลักษณะคล้ายกับเด็กธรรมดาและเผ่าพันธ์ปลาหลี่ผสมผสานกัน แม้ว่าจะมีอายุเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น หากทว่าสามารถกลับพลิกตัวได้เหมือนกับเด็กน้อยสามสี่เดือน หรือแม้กระทั่งปฏิกิริยาทางอารมณ์ พวกเขารู้จักที่จะเขินอาย มีความสุขและความกลัวได้แล้ว
“ถ้าบิดามารดาฉลาดลูกก็จะฉลาดไปด้วย” ถังหลี่ย้ำ
เว่ยฉิงคิดว่าสมเหตุสมผลดี “ข้าค่อนข้างฉลาดนะ” ถังหลี่ทนไม่ได้ต้องพูดความจริงกับเขา
เว่ยฉิงรู้สึกผิดเขาโน้มตัวไปหาภรรยาแล้วพูดว่า
“ภรรยาข้าฉลาดแปดส่วน ข้าฉลาดสองส่วน ดีไหม?” ถังหลี่พยักหน้า เว่ยฉิงดีใจที่นางชมเชยเขา
ถังเป่าเปาหลับไปแล้ว ในขณะที่มู่เป่าเปายังกะพริบตาแอบเฝ้าดูเขาอย่างลับๆ เว่ยฉิงกอดเด็กน้อยไว้ในวงแขน ใบหน้าเขาแดงขึ้นทันที ร่างเล็กหดลงตัวแข็งทื่อ
“ข้าเป็นบิดาของเจ้า ไม่มีอะไรจะต้องกลัวรู้ไหม?” เว่ยฉิงบีบจมูกน้อยๆ ของเขา จากนั้นเขาจึงได้หาทางแกล้งเด็กตัวน้อยคนนี้่ต่างๆ นานา