บทที่ 588 ความคิดของตันเหนียง
วันส่งท้ายปีเก่า
ณ จวนอู่โหว
ทั้งครอบครัวร่วมกันทานอาหารเย็นร่วมกัน ผู้ใหญ่ในครอบครัวพากันแจกอั่งเปาให้เด็กๆ ซานเป่าเก็บอั่งเปาปึกใหญ่ไว้กับตัว จากนั้นจึงได้นำอั่งเปาเล็กๆ น่ารักสองซองออกมาจากแขนเสื้อของตน มอบให้เด็กทารกแฝด เด็กน้อยมีใบหน้าแดงก่ำ ตากลมโตเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซานเป่าบีบแก้มของถังเป่าเปา แล้วจึงยื่นมือไปบีบใบหน้าของมู่เป่าเปา ซานเป่าบีบเบาๆ ช่างอ้วนน่ารักเหลือเกิน
หลังจากได้แกล้งน้องชายของนางแล้ว ซานเป่าก็หันไปมองรอบๆ ไม่ช้าก็เห็นอาจารย์ของนางกำลังยืนพิงต้นไม้ยกจอกสุราด้วยท่วงท่าสบายๆ ดูโอ่อ่า ใบหน้าที่หล่อเหลาของอาจารย์ปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ดูแล้วยิ่งทำให้งดงามมากขึ้น นางเดินไปหาเข้า ดึงแขนเสื้อ
“อาจารย์..” ตู้เย่ก้มลงมองซานเป่า ดวงตาเขาจดจ่อ ซานเป่ายื่นอั่งเปาให้เขา “อาจารย์ข้าขอแสดงความนับถือท่าน”
ตู้เย่ไม่เกรงใจ เขาคว้าไปจากมือของนาง
“อาจารย์ ท่านมีรางวัลให้กับข้าที่มีความประพฤติดีและเชื่อฟังไหมเจ้าคะ?” ซานเป่าเอียงคอถาม
“เจ้าจะได้รับรางวัลเป็นการฝึกฝนเพิ่มขึ้นครึ่งชั่วยามทุกคืน ” ดวงตาของซานเป่าเบิกกว้างเมื่อได้ยิน นางมองไปที่ตู่เย่ แก้มของนางพองออก นี่เป็นรางวัลแบบไหนกัน!
ตู้เย่เอานิ้วจิ้มที่แก้มซานเป่า เขายิ้ม
“ข้าโกหกเจ้า!”
ซานเป่า “…………” อาจารย์นิสัยไม่ดี
“ก็ได้ อาจารย์จะให้ หากเจ้าให้สัญญา เจ้าอยากได้ไหม?” ซานเป่าพยักหน้า
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าหรือวางเพลิงผู้ใดได้ เข้าใจไหม?”
ลูกตาของซานเป่ากลิ้งกลอกไปมา นางไม่ได้อยากฆ่าหรือวางเพลิงใคร ซานเป่าต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังอาหารค่ำ วันส่งท้ายปีเก่า เว่ยฉิงหาเด็กๆ สองสามคนไปเล่น สิ่งที่อยู่ในมือของเขาเมื่อจุดไฟแล้วเป็นเหมือนดอกไม้ไฟเหมือนในยุคที่ถังหลี่จากมา
สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งถือเอาไว้ในมือคนละอัน พวกเขาดูร่าเริงสมกับวัย ไม่ได้ดูเคร่งขรึมจริงจังเหมือนยามปกติ แสงจากไฟสะท้อนให้เห็นความสุขบนใบหน้าของพวกเขา เว่ยจื่ออี้และซานเป่าก็ร่วมเล่นสนุกตามไปด้วย
หลังจากเล่นไปสักพักเว่ยฉิงก็วิ่งไปหาถังหลี่ นางเห็นสามีเหงื่อออกมาก จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เว่ยฉิงก้มหัวให้นางเช็ดเหงื่อที่ศีรษะให้เขา หลังจากเช็ดเหงื่อให้เขาแล้วถังหลี่กำลังถอนมือออก แต่เว่ยฉิงเข้ามาใกล้ เอาหัวถูกับฝ่ามือของภรรยา
