บทที่ 612 ออกจากต้าฉี
สองวันต่อมากู้หวนจิ่นและเว่ยฉิงก็ได้รับข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ฉู่ ฮ่องเต้โจวพยายามส่งข่าวนี้มาให้พวกเขาอย่างเร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้พวกเขาลงนามสนธิสัญญาที่อาจจะทำให้ต้าโจวเสียเปรียบ เมื่อทั้งสองได้ทราบข่าว ต่างพากันเหงื่อตก
โชคดีที่พวกเขาไม่ได้โดนฮ่องเต้น้อยล่อลวงให้ลงนามยกเมืองให้ถึงสองเมือง มิฉะนั้นเขาคงกลายเป็นคนบาปของต้าโจว กู้หวนจิ่นจะถูกสอบสวนทันทีที่กลับไป ไม่ต้องพูดเรื่องการแต่งงานกับองค์หญิงจิ้งชูเลย
การที่ฮ่องเต้น้อยยอมปล่อยพวกเขาก็เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา หลังจากที่บาดแผลบนร่างกายของกู้หวนจิ่นดีขึ้น เว่ยฉิงก็พากู้หวนจิ่นขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางกลับไปยังต้าโจวทันที
“น้องเขย เหตุใดรถม้าถึงขับช้าเช่นนี้ บอกให้คนขับเฆี่ยนม้าให้เร็วขึ้นหน่อยสิ” กู้หวนจิ่นบ่น
เขาอยากจะรีบกลับไปยังแคว้นต้าโจวโดยเร็วเพื่อพบกับอาจื่อ
“ถ้าเร็วว่านี้กลัวว่าแผลท่านจะเปิด เมียข้าคงได้บิดหูข้าทันทีที่กลับไปถึงบ้าน” เว่ยฉิงพูด
แม้แต่เว่ยฉิงเอง ก็ต้องการจะรีบกลับเช่นกัน เขาไม่ได้พบกับภรรยามานานแล้ว เขานอนไม่หลับเลยเมื่อไม่มีนางอยู่ในอ้อมแขน เขาอยากกลับไปหาภรรยามากจนแทบจะเสียสติ ทว่าเมื่อพิจารณาจากบาดแผลของกู้หวนจิ่นแล้ว เขาจึงสั่งให้คนขับ ขับให้เร็วขึ้นอีกนิด
เมื่อรถม้าไปถึงประตูเมือง ล้อก็หยุดลง เว่ยฉิงเปิดม่านออก เขาเห็นร่างที่คุ้นเคย นั่นคือองค์หญิงอันหยาง นางสวมฉลองพระองค์ รวบพระเกษาขึ้น ท่าทางทรนงองอาจ ประทับยืนนิ่งอยู่บนขั้นบันได สองหัตถ์ไพล่ไว้เบื้องหลัง ทอดพระเนตรมายังพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ไม่ว่าทั้งสองจะอยู่ที่นี่ด้วยฐานะอะไรก็ตาม แต่องค์หญิงอันหยางเป็นผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาถึงสองครั้ง เว่ยฉิงแยกเรื่องความแค้นและบุญคุณออกอย่างชัดเจน หากวันหน้ามีโอกาสเขาไม่ลังเลเลยที่จะตอบแทนบุญคุณของนาง เขาลงจากรถม้า ในขณะที่กู้หวนจิ่นก็พยายามจะลงมาเช่นกัน ทว่าองค์หญิงอันหยางห้ามเอาไว้
“ข้าจะมากล่าวลาเท่านั้น” องค์หญิงอันหยางกล่าว นางส่งกล่องผ้าให้เว่ยฉิง
“นี่สำหรับเจ้า”
เว่ยฉิงประหลาดใจ “นี่คือ?”
