บทที่ 607 อัครเสนาบดีเซี่ยซิ่ว
ก่อนหน้าที่เว่ยฉิงและกู้หวนจิ่นจะถูกกักบริเวณที่จวนรับรองนั้น ทั้งสองเคยลอบออกไปเพื่อเดินชมรอบเมืองอี้เฉิงแต่ถูกจับได้
หลังจากนั้นเสนาบดีจึงเพิ่มเวรยามให้มากขึ้น เว่ยฉิงและกู้หวนจิ่นไร้ซึ่งทางเลือกอื่นจึงได้แต่เดินกลับมา ไม่นานก็เห็นร่างผอมบางของสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ประตู นางยืนหันหลังมองดูกระดานหมากที่ทั้งสองเพิ่งเล่นไป
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หญิงสาวผู้นั้นรีบหันกลับมามองทันที สตรีนางนี้เป็นหญิงงามอายุประมาณยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าปี ผมสีดำนุ่มนวลดุจมวลเมฆ นางมีไฝแดงที่หว่างคิ้วทำให้ใบหน้างดงามยิ่งดูเย้ายวนมากขึ้น สายตาของนางจับจ้องตรงมายังเว่ยฉิงและกู้หวนจิ่นพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม
“เริ่มกระดานต่อไปกันเลยดีหรือไม่?” คำพูดของนางราวกับคุ้นเคยกับกู้หวนจิ่นกับเว่ยฉิงเป็นอย่างดี ทว่าชายหนุ่มทั้งสองคนกลับไม่รู้จักนางเลย แต่หากสังเกตจากการแต่งกาย กิริยาท่าทางรวมไปถึงการเข้ามายังจวนรับรองแห่งนี้ได้แล้ว เห็นได้ว่าสถานะของนางย่อมไม่ธรรมดา บางทีสตรีผู้นี้อาจช่วยกู้สถานการณ์ของพวกเขาได้ …
“ตกลง” กู้หวนจิ่นพยักหน้า
หลังจากพูดจบเขาเชิญให้สตรีผู้นั้นนั่งลง โดยที่ตัวเองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวเลือกหมากดำในขณะที่กู้หวนจิ่นเลือกหมากขาว เกมหมากรุกนี้เปรียบเสมือนสนามรบ ทั้งสองต่อสู้กันอย่างไม่ลดราวาศอก ในขณะที่เล่นหมากไปสักพัก กู้หวนจิ่นก็ได้จังหวะในการถามตัวตนของอีกฝ่ายได้
“ข้าคือองค์หญิงอันหยาง ข้าเห็นพวกเจ้าที่ถนน ใช้เวลาสืบอยู่นานจึงจะรู้ว่าพวกเจ้าคือทูตที่มาจากต้าโจว”
องค์หญิงอันหยางเท้าคางด้วยมือข้างเดียว นางจ้องมองไปที่กู้หวนจิ่น
องค์หญิงอันหยาง?
เว่ยฉิงรู้ข้อมูลบางอย่างของแคว้นฉี นอกจากเสนาบดีที่มีอำนาจผู้นั้นแล้ว องค์หญิงอันหยางเองก็เป็นผู้ที่เลื่องชื่ออย่างมาก องค์หญิงผู้นี้เป็นพระเชษฐภคินีของฮ่องเต้ นางกระทำตัวไร้แก่นสารเอ้อระเหยไปวันๆ ครั้งที่ยังเป็นสาวแรกรุ่นอยู่ มีผู้คนรู้จักนางในนามของไข่มุกที่ส่องประกายแห่งต้าฉี มีผู้คนต่างหมายปองนับไม่ถ้วน
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะพระราชทานอภิเษกสมรสให้ อันหยางปฏิเสธทันที จากนั้นบุคลิกของนางก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางทำตัวไร้สาระ จนชื่อเสียงเน่าเหม็นแพร่กระจายไปทั่ว ยามที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังไม่สิ้นพระชนม์ ทรงอนุญาตให้นางมีองครักษ์หน้าตาหล่อเหลาได้ แต่หลังจากที่ฮ่องเต้น้อยได้ขึ้นครองราชย์ องค์หญิงอันหยางกระทำตัวไร้ยางอายมากขึ้น เมื่อนางเห็นบุรุษหน้าตาดี จะรีบเข้าไปหยอกเย้าด้วยอยู่เสมอ
พลันเว่ยฉิงนึกถึงวันที่พวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่อีกครั้ง วันนั้นเขาและกู้หวนจิ่นกำลังอยู่บนท้องถนน เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่เร่าร้อนของใครบางคนจับจ้องมองตนเอง เมื่อมองไปจึงเห็นเกี้ยวงดงามหลังหนึ่ง ชาวบ้านกล่าวว่าเป็นเกี้ยวจากจวนองค์หญิง
หลังจากวันนั้นนางหมายตากู้หวนจิ่น? แต่น่าเสียดายที่กู้หวนจิ่นมีคนรักอยู่แล้วมิฉะนั้นอาจจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้….แต่ในตอนนั้นเองดวงตาขององค์หญิงอันหยางกลับมองอย่างมุ่งมั่นมาที่เว่ยฉิง
“…..”