“ส่งมือมา” เว่ยฉิงส่งมือใหญ่ของเขาให้ถังหลี่ เขาเพิ่งเล่นดอกไม้ไฟมา มือจึงเลอะเปื้อนสกปรก ถังหลี่เช็ดมือให้เขา เมื่อเห็นภรรยาเช็ดมือให้ตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ เว่ยฉิงรู้สึกคันยุบยิบขึ้นในใจของตน เขาโน้มตัวขโมยจูบนางที่ริมฝีปาก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมอง เว่ยฉิงจึงใจกล้าจูบภรรยาอย่างดูดดื่มลึกซึ้งมากขึ้นอีก หลังจากเขาจูบนางแล้ว หญิงสาวยังคงเช็ดมือให้เขาต่อจนเสร็จ นางเก็บผ้าเช็ดหน้า
“ภรรยา ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง” ในวันธรรมดาเว่ยฉิงยุ่งมาก และภรรยาของเขาก็ต้องเลี้ยงเด็กทารกทั้งสองคนตลอดทั้งวัน เวลาที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันจึงน้อยมาก หาโอกาสที่จะอยู่กันสองต่อสองเช่นนี้ได้ยาก ในช่วงวันปีใหม่ เว่ยฉิงจึงได้คว้าโอกาสนี้เอาไว้
เขาหยิบเสื้อคลุมกอดภรรยาเอาไว้ในวงแขน กระโดดขึ้นไปบนหลังคา ถังหลี่โดนเขากอดเอาไว้ทั้งตัว นางได้ยินแต่เสียงลมพัดเท่านั้น ไม่นานนางจึงสังเกตว่าเขาได้หยุดนิ่งลง ถังหลี่จึงได้โผล่หัวออกมาดู พวกเขาอยู่บนดาดฟ้าของอาคารสูงมากแห่งหนึ่ง ล้อมรอบไปทิวทัศน์ที่สวยงาม ในจุดนี้แทบจะเห็นเมืองหลวงได้ทั้งหมด
เว่ยฉิงกอดนางไว้ในอ้อมแขน เขาสวมเสื้อคลุมให้ ปิดกั้นลมหนาวให้นาง ถังหลี่โผล่ออกมาแค่หัวเล็กๆ นางมองไปยังดวงดาวที่สว่างไสวอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนดูสวยงามจนตะลึงลาน
“สามี ดอกไม้ไฟเล็กๆ เหล่านั้นเป็นสินค้าใหม่ของหอลี่อานหรือ?” ปีที่แล้วยังไม่มีขายในช่วงตรุษจีน แต่มีขายในปีนี้ ปัจจุบันหอลี่อานเป็นห้างร้านที่ลึกลับและทรงอำนาจมีธุรกิจทั้งในแคว้นโจว แคว้นฉีและแคว้นฉู่ ห้างร้านของพี่ไป๋ของนางในตอนนี้ก็เติบโตเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวงแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับห้างยักษ์ใหญ่อย่างลี่อาน ดอกไม้ไฟเกือบทั้งหมดมาจากห้างลี่อานนี้เอง
ปัจจุบันเทคโนโลยีหลักของห้างลี่อานคือดินปืน ว่ากันว่าสามารถที่จะพัฒนาผลิตอาวุธปืนอย่างเช่นปืนใหญ่และปืนคาบศิลาได้ ถ้าทำได้จริงธุรกิจนี้จะทำกำไรอย่างมากมายมหาศาล อย่างไรก็ดีห้างลี่อานไม่ได้ทำแต่ดอกไม้ไฟและประทัดเท่านั้น
เว่ยฉิงพยักหน้า
“ไม่กี่วันก่อนฮ่องเต้เรียกข้าเข้าเฝ้า ฝ่าบาทต้องการจัดตั้งแผนกอาวุธปืนขึ้นมา” ปืนมีอานุภาพที่ร้ายแรงมากกว่าหน้าไม้หลายเท่า ปัจจุบันในโลกนี้แบ่งเป็นสามแคว้น ได้แก่ ต้าโจว แคว้นฉีและแคว้นฉู่ แคว้นฉู่นั้นอ่อนแอกว่า แต่ถ้าหากแคว้นไหนได้ครอบครองอาวุธปืนแล้ว แคว้นนั้นจะมีความเข้มแข็งมากขึ้น สถานการณ์ในโลกนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน
“นี่ไม่ใช่งานของกระทรวงกลาโหมหรือ?” ถังหลี่ถาม
“กระทรวงกลาโหมไม่สามารถเชิญคนจากตระกูลเหยียนมาเจรจาด้วยได้” หัวหน้าของห้างร้านลี่อานเป็นคนของตระกูลเหยียน มีเพียงคนตระกูลเหยียนเท่านั้นที่เชี่ยวชาญในการทำอาวุธปืน หากมีแผนกอาวุธปืนแต่ไม่สามารถผลิตอาวุธปืนได้ก็นับว่าไร้ประโยชชน์