“เปิดสิ” นางพยักเพยิด เมื่อเขาเปิดออกจึงพบว่าหยกประดับรูปปลาคู่
“หยกประดับชิ้นนี้แบ่งออกเป็นสองและรวมกันเป็นหนึ่ง เจ้ากับกู้หวนจิ่นเก็บไว้คนละชิ้น”
“ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าช่างลึกซึ้งและหาได้ยากยิ่งนัก ขอให้เจ้าทั้งสองยึดมั่นในความรักของพวกเจ้าเอาไว้ดี”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าได้ถอดใจ อย่าได้ถูกลวงด้วยอำนาจและสถานะจนตามืดบอด ของนอกกายเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ได้มาและย่อมหมดไป แต่ความรักแท้กลับหาได้ยากที่จะไขว่คว้ามาครอบครอง”
พวกเขาสองคนได้แต่ยืนนิ่งงัน
หลังจากพูดจบองค์หญิงอันหยางก็โบกมือลาพวกเขา รถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง เว่ยฉิงกำของขวัญจากองค์หญิงอันหยางไว้ในมือ กู้หวนจิ่นตกใจ
“นี่พวกเราหยอกเล่นแรงเกินไปหรือไม่?..ข้าดูเหมือนชายโฉดที่ล่อลวงหญิงสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์เลย..” กู้หวนจิ่นพูดด้วยความรู้สึกผิด
องค์หญิงอันหยางทรงมีความปรารถนาให้พวกเขาได้ครองรักกันอย่างยืนยาว นางเข้าใจว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน องค์หญิงอันหยางปักใจเชื่อมากเกินไปจนพวกเขารู้สึกผิด
องค์หญิงอันหยางเสด็จขึ้นไปบนหอคอยเฝ้ามองรถม้าที่แล่นไกลออกไปจนกลายเป็นจุดเล็กๆ สีดำมองแทบไม่เห็น
“องค์หญิง เหตุผลที่ท่านช่วยราชทูตต้าโจวไว้เพราะไม่อยากให้ท่านอัครเสนาบดีทำความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?” เมื่อองครักษ์ข้างกายพูดจบ องค์หญิงอันหยางอดไม่ได้ที่จะเม้มพระโอษฐ์ราวกับว่าคำพูดของเขากระทบเข้ากับหัวใจของนาง
เซี่ยซิ่วเป็นคนดื้อรั้น เขาใช้ความพยายามอย่างมากที่จะทวงคืนดินแดนที่สูญเสียไปนานแล้วจนไม่อาจจะหาเหตุผลใดๆ มาเกลี้ยกล่อมเขาได้ สาเหตุที่นางช่วยกู้หวนจิ่นและเว่ยฉิงเป็นเพราะไม่อยากให้เซี่ยซิ่วก้าวเท้าผิดพลาด โชคดีที่เสด็จไปทันเวลา ไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะกลายเป็นชนวนสงครามของสองแคว้นขึ้นมาได้ เซี่ยซิ่วจะมีตราบาปติดตัวไป
“หากพระองค์เป็นห่วงเขา ก็น่าจะให้เขารู้..” องครักษ์ยังพูดต่อ
องค์หญิงอันหยางทอดพระเนตรไปที่เขาอย่างเย็นชา องครักษ์ผู้นี้อยู่ในชุดสีดำ เขามีรูปร่างสูงเพรียว หากไม่ใช่เพราะบาดแผลฉกรรจ์ที่น่ากลัวบนใบหน้า ก็เรียกได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามเลยทีเดียว บุคลิกของเขาสงบนิ่ง แต่สายตาที่มีต่อองค์หญิงอันหยาง กลับเต็มไปด้วยความเสน่หา องค์หญิงอันหยางทรงเพิกเฉยตรัสขึ้นแต่เพียงว่า
“หุบปาก”
“กระหม่อมเพียงแต่สงสารพระองค์เท่านั้น”
เขากระซิบจนแทบไม่ได้ยิน