“ว่ากันว่าบุรุษในแคว้นต้าโจวล้วนเป็นผู้กล้าและมีอำนาจ ต่างจากบุรุษในแคว้นต้าฉีของเรา พวกเขาดูอ่อนแอราวกับคนใกล้ตาย อีกทั้งบางคนยังอ้อนแอ้นยิ่งกว่าสตรีเสียอีก” องค์หญิงอันหยางพึมพำ ก่อนจะกระพริบตาเบาๆ อย่างเย้ายวน
“เจ้าต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ใช่หรือไม่?”
ไม่สิ…นี่มันบ้าไปแล้ว…
ดังคำกล่าวที่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนเรือจะทิ้งพาย องค์หญิงอันหยางจะไม่มีทางช่วยเหลือพวกเขาโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
“องค์หญิง ท่านต้องการข้อแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งใดหรือ?” เว่ยฉิงถาม
องค์หญิงอันหยางหัวเราะเบาๆ
“เปิ่นกงจู่ชอบบุรุษที่ชาญฉลาด ตราบใดที่ท่านทั้งสองเต็มใจที่จะเป็นคนของข้า”
ใบหน้าของเว่ยฉิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที กู้หวนจิ่นรีบกล่าวว่า
“องค์หญิงทรงมีพระเมตตา หากข้าได้พบกับท่านก่อนหน้าคงจะมีความสุขมาก ทว่าบุรุษผู้นี้มีภรรยาและลูกๆ รออยู่ที่บ้าน ส่วนตัวข้าเองก็มีคนรักอยู่แล้ว…ข้าคิดว่าไม่เป็นการยุติธรรมต่อองค์หญิงเลย”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ต้องการหัวใจของพวกเจ้า ข้าแค่ต้องการร่างกายของพวกเจ้าเท่านั้น หากข้าเบื่อหน่ายเจ้าวันใด เจ้าย่อมกลับไปได้ ถ้าหากพวกเจ้ายอมตกลงเปิ่นกงจูจะพาพวกเจ้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เอง” องค์หญิงอันหยางมีทีท่าจริงจัง นางหย่อนเหยื่อลงมารอให้พวกเขาตะครุบ ทว่ากลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ จากผู้ชายทั้งสอง นางหรี่ตาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทำไมเล่า? พวกเจ้าไม่รับข้อเสนอของข้าหรือ?” รอยแย้มสรวลและท่าทางเมตตากรุณาก่อนหน้านั้นค่อยเลือนหายไป สถานะของทั้งสองคนในต้าฉีล้วนไม่ดีอยู่แล้ว หากพวกเขาขัดพระทัยองค์หญิงแห่งต้าฉีขึ้นมา…
กู้หวนจิ่นเลียริมฝีปากล่างของตัวเอง หากคนที่รู้จักเขาดี จะรู้ว่าตอนนี้เขากำลังครุ่นคิดหากลอุบายอยู่ กู้หวนจิ่นเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มราวกับว่าจนใจ
“องค์หญิง..ไม่ใช่เพราะพวกเราไม่ต้องการ แต่เพราะพวกเราทำไม่ได้ต่างหาก”
เมื่อกู้หวนจิ่นพูดจบ เขามุดตัวเข้าไปในอยู่อ้อมแขนของเว่ยฉิงด้วยท่าทางเขินอาย เขาเคาะหน้าอกของเว่ยฉิงอย่างมีจริต
“สามี ท่านคิดเช่นข้าหรือไม่?”