“ฝ่าบาทคิดว่าท่านทำได้หรือ?” ถังหลี่ถามตรงๆ
เว่ยฉิงหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็ต้องดูกันไป” ตอนนี้โลกถูกแบ่งเป็นสามส่วนเช่นนี้ หากมีการเผชิญหน้ากันทำสงครามขึ้นมา และถ้าแคว้นใดสามารถครองครองปืนได้ โลกนี้จะเกิดข้อพิพาทและเกิดศึกสงครามขึ้นได้ อาจเป็นเพราะเหตุนี้ตระกูลเหยียนจึงไม่ได้ให้คำแนะนำในการผลิตอาวุธปืน และไม่ได้ทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธปืน
แม้จะมีการกล่าวเอาไว้ว่าโลกนี้ถูกแบ่งเป็นสามแคว้น และในระยะยาวคงจะต้องมีการรวมเป็นหนึ่งเดียว ผู้คนยังต้องใช้ชีวิตและต้องการความสงบสุข จึงไม่จำเป็นต้องทำสงครามเพื่อรวมความเป็นหนึ่งเดียว การที่เว่ยฉิงเข้าสู่ราชสำนัก เขาแค่ต้องการแก้แค้นให้กับสกุลเซียวเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อที่จะทำให้ต้าโจวรวบรวมแคว้นต่างๆ เป็นปึกแผ่น เขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานถึงเพียงนั้น
“ภรรยา อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลย เรามาพูดถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขกันก่อนดีกว่า” เว่ยฉิงโอบนางไว้ในวงแขน เขาโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูบอกคำรักหวานกับนาง
เวลาผ่านไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทันใดนั้นมีเสียงระฆังดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ เมืองหลวงที่เคยเงียบสงบก็พลันมีชีวิตชีวา เสียงของประทัดดังรัวขึ้น ดอกไม้ไฟทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าจากนั้นจึงได้แตกกระจายกลายเป็นสายฝนตกลงมาสู่พื้น ปีใหม่มาถึงแล้ว
เว่ยฉิงกอดคนในอ้อมแขนกระชับแน่นขึ้น ริมฝีปากของเขากดกระซิบเข้าที่ใบหู ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและมีเสน่ห์
“ถังเสี่ยวหลี่ของข้า อายุมากขึ้นอีกปีแล้ว” ถังหลี่หันหน้าไปมองสามีของนาง เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขา ดวงตาคู่นั้นราวกับบ่อน้ำใสเย็น มองตรงมาที่นางอย่างอ่อนโยน
“สามี สวัสดีปีใหม่” ขอให้เป็นเช่นนี้ทุกปี ขอให้นางได้เข้าสู่ปีใหม่พร้อมกับสามีเช่นนี้ทุกปี ถังหลี่พิงหน้าอกของเขา เหลือบตามองประกายของดอกไม้ไฟ เมื่อปีใหม่ผ่านไป เด็กๆ จะอายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งจะอายุสิบห้าปีแล้ว ในยุคสมัยนี้อายุสิบห้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อาจจะแต่งงานและมีลูกได้แล้วด้วยซ้ำ
ถ้าหากพวกเขาแต่งงานและให้กำเนิดบุตร นางจะไม่กลายเป็นท่านย่าหรอกหรือ? กลายเป็นท่านย่าตอนอายุยี่สิบสาม!
ถังหลี่รู้สึกว่านางจะกลายเป็นท่านย่าที่มีอายุน้อยที่สุดในแคว้นต้าโจวเลยทีเดียว
“ภรรยา เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ?”