“หากยังไม่หยุด เปิ่นกงจูจะไม่ให้โอกาสเจ้าพูดอีก หากเจ้ายังพูดมากเกินไปคงไร้ประโยชน์ที่จะอยู่ข้างกายข้า” นางตรัสอย่างเย็นชา องครักษ์ชุดดำหลุบสายตาลงต่ำ เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย
……
ณ เมืองหลวงแคว้นต้าโจว
ภายในห้องนอนของจวนอู่โหว
บนฟูกที่นอนมีเด็กน้อยสองคนอยู่ในท่าทางที่แตกต่างกัน
ถังเป่านอนหงาย ดวงตาของนางหรี่ลง ฝ่ามือเล็กๆ กางออกราวกับผู้มีอำนาจ มู่เป่าคลานไปหาถังเป่า เมื่อเข้าไปใกล้ๆ นางยื่นขาออกมาเตะเขา เด็กน้อยคิดว่าพี่สาวกำลังเล่นกับตัวเองจึงหัวเราะคิกคัก
เมื่อถังหลี่เปิดประตูเข้ามาดวงตาของถังเป่าก็เบิกกว้าง นางคลานไปหาถังหลี่จับชายเสื้อของมารดาไว้
ถังหลี่อุ้มบุตรสาวขึ้นมา เด็กน้อยจับแขนมารดาเอาไว้แน่น ราวกับยึดครองเป็นเจ้าของ
มู่เป่าเปาได้แต่นั่งมองอย่างจนปัญญา เมื่อองค์หญิงจิ้งชูเข้ามานางจึงอุ้มเขา แล้วเอื้อมมือไปบีบแก้มมู่เป่าเปา
“เจ้าวายร้ายตัวน้อย เจ้าแกล้งน้องชายเจ้าหรือ?” องค์หญิงจิ้งชูทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม ถังหลี่มองใบหน้าของนาง เห็นว่ารอบดวงตาของจิ้งชูเป็นรอยคล้ำ ดูเหนื่อยล้า
“เมื่อคืนนอนไม่หลับอีกหรือ?” ถังหลี่ถาม
องค์หญิงจิ้งชูพยักหน้า ใบหน้าเล็กๆ ของนางมีรอยยับย่น นางหลบซ่อนความกังวลของตัวเองไม่ได้
“เมื่อคืนข้าฝันว่าหวนจิ่นถูกคนป่าเถื่อนจับตัวไป” ถังหลี่ได้ฟังเรื่องร้ายๆ เกี่ยวกับกู้หวนจิ่นสักร้อยแปดอย่างเห็นจะได้ผ่านความฝันของจิ้งชู
นี่เป็นอีกครั้งที่องค์หญิงแห่งต้าโจวฝันถึงคนรักของนาง ทั้งตกหน้าผา สูญเสียความทรงจำ แม้กระทั่งถูกเสือคาบไป….
คำพูดเหล่านี้หากได้ฟังในยามปกติคงน่าขบขัน แต่เมื่อทั้งสองอยู่ห่างไกลคนละฟากฟ้าเช่นนี้ ยิ่งทำให้นางกังวลและคิดถึงเขามากขึ้น
ถังหลี่เองก็เช่นกัน
แต่ความฝันของถังหลี่กลับเป็นฝันที่แสนหวาน ในความฝัน สามีของนางอยู่เคียงข้างนางตลอด ทว่ายามที่ตื่นขึ้นมา ถังหลี่พบว่าตนเองอยู่ตามลำพัง นางอยากลืมตาขึ้นมาแล้วเจอเว่ยฉิงเหลือเกิน
ตอนที่เว่ยฉิงจากไปเป็นช่วงฤดูหนาวแต่ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว บุปผาน้อยใหญ่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง นางหวังว่าเขาจะกลับมาที่บ้านอย่างปลอดภัยโดยเร็ว เป็นเวลานานแล้วที่ถังหลี่ไม่ได้รับจดหมาย นางไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“ฮูหยินขอรับ” ในขณะนั้นเองคนรับใช้คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา
“มีจดหมายมาถึงฮูหยินขอรับ” เขาพูดพลางหอบหายใจพร้อมกับยื่นจดหมายส่งให้ ถังหลี่รีบคว้าไปเปิดอ่าน มีรอยยิ้มผุดขึ้นในดวงตาทันที หญิงสาวกระโดดตัวลอยอย่างมีความสุข นางหันไปหาจิ้งชู
“อาจื่อ พวกเขาเข้ามาในเขตของต้าโจวแล้ว จะกลับมาถึงไม่เกินสิบวันนี้!”