เว่ยฉิง: “…”
เขาขนหัวลุกไปหมดแล้ว แทบจะกระชากพี่เขยของเขาโยนออกไปไกลๆ แต่เขารู้เจตนาของกู้หวนจิ่นดี ทั้งยังเห็นสายพระเนตรที่กร้าวแกร่งมุ่งมั่นขององค์หญิงอันหยางนั่นอีก
เว่ยฉิงได้แต่กล้ำกลืนความคลื่นเหียนลงท้อง ฝืนเอื้อมมือไปลูบศีรษะของกู้หวนจิ่นอย่างรักใคร่ จากนั้นจึงได้มององค์หญิงอันหยางอย่างจนปัญญา
องค์หญิงอันหยางมองดูชายสองคนที่มีท่าทีสนิทสนมกัน สีพระพักตร์ของนางแปรเปลี่ยนไป หรือว่าเรื่องที่บอกมีภรรยา ลูกๆ รวมถึงคนรักล้วนเป็นเรื่องโกหก? แท้จริงแล้วเป็นพวกเขาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน
ในบรรดาบุรุษที่มีชื่อเสียงของต้าฉีมีเพียงไม่กี่คนที่น่าชื่นชอบ บางคนชอบพูดจาโม้โอ้อวด ทั้งยังไม่นิยมชมชอบสตรีแต่ชอบบุรุษเพศด้วยกันเอง
องค์หญิงอันหยางรู้สึกเสียดายบุรุษหน้าตาท่าทางดีทั้งสองคนนี้ นางมาเยือนเพราะความชื่นชอบเหล่าไม้งามเท่านั้น ในเมื่อไร้ซึ่งหนทางที่จะได้ครอบครอง นางจึงปราศจากความสนใจ ในที่สุดจึงได้จากไป
ทันทีที่นางจากไปแล้วทั้งเว่ยฉิงและกู้หวนจิ่นรีบผละออกจากกัน พวกเขามองหน้ากันอย่างรังเกียจ ข้อเสนอขององค์หญิงอันหยางเป็นทางเลือกที่ดีแต่น่าเสียดายที่รับไว้ไม่ได้
ทั้งคู่ไม่อาจนิ่งนอนใจรอให้ความตายมาเยือน จึงพากันเดินไปที่หน้าประตูเพื่อต่อรองกับยาม
“ข้าต้องการพบท่านอัครเสนาบดี มีเรื่องสำคัญจะแจ้งแก่เขา ได้โปรดส่งข่าวของข้าให้เขาที” กู้หวนจิ่นพูดพร้อมกับยัดถุงเงินใบใหญ่ใส่มือของยามผู้นั้น
พวกเขาไม่สามารถพบกับฮ่องเต้ของต้าฉีได้ จึงอยากจะลองพบกับอัครเสนาบผู้นี้ ไม่รู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องการสู้รบมากเพียงใด ดูแล้วน่าจะโน้มน้าวใจได้ยาก ทว่ากู้หวนจิ่นอยากจะลองให้บ่าวรับใช้นำคำพูดของเขาไปรายงานถึงอัครเสนาบดีผู้นั้นให้จงได้
อัครเสนาบดีเซี่ยซิ่วยังหนุ่มมาก เขามีใบหน้าหล่อเหลา นิ่งเฉย ดวงตาของเขาลึกราวกับบ่อน้ำเย็น แม้อายุไม่ถึงสามสิบปีแต่กลับมีอำนาจมาก เมื่อได้ยินคำพูดของยามที่รายงาน สีหน้าของเขาเฉยเมยไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่..อย่าให้พวกเขาก้าวออกมาจากจวนรับรองแม้แต่ครึ่งก้าว”
เขาเหลือบมองไปที่จดหมายข้างโต๊ะ ครุ่นคิดเกี่ยวกับเนื้อหาในจดหมายก่อนจะเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
ฮ่องเต้หนุ่มมีพระพักตร์อ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความเคารพต่อเซี่ยซิ่วเป็นอย่างมาก
“ท่านอัครเสนาบดี”
“ฝ่าบาททรงวางแผนจะจัดการกับราชทูตต้าโจวอย่างไรหรือพะย่ะค่ะ” เซี่ยซิ่วทูลถาม ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงอย่างครุ่นคิด
“ท่านเสนาบดีมีความคิดเห็นเช่นไร”
“ฆ่าพวกมันเสีย” เซี่ยซิ่วพูดด้วยความเด็ดขาด