“สามี หากสวี่เจวี๋ยและจื่ออั๋งแต่งงานและมีลูก ท่านจะกลายเป็นท่านปู่”
อายุยังน้อยแต่มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เมื่อนึกถึงภาพเว่ยฉิงถูกบรรดาฝูงเด็กทารกวิ่งไล่ล่าพร้อมกับตะโกนเรียกท่านปู่ๆ ถังหลี่ยิ้มออกมาอย่างลึกลับ เว่ยฉิงเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อจินตนาการถึงภาพนั้น
“ภรรยา หากถึงยามนั้นเราจะหาที่อยู่ด้วยกันเงียบๆ เถอะนะ” แม้ยามนี้เขาจะได้อยู่กับภรรยาทุกๆ วัน แต่เว่ยฉิงก็ยังรู้สึกว่าวันเวลาในหมู่บ้านลี่เจียนั้นเป็นช่วงที่เขามีความสุขที่สุด เขาทำงานตอนพระอาทิตย์ขึ้น และพักผ่อนยามพระอาทิตย์ตกดิน เขากอดภรรยาได้ทุกๆ วันโดยไม่มีความกังวลใจใดๆ
“เอาล่ะ เมื่อทุกอย่างจบลง เราจะกลับไปยังหมู่บ้านลี่เจียกัน พืชสมุนไพรของหมู่บ้านลี่เจียน่าจะปลูกจนได้ผลผลิตที่ดีมากแล้ว ตอนนั้นหมู่บ้านลี่เจียคงจะเป็นหมู่บ้านที่ร่ำรวยที่สุดในช่วงสิบลี้แปดตำบล
…
หลังจากวันปีใหม่ จวนอู่โหวได้ต้อนรับแขกเหรื่อเป็นจำนวนมาก สกุลกู้ สกุลไป๋ และสกุลฮั่ว ได้มาเยี่ยมที่จวนพร้อมๆ กัน ถังหลี่พาเด็กๆ กลับไปยังจวนสกุลกู้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่บิดาและพี่รองของนางยังอยู่ชายแดนและยังไม่ได้กลับมา ปีนี้พวกเขาจึงไม่ได้มีการรวมญาติ แต่พวกเขาได้รับจดหมายจากบิดาและพี่รองปึกใหญ่ว่าได้รับชัยชนะแล้ว
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่วัน สมาคมหอการค้าในเมืองหลวงได้จัดงานเลี้ยงรับรองพ่อค้าและบรรดานักธุรกิจมากมาย นายท่านจางมองไป๋มู่หยางที่ล้อมรอบไปด้วยดวงดาว แม้ใบหน้าไม่ได้แสดงออก แต่ภายในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความริษยา หลังจากงานเลี้ยง นายท่านจางกลับบ้านเดินเข้าไปในลานบ้าน เขาได้กลิ่นสุราโชยมา
นายท่านจางผลักประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ เห็นบุตรชายคนที่สามของเขากำลังดื่มสุราโดยมีสาวใช้หน้าตาสวยงามอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขา สาวใช้คนหนึ่งกำลังพัดวี ส่วนอีกคนก็กดนวดที่ขาให้เขา
เห็นแล้วนายท่านจางยิ่งหงุดหงิด เขาขมวดคิ้ว เขารู้นิสัยของบุตรชายคนนี้ดี ยามอยู่ในบ้าน เขาจะประพฤติตัวเช่นนี้ แต่หากอยู่นอกบ้านเขายังรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ได้ ชื่อเสียงที่นอกบ้านของบุตรชายจึงไม่ได้มัวหมอง
“พวกเจ้าออกไปก่อน” นายท่านจางพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก สาวใช้ทั้งหมดจึงถอยออกไป จางไฉ่รีบทำท่าสำรวมขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปหาแม่นางตันที่หอจื้ออวิ๋น?” นายท่านจางถาม
“ท่านพ่อ ท่านไม่ได้พูดกับข้าหรอกหรือว่าสถานะของแม่นางตันไม่ดีพอสำหรับข้า ท่านเป็นคนบอกเองว่า หากนางจะเข้ามาสกุลจางได้ก็คงเป็นได้แค่อนุฯ เท่านั้น ตันเหนียงเย่อหยิ่งจองหองถึงเพียงนั้น นางจะยอมเป็นแค่อนุฯได้อย่างไร?”
เขาตกหลุมรักตันเหนียงแต่แรกเห็น เขาชอบนาง จึงมักไปมาหาสู่มอบข้าวของต่างๆ เพื่อเอาใจนางอย่างสม่ำเสมอ วันปีใหม่ที่ผ่านมา เขายังรีบไปหาแต่กลับไม่เห็นแม้แต่หน้าสาวที่ตนเองพึงพอใจ ซ้ำกลับมาบ้านยังเจอบิดาดุด่าว่าจะให้นางมีสถานะเป็นเพียงแค่นางบำเรอเท่านั้น ความกระตือรือร้นของเขาจึงได้หายไปทันใด
“ไฉ่เอ๋อ หากเจ้าชอบก็แต่งนางเข้าเรือนเป็นภรรยาเอกไปก็ย่อมได้” นายท่านจางเอ่ยขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เขาคิดแต่เพียงว่าตันเหนียงเป็นเพียงเด็กกำพร้า เพียงแต่นางมีทักษะเย็บปักถักร้อยที่ดี หากบุตรชายของเขาชอบนางจริงก็รับนางเข้ามาเป็นเพียงอนุฯ ได้เท่านั้น แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป
จางไฉ่ จ้องมองบิดา รู้สึกประหลาดใจในท่าทีของเขา
นายท่านจางจึงพูดเสริมขึ้นว่า
“ข้าได้ยินมาจากในงานเลี้ยงว่า นายท่านเซี่ยได้รับนางเป็นลูกบุญธรรม แม่นางตันได้เข้าร่วมงานปีใหม่ในจวนสกุลเซี่ยด้วย” ใต้เท้าเซี่ยรับผิดชอบดูแลขนส่งเกลือ หากบุตรชายเขาได้เป็นลูกเขยของใต้เท้าเซี่ยแล้ว ผลประโยชน์ย่อมตกอยู่กับสกุลจางของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าได้ยินมาว่าตันเหนียงชอบไป๋มู่หยาง” จางไฉ่พูดขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง
เขาไม่คิดว่าตนเองจะสู้ไป๋มู่หยางไม่ได้ แต่ตันเหนียงดื้อรั้นรับมือได้ยากมาก
เมื่อนายท่านจางได้ยินว่าตันเหนียงชอบไป๋มู่หยาง เขาเกิดอาการระแวงขึ้นมาทันที ตอนนี้สกุลจางของเขาถูกไป๋มู่หยางลิดรอนอำนาจจนการค้าถดถอยไปมาก หากไป๋มู่หยางได้แต่งงานกับบุตรสาวใต้เท้าเซี่ย สกุลจางของเขาจะไม่โดนไป๋มู่หยางบดขยี้จนแหลกลาญไปหรอกหรือ?
นายท่านจางครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดสังเกต “ไฉ่เอ๋อ ตันเหนียงกับไป๋มู่หยางรู้จักกันมานานหลายปีแล้ว หากพวกเขารักใคร่ชอบพอกันจริง พวกเขาคงแต่งงานกันไปนานแล้ว หากยังไม่แต่งก็คงไม่เป็นไปตามข่าวลือที่ว่าหรอก” นายท่านจางกระซิบกับบุตรชาย ไป๋มู่หยางและตันเหนียงอาจจะไม่มีอะไรกันก็จริง แต่คนอื่นเล่าอาจจะมีใครจับจ้องตันเหนียงอยู่เหมือนเขาก็เป็นได้ นายท่านจางครุ่นคิด
“เหตุใดไม่หาใครไปสู่ขอนางก่อนเล่า?”
จางไฉ่ได้สติขึ้นมา
“ใช่ ท่านพ่อ ถ้าเช่นนั้นลองไปสู่ขอนางดูก่อน” เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี ตันเหนียงและไป๋มู่หยางยังไม่ได้มีพันธะสัญญาอะไรกัน เขาจึงยังมีโอกาส ต้องรีบลงมือชิงความได้เปรียบก่อน